บทที่ 670 ฉันก็อยากบอกพวกคุณเหมือนกัน

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“ผู้จัดการครับ เขาเป็นนักบู๊นะครับ! และอย่างน้อยต้องเป็นนักบู๊ในระดับดำแล้วนะครับ!”

เมื่อสัมผัสถึงความโกรธจากปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์ ชายสวมแว่นก็อธิบายด้วยความตื่นตระหนก

“นี่เป็นเหตุผลของคุณงั้นเหรอ?”

ผู้จัดการเงียบไปทันที และหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็พูดว่า “ต่อให้มันจะเป็นนักบู๊ แต่คงไม่ถึงขั้นให้เราเสียพนักงานไป 10 คนพร้อมกันหรอกนะ? ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้มันไม่ได้ แล้วทำไมไม่ให้พวกมันหนี?”

ชายใส่แว่นตกใจและรีบอธิบายด้วยเสียงที่สั่นเทา “ผู้จัดการครับ ผม ผมให้พวกมันถอนตัวแล้วครับ แต่ไอ้หมอนั่นมันมีฝีมือระดับดำจริงๆ ไม่มีใครหนีได้เลยครับ”

“หุบปาก!”

ผู้จัดการตวาดใส่ “คุณเป็นผู้อาวุโสในบริษัท คุณควรรู้กฎของบริษัทดี ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ความล้มเหลวก็คือความล้มเหลว!”

“ผู้จัดการครับ ผมผิดไปแล้ว! คุณเห็นแก่ผมที่ทำงานให้บริษัทมาหลายปีเถอะครับ ให้โอกาสผมอีกสักครั้งนะครับ!”

เมื่อได้ยินคำพูด ชายใส่แว่นก็รีบอ้อนวอนขอความเมตตาและต่อว่าในใจถึงคนที่รวบรวมข้อมูล

“คุณวางใจได้ คุณอยู่กับผมมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้โดยส่วนใหญ่ผมจะเข้มงวดกับผลลัพธ์มาก แต่ผมยังไม่ถึงขั้นต้องเด็ดขาดขนาดนั้น”

น้ำเสียงของผู้จัดการอ่อนลงทันที และพูดเบาๆ ว่า “ภารกิจที่ล้มเหลวในครั้งนี้จะว่าไปก็เป็นความผิดของคนในแผนกการตลาดจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เสียพนักงานไปสิบคนแล้ว เบื้องบนจะตรวจสอบลงมาแน่นอน คุณรีบเขียนรายงานการดำเนินการให้เร็วที่สุด ผมจะได้อธิบายกับเบื้องบนถูก”

ชายสวมแว่นถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณครับ! ขอบคุณผู้จัดการครับ! ผมจะรีบส่งรายงานการดำเนินการให้เร็วที่สุดครับ”

“คุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ต่อให้ผมจะปกป้องคุณ แต่เกรงว่าคงยื้อคุณไว้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรอก”

ผู้จัดการส่ายหัวและยื่นคำขาด “คืนนี้ผมจะส่งลูกน้องยอดฝีมือให้คุณสิบคน ผมไม่สนว่าคุณจะใช้วิธีไหน แต่ภายในหนึ่งอาทิตย์ คุณต้องปิดจ๊อบนี้ให้ได้!”

“ผู้จัดการไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้ามียอดฝีมือมาด้วย ผมจะเป็นคนพาพวกเขาไปลงมือเอง ผมรับรองว่าจะปิดงานนี้ได้แน่นอนครับ!”

คนใส่แว่นรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา ถ้าเขาล้มเหลวอีกครั้ง ต่อให้เขาไม่ตายในเงื้อมมือของเย่เทียน เขาก็จะต้องตายในเงื้อมมือของผู้จัดการคนนี้แน่นอน!

เพราะบริษัทไม่เคยเก็บผู้พ่ายแพ้ไว้!

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”

เมื่อพูดจบ ผู้จัดการก็ไม่พูดอะไรต่อและวางสายไปทันที

หลังจากได้ยินเสียงดังขึ้นจากโทรศัพท์ ชายสวมแว่นก็รู้สึกถึงแผ่นหลังของเขาเปียกไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว และดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตาก็ประกายไปด้วยแสงอันเย็นเยือก ซึ่งทุกอย่างนี้ล้วนมาจากเย่เทียนคนเดียว!

“เย่เทียน ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไว้หรอก!”

……

บนถนนที่มืดมิด รถหลายคันได้จอดอยู่สักพักแล้ว

จี้เยียนหรันผู้กล้าหาญรีบออกจากรถแล้ววิ่งเข้ามาหาเย่เทียน จากนั้นสวมกอดเขาอย่างอบอุ่นโดยไม่ลังเล!

“พี่เยียนหรัน ก็แค่ไม่ได้เจอพี่เย่สองสามวัน ต้องขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

เซวฟู่ยี่ที่ตามอยู่ข้างหลังยิ้มเยาะ “หรือว่ามันจะเหมือนที่เขาว่ากัน ไม่เจอกันแค่วันเดียว แต่เหมือนห่างกันตั้งหลายปี?”

“ยุ่งอะไรเล่า!”

เป็นการยากมากที่จี้เยียนหรันจะแสดงสีหน้าเขินอาย และถือได้ว่าเธอได้ปล่อยเย่เทียนคนที่ถูกเธอกอดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่มือทั้งคู่ของเธอยังเกาะแขนเย่เทียนไว้แน่นๆ เพราะกลัวว่าไม่ระวังแล้วผู้ชายคนนี้จะหายตัวไปอีก

เซวฟู่ยี่ไม่ได้หลอกล้ออีกต่อไป แต่กวาดมองไปทั่วๆ แล้วขมวดคิ้วขึ้น “พี่เย่ครับ เกิดอะไรขึ้นครับ?”

“ผมก็ไม่รู้หรอก เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

เย่เทียนส่ายหัวอย่างขมขื่น และการปรากฏตัวของเซวฟู่ยี่อยู่ในการคาดหมายของเขาตั้งแต่แรกแล้ว

เพราะถึงแม้จี้เยียนหรันจะเป็นข้าราชการ แต่เธอไม่เคยทำงานที่นี่ และไม่เคยอยู่ในเมืองจิน คงไม่ต้องพูดถึงศพสิบศพที่นี่ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ตำรวจคนเดียวจะสามารถจัดการได้

ขอแค่จี้เยียนหรันพอมีสมอง เธอจะพาคนของตระกูลเซวมาด้วย ให้คนของตระกูลเซวมาจัดการ มันต้องดีกว่าเธอจัดการเองอย่างแน่นอน!

“ไม่เป็นไรครับ พี่เย่ งั้นเราค่อยคุยกันบนรถก็ได้ครับ!”

เซวฟู่ยี่เหลือบมองเย่เทียนอย่างมีความหมาย แต่ไม่ได้ถามต่อทันที ได้แต่สั่งคนใช้ที่เรียกมาไปเคลียร์ถนนและเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุให้เรียบร้อย

ทันทีที่เขาหยุดให้ความสนใจกับคนใช้ เขาก็พาเย่เทียนกับจี้เยียนหรันและหยางซิงไห่ขึ้นไปบนรถ

แน่นอนว่าคนขับก็คือหยางซิงไห่ที่รู้จักสถานะตัวตนของเซวฟู่ยี่ เพราะเขาได้ทิ้งความเย่อหยิ่งของตนแล้วขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับราวกับว่าเขาเป็นลูกน้องคนหนึ่ง!

ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้เซวฟู่ยี่ดูแปลกใจมาก จี้เยียนหรันอาจจะไม่ค่อยรู้จักหยางซิงไห่ แต่เซวฟู่ยี่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นเมืองจินคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี เพราะต่อให้หยางซิงไห่จะทิ้งความสามารถและศักดิ์ศรีของเขา แต่เขาก็ยังเป็นเอซในกองทัพเสมอ และยังคงแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ในกองทัพอย่างปฏิเสธไม่ได้

ซึ่งประเด็นนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เขาเกษียณจากกองทัพแล้วเข้าสู่วงการมวยใต้ดิน

แต่คำถามก็คือ ตามความเข้าใจของเซวฟู่ยี่แล้ว หยางซิงไห่เป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครด้วยซ้ำ แล้วทำไมต่อหน้าเย่เทียนแล้วเขาจะต้องเชื่อฟังขนาดนี้?

แต่เมื่อนึกถึงความสามารถของเย่เทียนที่แสดงให้เห็น เซวฟู่ยี่กลับรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก เกรงว่าจะมีคนกล้าหาญอย่างเย่เทียนเท่านั้นที่มีสิทธิ์สั่งการหยางซิงไห่ผู้ดื้อรั้นคนนี้ได้!

“พี่เย่ครับ สองวันนี้พี่หายไปไหนครับ? ทำไมที่รายการแข่งขันคัดเลือก พี่ไม่บอกสักคำก็หายตัวไปเลยครับ?”

ถึงอย่างนั้น หลังจากที่รถขับเข้าไปบนถนน เซวฟู่ยี่ที่นั่งอยู่ข้างที่นั่งคนขับก็หันหน้าไปแล้วถามเย่เทียนด้วยความสงสัย “พี่เยียนหรันกับผมกังวลมากเลยนะครับ เราแทบจะพลิกพื้นที่ทั้งเมืองเพื่อตามหาพี่ไปแล้ว”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”

รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เทียน และเขาก็ลูบผมของหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกผิดแล้วพูดอย่างจนใจว่า “ตอนนั้นผมส่งพี่ชายคุณไปที่โซนรักษาผู้ป่วย ทีแรกผมตั้งใจจะกลับไปแข่งขันต่อ แต่ใครจะรู้ว่าถูกท่านถังกับหัวหน้าซ่านหงเลี่ยงรั้งไว้”

“จากนั้นพวกเขาบอกผมว่า ผมเป็นสมาชิกของทีมสายฟ้าแล้ว และพอดีมีเรื่องที่สามเหลี่ยมทมิฬแล้วให้ผมออกไปจัดการทันที ถือว่าเป็นภารกิจแรกที่มอบหมายให้ผม”

“ต่อให้คุณจะรีบแค่ไหน คุณก็ไม่ควรออกไปโดยไม่บอกสักคำเลยนะ!”

เป็นเรื่องที่ยากมากที่คนอย่างจี้เยียนหรันจะทำหน้าบึ้งใส่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอยังคงไม่ค่อบพอใจมากนัก

“ผมก็อยากบอกพวกคุณเหมือนกัน แต่ท่านถังรับปากว่าจะไปบอกพวกคุณแทน แล้วใครจะไปรู้ว่าท่านถังจะ……”

เย่เทียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แม้ความเข้าใจผิดทุกอย่างจะมาจากถังเหวินหลง แต่ถังเหวินหลงก็เสียชีวิตไปแล้ว เขาคงจะถือสาคนตายไม่ได้หรอก?

แม้เย่เทียนไม่ได้พูดต่อ แต่จี้เยียนหรันกับเซวฟู่ยี่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร จากนั้นสีหน้าของทั้งสองก็ดูเคร่งขรึมมาก

เพราะการเสียชีวิตของถังเหวินหลงผู้ซึ่งเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มันจึงกระทบไปถึงหลายๆ ฝ่ายอย่างปฏิเสธไม่ได้……