ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
บทที่****295:ขวานลึกลับ(2)
“น้อยๆหน่อยนะ ข้าไม่ใช่เด็กที่เจ้าจะมาใช้วิธีนี้เพื่อหลอกล่อให้ข้าหลงกล” แขนเหล็กหยวนฉิงกล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง “ถ้าหากเจ้ามีใจอยากจะเดิมพัน ก็ต้องจัดการเป้าหมายแรกของเราให้ได้ก่อน!”
เป้าหมายที่แขนเหล็กหยวนฉิงกล่าวนั้นคือเหล่าภูเขาและประตูที่พวกเขากำลังจะเข้าไปทำให้พวกมันสั่นคลอน ปกติแล้วโถงใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกที่มีอยู่สี่อาคาร พวกเขาอยู่ในระดับหยวนหยินและมีตำแหน่งรองหัวหน้าซึ่งมักจะออกคำสั่งลับๆเพื่อที่จะรักษาพื้นที่ของตนเอง แน่นอนว่ามันเป็นคำสั่งส่วนตัวของพวกเขา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก ทั้งหมดสร้างค่ายกลป้องกันตนเองอย่างรัดกุมที่สุดเพื่อที่ไม่ให้โดนทะลวงเข้าไปได้โดยง่าย
แต่ก่อนนั้นสามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกนั้นกุมความลับแห่งท้องทะเลไว้ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้มากกว่าคนอื่นสำหรับข่าวของวงใน แต่ทว่าในตอนนี้สามปีศาจถูกควบคุมโดยซ่งจงเรียบร้อยแล้ว
เมื่อผ่านทั้งสามคนนี้ ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่าป้อมปราการทั้งห้านั้นสามารถทำลายได้ไม่ยากนัก ดังนั้นเขาจึงวางแผนเพื่อที่จะแบ่งกองกำลังออกไปจัดการ อาคารใหญ่จะถูกจัดการโดยซ่งจงและอาวุโสเอ๋าเทียน ส่วนอีกสี่อาคารที่เหลือ จะเป็นอีกสี่คนที่เหลือจัดการ ในตอนนี้แขนเหล็กหยวนฉิงกับวาฬขาวไป่ฮัวกำลังเดินพันว่าผู้ใดจะสามารถทำลายสิ่งเหล่านั้นได้ก่อน!
วาฬขาวไป่ฮัวนั้นแข็งแกร่งกว่าแขนเหล็กหยวนฉิง แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกทะนงตนมากกว่าเจ้าลิงน้อยนี่มาก เขาฟังที่แขนเหล็กกล่าวพร้อมกับพยักหน้า “เมื่อคิดๆดูแล้ว ข้าเกรงว่าความสามารถของเจ้าจะไม่เพียงพอนะ? ถ้าหากว่าเจ้าแพ้ ข้าเพียงต้องการพืชวิญญาณร้อยจินบนภูเขาของเจ้าเท่านั้น!”
“หืม ร้อยจินงั้นหรือ?” แขนเหล็กหยวนฉิงกล่าวออกมาอย่างตื่นตูม “ไป่ฮัว จิตใจเจ้านั้นมืดบอดเสียจริง พืชวิญญาณของข้านั้นสามารถผลิตได้เพียงปีละร้อยจินเท่านั้น เจ้าต้องการผลผลิตทั้งปีของข้าเลยงั้นหรือ?”
“ฮ่า แค่เพียงปีเดียวเองงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า เจ้าไม่อดตายหรอก ถ้าหากเจ้ากลัวแพ้ ก็ไม่ต้องเดิมพันหรอก! เราสามารถลืมมันไปและสาบานได้ว่าข้าจะไม่ดูถูกเจ้า ฮ่าฮ่า!” วาฬขาวไป่ฮัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “แต่ข้าจะบอกเรื่องนี้กับทุกคน!”
“เจ้า!” แขนเหล็กหยวนฉิงเริ่มโมโห “เจ้านั้นเกิดมาเป็นซาตานโดยแท้จริง! เอาล่ะ ข้าจะเดิมพัน! แต่ถ้าหากว่าข้าชนะ เจ้าจะต้องยอมแลกเปลี่ยนเรือยักษ์กับข้า!”
เรือเหาะสองลำนี้นั้นไม่ได้ดูแตกต่างกันมาก แต่ทว่าความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันต่างกันมาก ถ้าหากไป่ฮัวจะต้องยอมแลกเปลี่ยนเรือกับแขนเหล็ก แน่นอนว่าเขาจะสูญเสียกำลังต่อสู้ไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เรือเหาะลำนี้สามารถเทียบได้กับพืชวิญญาณน้ำหนักร้อยจิน ซึ่งเรียกได้ว่าการเดิมพันนี้ยุติธรรมแล้ว วาฬขาวไป่ฮัวไตร่ตรองอยู่เล็กน้อยจากนั้นเขาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ยอดเยี่ยม ตกลงตามนี้!”
จากนั้นวาฬขาวไป่ฮัวคำรามออกมาดังลั่น “เอาล่ะลูกหลานของข้า จงวิ่งไปทำลายป้อมของพวกมันโดยเร็วเถิด พวกเราจะได้สนุกสนานกับสมบัติที่เราจะได้รับจากชัยชนะครั้งนี้!”
เมื่อเสียงได้ถูกเปล่งออกไปจากลำคอของเขา แน่นอนว่าเหล่าลูกน้องทั้งหลายต่างฮึกเหิมทันที ทั้งหมดเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างดุดัน
แขนเหล็กหยวนฉิงที่เห็นเช่นนั้นเป็นกังวลทันที เขาตะโกนสั่งลูกน้องของตนเองอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะไล่ตามคู่แข่งของตนให้ทัน
การพยายามเร่งรีบเพื่อวิ่งแซงกันของวาฬขาวไป่ฮัวและแขนเหล็กหยวนฉิง ทำให้ทิ้งห่างอีกสองกลุ่มไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะถูกเหล่าผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์จับได้อย่างแน่นอน ถ้าหากอีกฝ่ายรู้ถึงการมาของพวกเขา แน่นอนว่าเหล่ามนุษย์จะต้องหลบหนีแน่นอน ซึ่งตอนนี้เรือที่อยู่ตรงกลางนั้นท่วมท้นไปด้วยเปลวไฟแห่งมังกรอัคคี ซึ่งเดิมทีมันคือเรือของนักบวชฮัวอวิ๋น ในตอนนี้มันถูกปรับแต่งใหม่ให้ดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม และบุคคลที่ได้เป็นเจ้าของเรือลำนี้ก็คือราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ!
ความจริงแล้วเรือของนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นคุณภาพเยี่ยมทุกลำ แต่เหลยซานเอ๋อนั้นชื่นชอบเรือลำนี้อย่างมาก อีกทั้งนางยังสามารถนำอสูรกายหลายเผาพันธ์ขึ้นมารวมกันอยู่บนนี้ได้อย่างลงตัว อีกทั้งเหล่าอินทรีย์สายฟ้ายังเป็นอสูรกายโจมตีระยะไกล ดังนั้นนางคือบุคคลที่สมควรจะได้รับเรือลำนี้ที่สุดเพราะอัตรราการสูญเสียของนางนั้นน้อยมาก เหล่าอสูรกายที่อยู่บนเรือลำนี้ของนางนั้นสงบนิ่งและเชื่อฟังอย่างมาก ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในความสงบและไม่สร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด
แต่ความโชคดีของเหลยซานเอ๋อนั้นล้วนแต่มาจากซ่งจง ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าชาย แน่นอนว่าเขาค่อนข้างที่จะมีอำนาจและสามารถตัดสินเป็นเด็ดขาดได้ เขาไม่อยากที่จะยกเรือลำนี้ให้กับอาวุโสเอ๋า ดังนั้นเขาจึงมอบมันให้กับเหลยซานเอ๋อแทน ซึ่งด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้เหลยซานเอ๋อยิ่งปลื้มในตัวของซ่งจงเพิ่มขึ้นอย่างมาก นางจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างซ่งจงอย่างไม่ลังเล
แต่ในตอนนี้ที่เรือเหาะของหอเฉวียนจี้นั้นเป็นซ่งจงที่ยืนอยู่บนหอคอยสูงสุด เขากำลังนั่งดื่มชาอยู่กับเหลยซานเอ๋อและอาวุโสเอ๋าเทียนอย่างสบายๆ
“ฝ่าบาทน้อย!” เหลยซานเอ๋อกล่าวขึ้นมา “กลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกนั้นมีการก่อตั้งมานานกว่าพันปี พวกเขามีมากกว่าหมื่นคนในการป้องกัน พวกเราจะสามารถทำได้จริงๆงั้นหรือ?”
“ข้าคงกล่าวไม่ชัดเจนสินะ!” ซ่งจงกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง “หลังจากที่เหล่ามนุษย์นั้นห่างเหินการต่อสู้มานาน แน่นอนว่าทักษะของพวกเขาจะต้องขึ้นสนิม เมื่อถึงเวลาที่จะต้องต่อสู้จริงๆ ข้าไม่อยากจะกล่าวเลยว่าพวกเขานั้นจะเป็นเช่นไร ฮ่าฮ่า!”
“ยอดเยี่ยม!” อาวุโสเอ๋าเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เราพยายามจะโจมตีอาคารหลักของพวกเขาหลายครั้ง แต่ทว่าถูกป้องกันไว้ได้เสมอ แต่ในตอนนี้พวกเขานั้นไม่รู้จำนวนของอสูรกายที่จะจู่โจมในครั้งนี้ด้วยซ้ำ!”
“แล้วถ้าหากเราพ่ายแพ้ เราจะทำเช่นไร?” เหลยซานเอ๋ออดไม่ได้ที่จะกังวล
“ฮี่ฮี่ แพ้ก็คือแพ้ แต่ทว่าสหายเหล่านั้นไม่มีกำลังมากพอที่จะไล่ตามเราได้ ลืมไปแล้วงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
“ใช่ เรามีเวลามากพอที่จะระบายความแค้นที่มี เพียงแค่จัดการกับโถงใหญ่ให้ได้เท่านั้นก็พอ เราจะสร้างความพินาศให้กับพวกมันอย่างอิสระ จากนั้นเราจะเปิดช่องทางเพื่อให้ฝ่าบาทได้ระบายความโกรธที่มีอย่างสาสมใจ!” อาวุโสเอ๋าเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าดูแล้วโอกาสที่เราจะได้รับชัยชนะครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่ำมากนัก ข้ารู้สึกว่าเรามีโอกาสมากกว่าหกในสิบที่จะทำลายโถงหลัก!”
“เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว!” ซ่งจงเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา “น่าเสียดายที่เรือมังกรทองคำของข้านั้นอยู่ในช่วงปรับปรุงเพื่อพัฒนาไปสู่ขั้นสุดยอดจึงไม่สามารถเข้าสู่สงครามได้ ไม่เช่นนั้นมันคงจะพาพวกเราไปถึงจุดสูงสุดได้โดยง่าย!”
“ฝ่าบาท โอกาสเพียงหกในสิบนี่นับว่าก็มากแล้วสำหรับพวกเราที่มีความแค้นมานานนับพันปี แต่เหตุใดท่านจึงดูกังวลกับมันล่ะ?” อาวุโสเอ๋าเทียนนั้นกล่าวอย่างสบายๆ
“ฮ่าฮ่า เป็นอย่างที่เจ้าว่าไม่มีผิด!” ซ่งจงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานั้นเหล่าสามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกที่มอบวิญญาณให้กับซ่งจงแล้วเดินเข้ามาพร้อมกันพร้อมทำความเคารพและกล่าวว่า “รายงานฝ่าบาท ที่ตั้งของโถงใหญ่แห่งกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกนั้นอยู่ห่างไปสองถึงสามพันลี้และเต็มไปด้วยกองกำลังลาดตระเวนตลอดเวลา คาดว่าพวกเขาคงจะเห็นเราในอีกไม่ช้า!”
เมื่อทั้งสามกล่าวจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นทันที เหลยซานเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “แม้ว่าจะมีมนุษย์มากมายลาดตระเวนอยู่ เราสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้ในคราวเดียว แต่ทว่าพวกเขานั้นมีดาบบินและสามารถส่งการแจ้งเตือนได้ ฝ่าบาทจงออกคำสั่งเถิดในเวลาเช่นนี้!”
“ตกลง!” ซ่งจงโบกมือขึ้นอย่างไม่สนใจสิ่งใด พร้อมกล่าวด้วยเสียงดัง “ตอนนี้ได้เวลาแล้ว พวกเราไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอีกต่อไป ข้าขอให้ทุกคนฟังข้า ทุกคนที่อยู่บนอากาศเข้าล้อมรอบกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกกับข้า ส่วนเหล่าอสูรกายที่อยู่ใต้น้ำให้เป็นกำลังสนับสนุน!”
“รับทราบ!” ทั้งหมดรีบตอบรับทันที
หลังจากที่ซ่งจงได้ออกคำสั่งไป ในอากาศได้เพิ่มกำลังขึ้นอย่างดุเดือด พวกเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ส่วนของกองทัพใต้น้ำนั้นเคลื่อนที่ช้าลงเพื่อตั้งรับ
แต่เหล่าอสูรกายที่อยู่ใต้น้ำนั้นแสดงพลังการต่อสู้ของตนทำให้ผิวน้ำสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการทะเลพิโรธ
ทะเลพิโรธในตอนนี้ราวกับคลื่นยักษ์กำลังจะถาโถมฝั่ง เหล่าอสูรกายใต้น้ำจำนวนมากที่ไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ พร้อมด้วยเรือดำน้ำอีกมากมายที่อยู่ใต้ทะเล ในกรณีเช่นนี้พวกมันไม่สามารถขึ้นบกเพื่อไปโจมตีเหล่าผู้ฝึกตนมนุษย์ได้เลย!
แต่ก็ไม่เป็นปัญหากับเหล่าอสูรกายใต้น้ำที่แสนจะชาญฉลาด พวกมันรู้เวทมนตร์วารี ทั้งหมดรวมพลังกันเพื่อที่จะใช้คลื่นยักษ์โจมตีขึ้นไปบนบก คลื่นที่สูงกว่าร้อยฟุตแม้ว่าจะไม่สามารถทำลายการป้องกันบนบกได้ แต่ทว่าสามารถเป็นกำแพงป้องกันให้กับเหล่าอสูรกายได้อย่างดี ในตอนนี้พวกมันรวมพลังกันเพื่อสร้างคลื่นที่น่ากลัวนี้อย่างขันแข็งเพื่อแสดงพลังแห่งความกล้าหาญ
เหล่าอสูรกายแห่งทะเลตะวันออกนั้นรู้จักทักษะนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงคิดจะใช้มันในการต่อสู้ครั้งนี้
ซ่งจงที่ออกคำสั่งไปเช่นนั้นได้แต่รู้สึกเกรงขามกับคลื่นทะเลพิโรธที่เหล่าอสูรกายแสดงให้ดู เหล่าผู้ฝึกตนมนุษย์ที่เห็นฉากเช่นนั้นตกอยู่ในสภาวะโง่งมด้วยเช่นกัน
ภายในอาคารร้อยบุปผา ฮัวจิงฉือนั่งอยู่ตรงกลางของโถงใหญ่ เขากำลังดื่มและเต้นรำกับเหล่าหญิงสาวมากมาย
เหล่าหญิงสาวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนที่ถูกเลือกมาอย่างดี แต่ละคนนั้นงดงามประดุจนางสวรรค์ หลังจากพวกนางฝึกซ้อมประจำวันเสร็จ ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงเป็นหญิงสาวผู้มีรัก ขาที่สวยงามเหล่านั้นกำลังสั่นไหวอยู่บนร่างกายของฮัวจิงฉืออย่างไม่อาจควบคุม ภายในห้องนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นแห่งราคะ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฮัวจิงฉือกำลังดื่มด่ำกับความสุขอยู่ ประตูห้องโถงของเขาถูกถีบอย่างรุนแรง ประตูแตกละเอียดในพริบตา
ด้วยเสียงดังนั้นทำให้ฮัวจิงฉือตกใจคิดว่ามีศัตรูบุกรุกเข้ามา เขาโยนสาวงามออกไปพร้อมเรียกดาบบินมาอยู่ในมือทันที แต่ทว่าร่างกายที่ลนลานของเขาทำให้เขาเรียกขวดเหล้ามาไว้ในมือแทน จิตใจของเขาในตอนนี้ไม่ได้จดจ่อกับการต่อสู้ไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฮัวจิงฉือพยายามมองไปที่ประตูพร้อมกับมองบุคคลที่กำลังเดินเข้ามา มือและเท้าของเขาเต็มไปด้วยโคลนและฝุ่น กำลังเดินเข้ามาราวกับหมาป่าคลุกฝุ่น
ฮัวจิงฉือขยี้ตาตนเองพร้อมกับมองที่บุคคลผู้นั้นอย่างจริงจังและพบว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนระดับพื้นฐานชื่อเหวยหมิง
ในตอนนี้เหวยหมิงนั้นหวาดกลัวอย่างสุดขีดเมื่อเห็นสภาพของฮัวจิงฉือที่โกรธจนร่างกายสั่นเทิ้ม ฮัวจิงฉือชี้มาที่เหวยหมิงพร้อมคำรามออกมาเสียงดังสนั่น “ไอ้สารเลว เจ้ารู้จักมารยาทบ้างหรือไม่?”
“อาวุโสลุง ตอนนี้เกิดเหตุฉุกเฉิน ข้าไม่อาจรักษามารยาทไว้ได้!” เหวยหมิงรีบอธิบาย “เหล่าอสูรกายบุกโจมตีแล้ว!”
ฮัวจิงฉือได้ยินเช่นนั้น เขาพ่นลมหายใจหนึ่งครั้งพร้อมกล่าวอย่างเหยียดหยาม “โจมตีอะไร? แล้วมันยุ่งยากอย่างไรล่ะ?”
ในขณะที่เหวยหมิงกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ฮัวจิงฉือจ้องมองไปที่ดวงตาของเขาอย่างดุร้ายพร้อมคำรามออกมาด้วยความโกรธ “ตอนนี้การปรากฏตัวของเจ้านั้นไร้มารยาทอย่างมาก มันจะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าเจ้าในตอนนี้อีก? เจ้าคงจะต้องกลับไปปลูกฝังความคิดของตนใหม่ในเรื่องของมารยาท! เข้าใจไหม!”
สิ่งที่ฮัวจิงฉือกล่าวในตอนนี้คือความชอบธรรม แต่กลับสวนทางกับกางเกงในของเขาที่เปียกชื้นยิ่งนัก นั่นทำให้เขาดูตลกอย่างมากภายในหัวใจของเหวยหมิงได้แต่ตำหนิเขาอย่างเงียบๆ ‘เจ้ากล่าวต่อว่าข้าจริงๆงั้นหรือ ราวกับว่าเจ้ากำลังพูดกับตนเองอย่างไรอย่างนั้น! ใครจะไปเชื่อว่าคนที่กำลังสอนเรื่องคุณธรรมกับข้านุ่งกางเกงในที่เปรอะเปื้อนเพียงตัวเดียว อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยหญิงสาวมักมากในกาม เฮ้อ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเหมาะสมที่จะสั่งสอนผู้อื่นงั้นเหรอ?!’
แน่นอนว่าเหวยหมิงทำได้แค่คิดในใจเท่านั้น เขาไม่กล้าที่จะกล่าวสิ่งเหล่านั้นออกไป ในตอนนี้เขาทำได้เพียงยอมรับและพยักหน้าตอบเท่านั้น “ขอขอบคุณที่อาวุโสลุงสั่งสอนข้า ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
“อืม เข้าใจก็ดีแล้ว!” จากนั้นฮัวจิงฉือกล่าวย้ำอีกรอบอย่างนึกขึ้นได้ “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเหล่ากองทัพอสูรกายนั้นมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ? พวกมันจะมาถึงที่นี่เมื่อใด?!”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น เหวยหมิงเปลี่ยนสีหน้าเขร่งขรึมทันทีพร้อมกล่าวว่า “อาวุโสลุง ศิษย์เพิ่งได้รับข่าวว่าพวกมันอยู่ห่างออกไปสองถึงสามพันลี้ แต่ข้าเกรงว่าในตอนนี้มันจะเหลือเพียงหนึ่งพันลี้เท่านั้น!”
“อะไรนะ?” ฮัวจิงฉือที่ได้ยินเช่นนั้นแทบจะไม่เชื่อหูของตนเอง เขาคำรามออกมาทันที “เป็นไปได้อย่างไรกัน? หน่วยป้องกันรอบนอกของเราไม่แจ้งเตือนหรืออย่างไร? ทำไมพวกมันถึงได้มากันแบบเงียบเชียบเช่นนี้?”