บทที่ 669 เขาเป็นนักบ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“เห็นชัดแล้วว่าตอนนี้คุณแพ้แล้ว”

เย่เทียนเดินเข้าไปหาหัวหน้านักขับแล้วนั่งยองๆ และยิ้มพูดว่า “ตอนนี้บอกผมได้แล้วยังว่าใครส่งคุณมา?”

หัวหน้านักขับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แค่ฝีมือการต่อสู้ก็สามารถจัดการพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว

และในใจยังสาปแช่งพวกที่รวบรวมข้อมูลของเย่เทียนว่าเป็นพวกที่ทำงานห่วยแตกที่สุด!

แม้จะคิดเช่นนี้ แต่หัวหนัานักขับไม่ได้ลังเลอะไรเลย เขาได้แต่กัดฟันอย่างเด็ดเดี่ยวและสีหน้าก็กลายเป็นความเจ็บปวด

เย่เทียนเองก็ตกใจมาก และรีบเข้าไปถอดหมวกกันน็อคให้กับหัวหน้านักขับเพื่อพยายามจะหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว!

หลังจากเย่เทียนถอดหมวกกันน็อคของหัวหน้านักขับ เขาได้กัดพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของเขาและตายจนไม่รู้จะตายยังไงอีกแล้ว

“ให้ตายสิ! เราลืมเรื่องแบบนี้ได้ไง!”

เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เพราะเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำไมเขาถึงลืมป้องกันไม่ให้พวกเขาฆ่าตัวตายได้!

ทีนี้ก็ลำบากเลยสิ แม้แต่หัวหน้านักขับก็ตายแล้ว แล้วเขาจะไปหาผู้บ่งการเบื้องหลังจากไหน?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่เทียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ และในใจก็รู้สึกผิดไม่น้อย

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!!

ในขณะนั้น เย่เทียนได้ยินเสียงแว่วของนาฬิกาดังขึ้น และเมื่อตั้งสติได้ ดวงตาสีเข้มคู่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปหาศพของหัวหน้านักขับ

วินาทีถัดมา เย่เทียนรู้สึกได้ถึงวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีเวลาให้คิดมากไปกว่านี้ และด้วยสัญชาตญาณ เขารีบถอยออกไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว

บูม!

ด้วยเสียงระเบิดดังขึ้น ศพของหัวหน้านักขับระเบิดอย่างกะทันหัน เนื่องจากเขาได้ฝังระเบิดขนาดเล็กไว้ในร่างกายของเขาแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ระเบิดจนร่างกายแหลกเป็นชิ้นส่วน!

“ให้ตายสิ ซวยจริงๆ!”

เย่เทียนบ่นพึมพำกับตัวเอง โชคดีที่เขาถอยทัน ไม่อย่างนั้น ต่อให้จะไม่โดนระเบิดไปด้วย แต่คราบเลือดหรือเศษชิ้นส่วนของร่างกายต้องกระเด็นใส่เขาอย่างแน่นอน

เมื่อมองไปรอบๆ นอกจากไอ้เหลือขอสองคนที่เสียชีวิตในกองเพลิงแล้ว นักขับคนอื่นๆ ก็เลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยการวางยาพิษกันหมด!

ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้เย่เทียนสีหน้าดูตึงเครียดมาก เพราะคนกลุ่มนี้เลือกที่จะยอมตายแต่ไม่ยอมเปิดเผยผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องมีเบื้องหลังที่น่ากลัวอย่างแน่นอน!

แต่จะว่าไป จวบจนวันนี้ ศัตรูของเขาเคยเป็นคนธรรมดาสักที่ไหน? แต่ในเมื่อพวกมันกล้าโจมตีเขา พวกมันก็ต้องรับโทษอย่างสาสมแน่นอน!

“อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าเป็นใคร ไม่อย่างนั้นผมขอรับประกันเลยว่าพวกคุณจะต้องเสียใจ!”

จากนั้นเย่เทียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วโทรหาจี้เยียนหรัน

จี้เยียนหรันกำลังนอนอยู่บนเตียงอุ่น ๆ และในขณะนี้ หลังจากได้รับสายจากเย่เทียนเธอก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งและกดปุ่มรับสายแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เย่เทียนเหรอ?”

เมื่อตระหนักถึงความตื่นเต้นในคำพูดของเธอ เย่เทียนก็ลูบจมูกของเขาแล้วยิ้มเยาะว่า “ก็ผมเอง”

น้ำเสียงของจี้เยียนหรันเปลี่ยนไปในทันทีและพูดขึ้นเสียงว่า “คนนิสัยไม่ดี คุณหายไปไหนกันแน่? ไม่บอกไม่กล่าว ไม่คิดว่าฉันจะเป็นห่วงเหรอ?”

“หา?!”

เย่เทียนตกใจและพูดอย่างประหลาดใจว่า “ท่านถังไม่ได้บอกคุณว่าผมไปไหนเหรอ?”

จี้เยียนหรันเลิกคิ้วเบาๆ “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ?”

“ไม่รู้อะไร?”

เย่เทียนตกตะลึงและรู้สึกไม่ดีมาก

“ท่านถังเสียแล้ว!”

จี้เยียนหรันส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นแล้วพูดเบาๆ ว่า “หลังจากการแข่งขันคัดเลือกของทีมสายฟ้าเสร็จ เครื่องบินของแกได้ระเบิดในระหว่างบินกลับ และทุกคนบนเครื่องบินก็ไม่รอดกันหมด”

เย่เทียนสตั๊นราวกับถูกฟ้าผ่าและไม่สามารถตั้งสติได้ในชั่วขณะ

แม้ว่าตามการคาดเดาของหยางซิงไห่ บนเครื่องนั้นจะมีคนใหญ่คนโต แต่เย่เทียนไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนใหญ่คนโตที่ว่าก็คือถังเหวินหลง!

ไม่น่าแปลกใจที่เมืองจินจะเข้าสู่สภาวะแห่งกฎอัยการศึก เพราะถังเหวินหลงเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และการตายของเขาจะต้องกระตุ้นความโกรธของผู้คนที่อยู่เบื้องบนอย่างแน่นอน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่เขาเต็มใจมาเข้าร่วมการแข่งกันของทีมสายฟ้าที่เมืองจินนั้น ก็เพราะมีตี๋ต้าจื้อที่คอยปกป้องครอบครัวตระกูลเฉิน และที่มากไปกว่านั้นคือถังเหวินหลงรับปากว่าจะดูแลบริษัทแซ่เฉิน!

แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน เพราะยาพันธุศาสตร์ที่บริษัทแซ่เฉินพัฒนานั้นมันเหมือนเนื้อหอมที่ไม่ว่าใครๆ ก็อยากจะแบ่งไปลิ้มลอง!

ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะตัวของเย่เทียน แม้แต่ตระกูลฉินก็จะไม่ปล่อยบริษัทแซ่เฉินไว้แน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว การที่เป็นพันธมิตรของตระกูลเฉินนั้นสามารถแบ่งปันผลประโยชน์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าสามารถควบคุมเทคโนโลยีหลักของยารักษาโรคทางพันธุกรรมก็จะทำกำไรได้มากกว่านี้

ไม่ว่าในกรณีใด หากปราศจากการคุ้มครองของถังเหวินหลงซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนนี้ เชื่อว่าหมาป่าและเสือดาวจำนวนมากที่กำลังจับตาบริษัทแซ่เฉินอยู่จะห้ามการโจมตีบริษัทแซ่เฉินไม่ได้แน่นอน!

เมื่อนึกถึงจุดนี้ เย่เทียนก็มีความคิดที่อยากกลับไปเจียงหนันทันที

ต่อให้เขาจะรู้ว่าตี๋ต้าจื้อกำลังปกป้องเฉินหวั่นชิง แต่ถ้าไม่ได้ปกป้องกับตัวเองเย่เทียนก็จะไม่ไว้ใจแน่นอน

“เย่เทียน คุณอยู่ไหม? เย่เทียน?”

เมื่อเย่เทียนขาดการตอบสนองสักพัก จี้เยียนหรันก็เริ่มเป็นห่วงแล้วรีบตะโกนออกไป

“อยู่ ผมอยู่ครับ”

เย่เทียนรีบตั้งสติแล้วถามกลับ “ตอนนี้คุณยังอยู่ไหม?”

“อื้ม”

จี้เยียนหรันพยักหน้า “แล้วคุณล่ะ? คุณอยู่ไหน?”

เย่เทียนไม่มีกะจิตกะใจที่จะหลอกล้อจี้เยียนหรันอีก ได้แต่เล่าเรื่องคร่าวๆ ที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง

จี้เยียนหรันก็ถึงกับตกใจ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนไม่ได้เป็นอะไรเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เอางี้นะ คุณรอฉันที่นั่น ฉันจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้!”

“ได้สิ!” เย่เทียนพยักหน้าเบาๆ และวางสายโดยไม่ได้คิดอะไร

ณ ห้องแห่งหนึ่งในโรงแรมที่อยู่ไกลออกไป ชายสวมแว่นมองหน้าจอที่กลายเป็นเกล็ดหิมะต่อหน้า สีหน้าของเขาก็หม่นหมองทันที

เขาไม่คิดเลยว่าแผนการที่วางแผนอย่างรอบคอบนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า

“ไอ้พวกโง่ไหนเป็นคนรวบรวมข้อมูล!”

ชายใส่แว่นบ่นพึมพำกับตัวเอง เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้แน่นอน และนักขับทั้ง 10 คนก็ต้องถูกสังเวยอย่างไร้ค่า!

“ให้ตายสิวะ!”

เขาอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา และในห้องอันแสนเงียบสงบนั้น มีเพียงเสียงความโกรธที่ไม่รู้จักจบของเขาเท่านั้น

หลังจากนั้นเขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปมาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ไม่ว่าจะยังไง ในครั้งนี้เขาล้มเหลวแล้ว เขาก็ต้องรับโทษในสิ่งที่ทำพลาดเช่นกัน แม้ว่าความผิดที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ที่เขา และบทลงโทษของเขาก็อาจไม่ถึงแก่ชีวิต แต่มันก็ไม่ใช่บทลงโทษที่เบาแน่นอน

กริ๊ง กริ๊ง!!

ทันใดนั้น โทรศัพท์บนโต๊ะชาของชายสวมแว่นก็ดังขึ้น ซึ่งเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่ชายสวมแว่นรู้ดีว่าต้องเป็นสายเรียกเข้าจากเบื้องบนแน่นอน

“คุณล้มเหลวนะ!”

เป็นไปอย่างที่คิด หลังจากรับสาย เสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามก็ดังขึ้น

ชายสวมแว่นรีบปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วตอบทันที “นายครับ เหตุผลหลักคือมีข้อผิดพลาดร้ายแรงที่คนเก็บรวบรวมข้อมูลครับ เพราะเย่เทียนไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่แจ้งเลย แต่เขาเป็นถึงนักบู๊เลยนะครับ!”

“ว่าไงนะ? นักบู๊?” เสียงของผู้จัดการของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่คาดคิดกับผลลัพธ์นี้เลย

“ใช่ครับ เขาเป็นนักบู๊ครับ!”

ชายสวมแว่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “อีกอย่าง เขาไม่ใช่แค่นักบู๊ธรรมดานะครับ ฝีมือของเขาอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับดำแล้วนะครับ!”