ตอนที่ 134-2 แผนการชั่วร้าย

จำนนรักชายาตัวร้าย

มันช่างเป็นการทรมานที่หอมหวาน ทว่ากลับทำให้คนยินยอมพร้อมใจน้อมรับความทรมานนี้ไปพร้อมๆ กัน! 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้ครุ่นคิดอยู่ในใจ จนกระทั่งเขาผล็อยลับไปในที่สุด 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ตี้อู่เฮ่ออี้ถูกความร้อนปลุกให้ตื่น 

 

 

ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นอากาศจึงเริ่มอบอุ่น แต่เหตุใดตอนนี้ขาถึงได้รู้สึกร้อนนักนะ! 

 

 

รอจนกระทั่งตี้อู่เฮ่ออี้ลืมตาตื่น เขาถึงได้พบว่าในตอนนี้เชียนเย่เสวี่ยกำลังกอดก่ายโอบรัดอยู่บนร่างของเขาราวกับปลาหมึกอย่างไรอย่างนั้น และความร้อนนี้ก็แผ่ซ่านมาจากร่างกายของนางนั่นเอง 

 

 

ก่อนหน้านี้ตี้อู่เฮ่ออี้เคยช่วยชีวิตรักษาอาการบาดเจ็บของนางมา ตี้อู่เฮ่ออี้จึงรู้ดีว่า เชียนเย่เสวี่ยเป็นคนนอนดิ้น 

 

 

แต่สภาพการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นนี้ เขากลับรู้สึกแตกต่างออกไป 

 

 

ท่านี้ ดูแล้วมันออกจะล่อแหลมไปสักหน่อย… 

 

 

อีกอย่าง ของเหลวเปียกๆ เหนียวๆ บนบ่าของเขาคืออะไรกัน? 

 

 

คงจะไม่ใช่น้ำลายใช่ไหม! 

 

 

ชั่วชีวิตของเขานี่เป็นครั้งแรกที่พบเจอเรื่องเช่นนี้ แต่ตี้อู่เฮ่ออี้กลับทำได้เพียงหน้าแดงโดยไม่กล้าขยับตัวไปไหน ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนจนทำให้เชียนเย่เสวี่ยตื่น จึงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อปล่อยให้นางกกกอดได้ตามอำเภอใจ 

 

 

จวบจนกระทั่งคนรับใช้ของบ้านสกุลสุ่ยมาเคาะประตูเรียกเบาๆ นั่นแหละ เชียนเย่เสวี่ยถึงได้ตื่นขึ้น 

 

 

“อรุณสวัสดิ์!” 

 

 

ลูบไล้เส้นผมอันยุ่งเหยิงที่หล่นลงมาปกปิดใบหน้าขึ้น เชียนเย่เสวี่ยก็เช็ดที่มุมปากเล็กน้อย รอจนกระทั่งมองเห็นรอยน้ำลายดวงใหญ่ที่บ่าของตี้อู่เฮ่ออี้แล้ว ก็ทำให้เชียนเย่เสวี่ยรู้สึกขายหน้าไม่น้อย 

 

 

“เอ่อ…เช้านี้อากาศดีนะ!” 

 

 

เชียนเย่เสวี่ยพลิกกายลงจากเตียง หาววอดๆ สองครั้ง สวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูวิ่งออกไปทันที โดยที่ก่อนจะออกไปนั้นตี้อู่เฮ่ออี้เห็นชัดเจนว่าแก้มทั้งสองข้างของนางแดงปลั่ง 

 

 

ทำให้หญิงแกร่งหน้าแดงได้ ถือว่าประสบความมสำเร็จขั้นแรกแล้ว! 

 

 

คนที่มาแต่เช้าคือสุ่ยเจ๋อซีนั่นเอง! 

 

 

เมื่อคืนหลังจากที่กลับไป สุ่ยเจ๋อซีครุ่นคิดอยู่เป็นนาน 

 

 

การแต่งงานระหว่างลูกหลานตระกูลทั้งแปดเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมาช้านาน 

 

 

ลูกสาวบ้านสกุลสุ่ยหลายคนมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามราวหยกชั้นดี ซึ่งในบรรดาลูกสาวทั้งหมด สุ่ยเยว่เอ๋อร์มีรูปโฉมงดงามที่สุด ถึงขนาดได้รับขนานามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยวทีเดียว 

 

 

สุ่ยเจ๋อซีคิดการณ์เอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า เขามีลูกสาวสี่คน ลูกสาวคนโตสุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์แต่งงานออกเรือนไปกับสกุลหลิวเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ลูกสาวที่เหลืออีกสามคน กับสกุลเสิ่นถู สกุลกงอวิ๋น และสกุลเหวิน บ้านละคนพอดิบพอดี! 

 

 

สุ่ยเยว่เอ๋อร์เป็นลูกสาวที่งดงามเจิดจรัสที่สุดของเขา หากสามารถทำให้คุณชายใหญ่แห่งสกุลเสิ่นถู เสิ่นถูเลี่ยถูกตาต้องใจได้ละก็ เรื่องทุกอย่างก็ถือว่าสมบูรณ์ที่สุด! 

 

 

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสกุลเสิ่นถูจัดว่าเป็นตระกูลคุณธรรม ประมุขแห่งตระกูลเสิ่นถู เสิ่นถูฮั่น ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีน้ำใจเปี่ยมด้วยคุณธรรม ปฏิบัติตนด้วยความยุติธรรม และมีหน้ามีตาไม่น้อยในเมืองอู๋โยวแห่งนี้ สุ่ยเยว่เอ๋อร์ที่มีใบหน้างดงาม นิสัยที่แสนดีสุภาพเรียบร้อย เหมาะกับการเป็นคุณนายใหญ่แห่งบ้านสกุลเสิ่นถูทุกประการ 

 

 

ยิ่งกว่านั้นการที่สุ่ยเจ๋อซีดูบุตรสาวมาอย่างดี แต่เล็กจนโตเขาเชิญอาจารย์ที่ดีที่สุดมาถ่ายทอดความรู้ให้กับบุตรสาวทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เล่นดนตรีทุกอย่าง เสื้อผ้าอาภรณ์ทุกอย่างเป็นของชั้นดีที่สุด ก็เพื่อการแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลใหญ่ต่างๆ มิใช่หรือ! 

 

 

ใครๆ ต่างก็บอกว่าลูกสาวจะต้องทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ดังนั้นสุ่ยเจ๋อซีจึงลงทุนลงเงินกับบุตรสาวทุกคนไปไม่น้อย 

 

 

โดยเฉพาะสุ่ยเยว่เอ๋อร์ ลูกสาวที่เขาทุ่มเทลงลงทุนลงแรงไปมากที่สุด 

 

 

ทว่าตอนนี้สุ่ยเยว่เอ๋อร์กลับไปหลงชอบไอ้คนชั้นต่ำที่มาจากหลัวอวี่นั่น สุ่ยเจ๋อซีไม่โกรธเคืองก็แปลกแล้ว 

 

 

อวี้ซิงฉงสามารถเริ่มต้นจากศูนย์จนสำเร็จถึงขั้นจักรพรรดิ ต่อมาก็สำเร็จถึงขั้นจอมปราชญ์อาวุโสได้อย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้สุ่ยเจ๋อซีไม่จำเป็นต้องสงสัยในเรื่องความสามารถของเขาอีกต่อไป เขาถึงขนาดนับว่าอวี้ซิงฉงจัดเป็นผู้มีพรสวรรค์โดยแท้เสียด้วยซ้ำ! 

 

 

‘แต่ว่า ฐานะของเขามันช่างต่ำต้อยเกินไปจริงๆ คนชั้นต่ำจากแผ่นดินหลัวอวี่ เป็นคนรับใช้คนหนึ่งในบ้านสกุลเสิ่นยังว่าไปอย่าง’ 

 

 

‘คิดจะมารักกับสุ่ยเยว่เอ๋อร์?’ 

 

 

‘คางคกคิดจะกินเนื้อห่านฟ้าชัดๆ!’ 

 

 

‘ต่อให้อวี้ซิงฉงช่วยชีวิตสุ่ยเยว่เอ๋อร์เอาไว้โดยบังเอิญก็ตาม เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของนางแล้วอย่างไรเล่า? 

 

 

ให้เงินสักหน่อยแล้วไล่ไปเสียก็สิ้นเรื่อง!’ 

 

 

‘หรือว่าเพียงเพราะบุญคุณแค่นี้ จะให้เขาชดใช้ด้วยบุตรสาวเลยหรืออย่างไรกัน? ฝันไปเถอะ!’ 

 

 

แต่ทว่า สุ่ยเจ๋อซีก็รู้ดีว่า สุ่ยเยว่เอ๋อภายนอกแลดูอ่อนโยน แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นคนที่ดื้อดึงยิ่งนัก เรื่องอะไรที่ฝังใจแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ  

 

 

ดังนั้น สุ่ยเจ๋อซีถึงได้กักขังอวี้ซิงฉงเอาไว้ สุ่ยเจ๋อซีรู้ดีว่า ในเวลานี้จะยังฆ่าอวี้ซิงฉงไม่ได้ จำเป็นต้องเก็บเขาเอาไว้ก่อน 

 

 

เมื่อถึงเวลาคับขันสุ่ยเจ๋อซีคิดจะใช้อวี้ซิงฉงบังคับให้สุ่ยเยว่เอ๋อร์ยอมทำตามคำสั่ง เพราะเจ้าหนุ่มนี่คือจุดอ่อนของบุตรสาว! 

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโกรธเคืองในใจของสุ่ยเจ๋อซีก็ลดลงไปมาก 

 

 

หน้าที่ๆ สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือให้หมอเหออี้ตรวจหาพบที่มาที่ไปของพิษและคนที่วางยาพิษสุ่ยเยว่เอ๋อร์ให้จงได้ แน่นอนว่าสุ่ยเจ๋อซีมิต้องการให้บุตรสาวเกิดเรื่องอะไรอยู่แล้ว เพราะอีกเพียงแค่นิดเดียวทุกอย่างก็จะสำเร็จลุล่วงตามที่เขาวาดฝันเอาไว้แล้ว  

 

 

หากว่าในตอนนี้ที่นับว่าใกล้จะถึงช่วงสุดท้าย จวนเจียนจะเห็นแสงทองแห่งความสำเร็จอยู่แล้ว ดันเกิดความผิดพลาดขึ้น สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดมิเท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ! 

 

 

เมื่อได้ยินคำขอร้องจากสุ่ยเจ๋อซี ตี้อู่เฮ่ออี้ก็รีบพยักหน้ารับปากในทันที แต่เขามิได้ต้องการช่วยสุ่ยเจ๋อซีแต่อย่างใด คนที่เขาต้องการช่วยคืออวี้ซิงฉงต่างหาก 

 

 

หากว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์ถูกพิษจนถึงแก่ความตายละก็ อวี้ซิงฉงจะต้องเป็นบ้าคลั่งเพราะสูญเสียคนรักอย่างแน่นอน 

 

 

อวี้ซิงฉงคือพี่ชายของอวี้เฟยเยียน ลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายบิดาของอวี้เฟยเยียน ตี้อู่เฮ่ออี้คือพี่ชายลูกพี่ลูกน้องสายญาติฝ่ายมารดาของอวี้เฟยเยียน พูดไปพูดมาก็คือครอบครัวเดียวกันนั่นเอง แน่นอนว่าเขาย่อมต้องช่วยเหลือคนกันเองอยู่แล้ว! 

 

 

ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ตี้อู่เฮ่ออี้คือพยายามสังเกตกุญแจพวงใหญ่ที่ห้อยอยู่ที่เอวของสุ่ยเจ๋อซีไปด้วย ไม่แน่ว่ากุญแจของคุกใต้ดินอาจจะอยู่ในบรรดากุญแจเหล่านั้นก็เป็นได้ 

 

 

‘แต่มันคือดอกไหนกันนะ?’ 

 

 

แล้วเขาจะขโมยกุญแจจากยอดฝีมือระดับราชาอาวุโสมาได้อย่างไร? ปัญหาพวกนี้เพียงแค่คิดตี้อู่เฮ่ออี้ก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งแล้ว 

 

 

เดิมทีสุ่ยเจ๋อซีคิดที่จะไปหาสุ่ยเยว่เอ๋อร์ที่ห้องพร้อมกับตี้อู่เฮ่ออี้ละเชียนเย่เสวี่ย แต่ลูกน้องคู่ใจของเขา สุ่ยเจียงดันมารายงานข่าวด้วยสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกลนลานเสียก่อน 

 

 

“นายท่าน เกิดเรื่องแล้ว!” 

 

 

“มีเรื่องอะไรกัน ถึงต้องเอะอะโวยวายถึงเพียงนี้?” สุ่ยเจ๋อซีออกอาการไม่พอใจเล็กน้อยในขณะมองไปที่สุ่ยเจียง 

 

 

“นายท่าน สกุลหนานกงสูญสิ้นแล้ว!” 

 

 

สุ่ยเจียงไหนเลยจะมีเวลามาสนใจว่าเจ้านายจะพึงพอใจหรือไม่อย่างไร เพราะรีบร้อนจะต้องรายงานข่าวสำคัญให้สุ่ยเจ๋อซีได้รับรู้ 

 

 

“อะไรนะ?” สกุลสุ่ยและสกุลหนานกงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานาน จู่ๆ ก็ได้รู้ข่าวเรื่องนี้เข้า ทำเอาสุ่ยเจ๋อซีถึงกับตกตะลึงจนไปต่อไม่ถูกทีเดียว 

 

 

“เรื่องนี้มิใช่เรื่องล้อเล่นใช่ไหม หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าสกุลหนานกงสูญสิ้นแล้วนะ?” 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางหนักใจของสุ่ยเจียง สุ่ยเจ๋อซีจึงรู้ได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น สุ่ยเจ๋อซีจึงไม่มีเวลามาสนใจอีกแล้วว่ารอบข้างจะมีคนนอกหรือไม่ เขารรีบละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน 

 

 

“พูดให้มันชัดเจนสิ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” 

 

 

“ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นปรากฎตัวแล้ว! ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ร่วมมือกับเสิ่นถูเลี่ยและลูกน้องของเขา พวกเขาทั้งสี่รวมมือกันฆ่าล้างตระกูลหนานกง! ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสังหารบรรพชนเฒ่าแห่งสกุลหนานกง และเขาก็ได้ประกาศศักดาแล้วว่าจะเป็นผู้รับช่วงต่อแผ่นดินทั้งหมดของสกุลหนานกงด้วย!” 

 

 

คำพูดของสุ่ยเจียง รากับระเบิดลูกใหญ่อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“มะ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” 

 

 

จู่ๆ หัวใจของสุ่ยเจ๋อซีก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม คนสี่คนฆ่าล้างตระกูลหนานกงซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดจนย่อยยับ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่ออะไรกันนี่!