“คุณหมายความถึงอะไรน่ะ?” เฉินเกอกำลังจะต้องไปที่โรงละครส่วนตัวนั่นแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ให้มากเท่าที่จะรู้ได้

“ผู้ที่มาพักหลายคนเลือกที่จะใช้โรงละครตอนกลางคืน และพวกเขาทั้งหมดก็เจอเข้ากับฉากพิเศษนี้ในหนัง เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เธออายุราวยี่สิบปีมีผมยาวสีดำและใบหน้าพร่ามัว

“เดิมที แขกก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่านั่นเป็นเงาของพนักงานหรือมีบางอย่างผิดไปกับตัวม้วนเทป จนกระทั่งครอบครัวสี่คนครอบครัวหนึ่งมาพักที่นี่ ตอนที่ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในโรงละคร เธอก็เริ่มร้องโวยวายเสียงดัง เมื่อไม่มีทางเลือก คนภรรยาก็อุ้มลูกสาวออกไป เหลือไว้แค่สามีกับลูกชาย

“วันนั้นพวกเขาดูหนังอะนิเมชั่น แต่หนังเล่นไปได้ครึ่งทาง เด็กชายจู่ ๆ ก็หันไปถามพ่อของเขา ‘ทำไมถึงมีพี่สาวคนนั้นยืนอยู่ตรงมุมบันไดล่ะ?’

“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้คิดมาก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด้กชายก็ถามอีก ‘ทำไมพี่สาวคนนั้นถึงเอาแต่มองพวกเรา?’

“คำถามไม่จบไม่สิ้นจากเด็กทำให้ผู้ชายคนนั้นรำคาญ แต่ในเมื่อพวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ เขาก็กดความโมโหเอาไว้แล้วเตือนให้ลูกชายเขาอยู่เงียบ ๆ

“ลูกชายถูกเข้าใจผิด แต่เขาก็เงียบลงหลังจากนั้น แต่ว่าไม่นาน ประมาณยี่สิบนาทีให้หลัง เด็กชายจู่ ๆ ก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเหตุผล นี่ทำให้ผู้ชายคนนั้นประหลาดใจมาก เขาพยายามปลอบลูกชายของเขา แต่ว่าเด็กชายเอาไว้ซุกหน้าตัวเองลงที่อกเขา และไม่ยอมหยุดร้องไห้

“พ่อของเด็กชายเริ่มสังเกตว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาพบว่าลูกชายของเขากลัวที่จะเงยหน้าขึ้นมาเหมือนมีบางอย่างน่ากลัวมากอยู่บนจอ

“เขาจำเอาไว้ แล้วหลังจากหนังจบลง เขาก็อุ้มลูกชายกลับไปหาภรรยาและจากนั้นก็กลับไปที่โรงละครเพื่อค้นหาความจริง…”

เรื่องราวพาเฉินเกอด่ำดิ่งลงไป แต่จู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หยุดพูด “คนพ่อเจออะไรเหรอครับ?”

“พ่อของเด็กชายหายตัวไป กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเขาเข้าไปในโรงละครคนเดียว แต่เขาไม่เคยกลับออกมา”

“คนทั้งคนจะหายไปอย่างนั้นได้อย่างไร? คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้นยืน “โรงละครนั่นอยู่ที่ไหน? ผมอยากจะไปดูด้วยตาตัวเอง”

ได้ยินอย่างนั้น ริมฝีปากผู้ชายคนนั้นก็สั่น เขาตั้งใจจะหลอกให้เฉินเกอกลับออกไป แต่ผู้ชายตรงหน้าเขากลับสนใจมากขึ้นไปอีกหลังจากได้ฟังเรื่องผี

“ไม่ ไม่มีทาง!”

“ถ้าคุณไม่ยอมนำทาง อย่างนั้นผมก็จะไปเอง อย่างไรเสีย ที่นี่ก็ใหญ่แค่นี้” เฉินเกอคว้ากระเป๋าสะพายหลังของตัวเอง เขามองชายตรงหน้า ไม่ว่าวิลล่าจะถูกทิ้งร้างหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายการจัดการจะทิ้งชายตาบอดเอาไว้เป็นยาม

“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ นะ ทำไมคุณถึงดึงดันที่จะไปที่นั่นให้ได้? คุณพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอว่ามาหาเพื่อนที่นี่?” ผู้ชายคนนั้นเริ่มกระวนกระวายและพยายามจะห้ามเฉินเกอ

“ใช่ ผมมาที่นี่เพื่อหาเพื่อน ก่อนที่เขาจะหายตัวไป ข้อความสุดท้ายที่เขาส่งให้ผมบอกว่า– ฉันอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง” เฉินเกอพูดอย่างจริงใจและมั่นใจแบบที่ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขากำลังโกหก

“เพื่อนของคุณหายตัวไปที่นี่?” ผู้ชายคนนั้นเงียบไป มือของเขากุมกันแน่น และเขาก็ตัดสินใจได้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ผมจะพาคุณไปที่นั่น แต่ถ้าเพื่อนของคุณไม่อยู่ที่นั่น พวกเราก็จะกลับออกมาทันที”

“ขอบคุณครับ” เฉินเกอตรงเข้าไปช่วยพยุงชายคนนั้น แต่เมื่อเขาแตะลงที่ผิวของชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ผลักเขาออกอย่างแรง เขาเหมือนนกขี้ตกใจ เฉินเกอไม่คิดว่าจะเจอปฏิกริยารุนแรงเช่นนี้ “ผมขอโทษครับ ผมแค่อยากช่วยพยุงคุณเท่านั้น”

“ไม่เป็นไร ผมเดินเองได้” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนในความมืด ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะปิดอยู่ มันก็เหมือนกับเขาสามารถมองเห็นรอบด้านได้ชัดเจนดี เขาเดินในห้องอย่างชำนาญ คว้าไม้เท้านำทางที่ข้างประตูแล้วเดินออกไป เฉินเกอตามหลังเขาไป ทั้งสองคนเดินผ่านตึกประหลาดหลายหลัง

“คนที่ออกแบบที่นี่น่าจะไม่ได้คิดถึงการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสมใช่ไหม?”

“คุณจะไปรู้อะไร? มันเป็นศิลปะ”

“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ คุณอยากอธิบายให้ผมฟังไหม?”

ผู้ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุย เขารีบเดิน เขาคุ้นเคยกับบริเวณนี้และเดินเร็วกว่าที่เฉินเกอคิดเอาไว้ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่หน้าตึกสองชั้นที่ถูกปิดผนึกเอาไว้

“ที่นี่คือโรงละครส่วนตัว ทางเข้าถูกปิด และผมก็ไม่มีกุญแจ แต่ว่ามีหน้าต่างเล็ก ๆ ที่บนชั้นสอง คุณมองเข้าไปข้างในได้

“ได้ ขอบคุณครับ ผมจะไปดูรอบ ๆ ก่อน” เฉินเกอเดินไปที่ประตู หันกลับมาและเห็นผู้ชายคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น “คุณมีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า? คุณอยากให้ผมเดินไปส่งคุณกลับก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไร” ผู้ชายคนนั้นมีความรู้สึกว่าบางอย่างเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น เขายืนอยู่ที่เดิมอยู่นานก่อนจะหันกลับ แต่ว่า ก่อนที่เขาจะเดินออกไปก้าวแรก ก็มีเสียงกระแทกดังมาจากด้านหลังเขา

ปัง!

ความเงียบยามค่ำคืนแตกกระจาย เสียงกระแทกที่แทบจะทำให้แก้วหูเขาฉีกดังขึ้น เขาสะดุ้งอย่างตกใจ ไม้เท้าหลุดออกจากมือเขา

“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” มือของเขาคลำหาไปในความมืดอย่างมืดบอด เขากำลังตื่นตระหนก ตอนนั้นเอง มืออบอุ่นข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจับเขาให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วพยุงเขาขึ้น

“มีคนอื่นอยู่ที่นี่!” เฉินเกอช่วยพยุงเขาลุกและน้ำเสียงของเขาก็ช้าและปลอบประโลม

“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทาง!” ผู้ชายคนนั้นโซเซถอยไป เขาร้อนรน ร่างกายของเขาสั่น ไม้เท้าถูกเตะไปไกล ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วง

“คุณจะรู้ได้ยังไงในเมื่อคุณมองอะไรไม่เห็นเลย?” เมฆดำลอยมาบังดวงจันทร์ เฉินเกอพยุงชายคนนี้เอาไว้ด้วยมือหนึ่ง และอีกมือถือค้อนหน้าตาน่ากลัวเอาไว้ เขายืนอยู่ข้างชายคนนั้นแล้วจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิท ถ้ามีคนมาเห็นเข้า พวกเขาก็คงคิดว่านี่เป็นฉากสยองขวัญ

“ถ้ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แย่แล้ว! นี่เที่ยงคืนแล้ว ซึ่งหมายความว่ามันอาจจะกลับมา!” ผู้ชายคนนั้นดูรีบร้อนขึ้นมาทันที จากน้ำเสียงและสีหน้าของเขา เฉินเกอเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก

“อย่าตื่นตระหนก ใจเย็น” เฉินเกอมองโทรศัพท์ ภารกิจทดลองนั้นให้เวลาเขาเตรียมตัวแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้าเขาปล่อยให้ชายคนนี้เดินกลับไปเอง อย่างนั้นก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ “พวกเราสองคนทางที่ดีก็อยู่ที่นี่ก่อน เผื่อเอาไว้”

เฉินเกอหยิบไม้เท้าแล้วส่งคืนให้ พยุงเขาเอาไว้ ทั้งสองคนเข้าไปในโรงละครส่วนตัว ดูจากสภาพย่ำแย่ภายนอกแล้วก็ไม่คิดว่าด้านในจะสะอาดอย่างน่าประหลาดใจเหมือนยังได้รับการทำความสะอาดทุกวัน

เฉินเกอตรวจดูอุปกรณ์ฉายหนังที่บนโต๊ะ แทบจะไม่มีฝุ่นเลย รักษาความสะอาดได้ในระดับนี้ ย่อมไม่ใช่ฝีมือของคนตาบอดคนหนึ่ง

มองดวงตาของชายคนนี้ที่ยังไม่ลืมขึ้นเลยตั้งแต่ที่พวกเขาพบกัน เฉินเกอก็กำค้อนแน่น

“ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในโรงละครแล้ว คุณรู้วิธีเปิดเครื่องนี่ไหม?”