ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ชายหนุ่มพึ่งพาบิดาผู้เป็นอ๋อง และเขาทราบว่าที่นี่คือค่ายพยัคฆ์ ดังนั้นเขาจึงเย่อหยิ่งในคราแรก ซึ่งนั่นจะเป็นการแสดงอำนาจของทัพพยัคฆ์ และเสริมอำนาจต่อรองของอ๋องหู่ เดิมทีแล้วเขาจะวางท่าทีสูงส่ง และเมื่อพบเห็นโถวปาหงก็จะแสดงความสุภาพออกมาเพื่อที่จะไม่ดูอ่อนน้อมและแข็งแกร้าวจนเกินไป เป็นการสร้างความได้เปรียบด้านการต่อรอง แต่ผู้ใดจะทราบว่าในหมู่ผู้ติดตามกลับมีบุคคลเช่นเซียวอวี๋อยู่ด้วย เซียวอวี๋ผู้นี้กลับไม่เล่นตามเกมและยั่วยุจนเขาเลือดขึ้นหน้า เขาหลงกลเซียวอวี๋และสูญเสียความได้เปรียบไปจนหมด ทั้งยังถูกเซียวอวี๋ทุบตีจนเผลอเรียกระดมทหารมาโอบล้อม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่วางแผนไว้อย่างสิ้นเชิง ทั้งเขายังทำเสียงาน ตอนแรก เขาแสร้งเป็นไม่รู้จักโถวปาหงนั้นไม่เป็นไร ทว่าตอนนี้่เขากลับนำทหารมาล้อมจักรพรรดิไว้ เช่นนั้นเรื่องราวก็ร้ายแรงแล้ว ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งเสียวสันหลัง เขากำลังจะทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานของบิดามลายกลายเป็นฝุ่น ชายหนุ่มกระจ่างดี เหตุผลที่บิดาของเขาเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะแสดงจุดยืนว่าเขาอยู่ฝ่ายโถวปาหง แต่หากเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ บิดาผู้เป็นอ๋องของเขาก็จะกลายเป็นกบฏแล้ว เขารู้ว่าบิดาจะต้องไม่ยอมให้เช่นนี้เกิดขึ้น และตระกูลของเขาจะต้องไม่ถูกจารึกว่าเป็นตระกูลกบฏ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าววาจาติดขัด “ผะ…ผู้ใดคือจักรพรรดิกัน? ยังไม่มีรายงานว่าพระองค์เสด็จมาเสียหน่อย แล้วเจ้าทราบได้อย่างไร?” ชายหนุ่มแสร้งเป็นเลอะเลือน ซึ่งอันที่จริง ผู้คนภายในค่ายต่างทราบว่าว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จมาค่ายแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งโถวปาหงที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังสวมฉลองพระองค์ตามธรรรมเนียม แล้วมีหรือที่ชายหนุ่มจะไม่ทราบจริงๆ “เหอะ เจ้าตาบอดหรือ? หรือไม่เห็นว่านี่คือฉลองพระองค์ของจักรพรรดิ? เจ้าไม่เคยเห็นพระพักต์ของจักรพรรดิมาก่อนจริงๆ? เจ้าไม่รู้จักจักรพรรดิโถวปาหง?” เซียวอวี๋ผายมือไม่ทางโถวปาหงพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงอันดัง “นะ…นี่…นี่ ข้าไม่ทันสังเกต อา เป็นฉลองพระองค์ของฝ่าบาท” ชายหนุ่มหันไปมองโถวปาหงก่อนจะรีบลดหอกลงพลางส่งสายตาให้ทหารโดยรอบลดอาวุธ “ฉลองพระองค์สะดุดตาเช่นนี้….เหอเหอ” ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มเซียวอวี๋ก็แค่นเสียง แต่สายตาของเขาลอบชำเลืองไปทางโถวปาหง โถวปาหงไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้ว เขาต้องต่อสู้ติดต่อกันอย่างยาวนาน ดังนั้นชุดของเขาจึงเต็มไปด้วยคราบสกปรก หากไม่ตั้งใจมองให้ดีมันก็แทบไม่ต่างไปจากชุดชาวบ้านที่ลี้ภัย “แม้ว่าชุดจะดูเปื้อนไปหน่อย แต่เจ้าไม่สังเกตเห็นจริงๆ? เจ้ารู้สาเหตุที่มันดูสกปรกเช่นนี้หรือไม่? จักรพรรดิโถวปาหงของพวกเจ้า เพื่อที่จะปกป้องประชาชนแล้ว เขาได้ทำการรบอยู่ที่แนวหน้าด้วยตนเอง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงมีสภาพเฉกเช่นนี้ แต่พวกเจ้าเล่า? กองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นทัพชั้นยอดแห่งจักรวรรดิ ตอนที่จักรวรรดิแทบล่มสลาย พวกเจ้าไปอยู่ที่ใด? ท่าทางองอาจกองทัพดูเข้มแข็ง หากแต่จิตใจกลับขลาดเขลาดุจฝูงสุนัข พวกเจ้าคู่ควรได้ชื่อว่ากองทัพพยัคฆ์หรือ? คู่ควรเรียกตนเองว่าชาวเมฆาหรือ? ยามที่จักรวรรดิต้องการคมหอกคมดาบของพวกเจ้า ยามที่พวกเซิกเข่นฆ่าสังหารชาวเมฆา เด็ก สตรี และคนชราต้องพลัดถิ่น พวกเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ใด?” เซียวอวี๋ยกมือกอดอกพลางกวาดมองพวกทหาร และสภาพที่ดูอิดโรยของโถวปาหงก็ยิ่งเป็นการขับเน้นให้เรื่องนี้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ พวกทหารก็หันไปมองใบหน้าที่ดูมอมแมมของโถวปาหง ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดและฝุ่น เสื้อผ้าที่ฉีกขาดจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งละอายใจ ทั้งหมดต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาผู้ใด แรกเริ่มชายหนุ่มยังรู้สึกยินดี เขาสามารถวางท่าต่อหน้าจักรพรรดิเนื่องเพราะบารมีของบิดา บารมีของลูกหลานของเทพสงครามแห่งจักรวรรดิ ต่อให้อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิพระองค์ก่อน ตระกูลของพวกเขาก็ไม่ต้องคุกเข่าเพื่อทำความเคารพ นั่นเป็นเกียรติยศถึงเพียงไหนกัน? ทว่าตอนนี้เขากลับถูกวาจาของเซียวอวี๋ทำให้ขวัญกระเจิง เหลือบมองโถวปาหงซึ่งสวมเสื้อขาดวิ่นนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาตั้งต้น ย้ัอนมองกับมาดูพวกตัวเองที่สวมเกราะเงาวับแล้วก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ สำหรับเหล่าทหารแล้ว ยามที่มาตุภูมิต้องการพวกเขา พวกเขากลับนิ่งดูดายไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ทั้งยังเสพสุขอยู่ในที่ห่างไกลอย่างสงบ มันนับเป็นความอัปยศอดสูอย่างถึงที่สุด ตอนแรกพวกเขาก็รู้ภาคภูมิที่ได้ชื่อว่าเป็นทัพพยัคฆ์ ทัพกล้าแกร่งแห่งเมฆา เป็นกองทัพที่ดำรงอยู่ในฐานะไพ่ตายของจักรวรรดิ เป็นทัพอันไร้ผู้ต้าน แต่หากว่าทัพเช่นนี้นิ่งดูดายไม่ร่วมศึก เช่นนั้นแล้วมันจะยังมีความหมายใด? ทหารที่ไม่เคยผ่านสมรภูมินั้นไม่นับว่าเป็นทหาร ทัพพยัคฆ์นั้นไม่ได้รบทัพจับศึกกับผู้ใดมากว่าทศวรรษแล้ว อันที่จริง ทัพพยัคฆ์เคยเข้าร่วมการศึกเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะชื่อเสียงและบารมีของอ๋องหู ทัพพยัคฆ์จึงทะนงตน แต่เมื่อถูกตำหนิติเตียนจากเซียวอวี๋คราวนี้ ความทะนงตนในอดีตล้วนกลายเป้นฝุ่นควันไปสิ้น “กระหม่อม…..ผู้บัญชากองร้อยแห่งทัพพยัคฆ์โถวปาเฟิง เมื่อสักครู่ไม่ทันพบเห็นองค์ชายจึงกระทำการหยาบคายไป เชิญองค์ชายเสด็จเข้าค่ายก่อนเถิดพะย่ะค่ะ” หลังจากถูกเซียวอวี๋ด่าทอไป ความเย่อหยิ่งของชายหนุ่มก็ถูกลดทอนลง กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมรับฐานะจักรพรรดิของโถวปาหง เพียงยอมรับเขาเป็นองค์ชาย โถวปาหงรู้สึกพูดไม่ออก เดิมทีเขามาที่นี่เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ และพยายามจะเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยดี ตอนนี้ชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งยังต้องลดทอนความโอหังลง เหล่าทหารที่อยู่โดยรอบก็มองมาที่เขาด้วยแววตาเคารพเทิดทูน เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าเรื่องราวที่วุ่นวายในตอนแรกจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ “เซียวอวี๋ผู้นี้ ข้าช่างด้อยกว่าเขามากจริงๆ” โถวปาหงทอดถอนใจ