GGS:บทที่ 760 เคลือบแคลงใจ
ซูจิ้งไม่ได้รับรู้เรื่องแปลกประหลาดที่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่กองขยะภายในเมือง เขายังคงวุ่นอยู่กับการศึกษาขยะที่เขาได้เหลือเอาไว้นั่นก็มนุษย์ต้นไม้
พวกมันค่อนข้างกินพื้นที่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาพอสมควรเลย
ก่อนหน้านี้ตอนที่เจอซากของมนุษย์ต้นไม้ เขาได้ลองนำรากและกิ่งที่ได้จากซากพวกมันไปปักชำทั้งในดินธรรมดา เศษแร่หินวิญญาณ และดินจอมเขมือบ
แต่ไม่มีส่วนไหนเลยที่ดูจะมีชีวิตรอดได้เลยซักส่วนเดียว ถึงตอนแรกในส่วนกิ่งไม้จะดูมีท่าทีว่าจะรอดก็ตามแต่สุดท้ายมันก็ตายลงเมื่อไม่มีรากไว้คอยดูดซึมสารอาหาร
ซูจิ้งก็ยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะเพาะเลี้ยงมนุษย์ต้นไม้ ถึงแม้จะมีโอกาสที่พวกมันจะกลายเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาแต่ยังคุ้มค่าถ้าพวกมันรอดมาได้
“เอ้อ นี่ฉันลืมเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯไปได้ยังไงกัน ไม่รู้ว่าจะใช้ได้รึเปล่าแหะ” ซูจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีที่เขาคิดออก
เวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นเวทย์ที่ใช้ในการรักษาโดยอาศัยพลังงานจากธรรมชาติก็ตามแต่ยังไงซะมันก็ถือได้ว่าเป็นเวทย์ธาตุไม้แถมยังช่วยในการติดต่อสื่อสารกับต้นไม้ได้
เขานึกถึงความรู้สึกตอนที่เขาเคยฝึกในการดูดซับพลังธาตุไม้ที่อยู่ในต้นไม้และยังปรับเปลี่ยนรูปร่างของต้นไม้ได้อย่างใจนึก
ถ้าเขาทำแบบนั้นกับกิ่งก้านของมนุษย์ต้นไม้จะช่วยให้พวกมันรอดได้รึเปล่านะ
ซูจิ้งนึกได้ดังนั้นจึงได้ลองทำดู เขาปิดตา วางฝ่ามือทาบลงบนลำต้นของมนุษย์ต้นไม้
เขาได้รู้สึกถึงพลังธรรมชาติที่อยู่ในแก่นของมัน ถึงแม้พวกมันจะดูเหมือนตายแล้วแต่มันก็ยังคงมีใบที่ดูเขียวชะอุ่ม
เขาคิดว่าพวกมันยังไงก็ยังคงมีชีวิตอยู่เพียงแต่อาจจะหลับไหลแค่นั้นเอง
ทันใดนั้นรากของเศษซากมนุษย์ต้นไม้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กิ่งก้านและใบไม้ของมันเริ่มมีการสั่นไหว
กิ่งก้านและใบบางส่วนเริ่มเหมือนส่งเสียงแห่งจังหวะหัวใจออกมา
และสีใบและกิ่งก้านดูเข้มมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนมันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
หลังจากนั้นซักพัก กิ่งก้านบางส่วนเริ่มมีเสียงแตกหักและได้มีรากงอกออกมา จนเหมือนกับเป็นต้นไม้อีกต้นหนึ่ง
“สำเร็จ ไม่นึกเลยว่าเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯจะใช้แบบนี้ก็ได้แหะ” ซูจิ้งแสดงท่าทีออกมาอย่างดีใจ เขาได้ทำการตัดกิ่งไม้ในส่วนที่มีรากออกมาแล้วนำมันไปปลูกลงในดินแล้วรถน้ำพวกมัน
ซูจิ้งก็ยังคงทำเช่นนี้กับซากของมนุษย์ต้นไม้ต้นอื่นๆ โดยเขาแยกไปปลูกในสถานที่ๆต่างกันไป บางส่วนปลูกลงบนชั้นสาม บางส่วนปลูกลงบนเกาะทะเลทราย วนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ในส่วนเมล็ดของพืชเวทย์มนต์เขาก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และเขายังพวกมันบางส่วนไปปลูกลงในเศษแร่หินวิญญาณก็พบว่า 66 ต้นได้งอกออกมา พวกมันดูเหมือนจะไม่ได้ปลูกยากเหมือนดั่งที่เขากลัวไว้
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ทำการศึกษาสมุดบันทึกของจอมเวทย์ อัญมณีเวทย์มนต์ จนกระทั่งได้ความรู้เพิ่มขึ้นพอสมควร
ถึงแม้จะดูเหมือนง่ายแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่เข้าใจและยังไม่สามารถสร้างอาวุธเวทย์มนต์ได้ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ
ไม่อย่างนั้นอาจจะเผลอไปทำลายอัญมณีเวทย์มนต์เอาได้
“ฉันจะซ่อมเจ้างานแกะสลักหินที่แตกออกมายังไงดีหว่า” ซูจิ้งเลือกที่จะคิดว่างานแกะสลักหินนั้นเป็นเพียงงานแกะสลักธรรมดาเท่านั้น
เขาเลือกที่จะมองข้ามความจริงไปว่าพวกมันเป็นคนมาก่อนเพราะมองจากภายนอกดูยังไงก็เป็นงานแกะสลักหินชั้นเลิศอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามปัญหาในการซ่อมแซมงานแกะสลักหินนี้ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือความละเอียดอ่อนเพราะงานแกะสลักหินนี้มีความละเอียดอ่อนระดับเห็นรูขุมขน
ถ้าเป็นงานแกะสลักหินทั่วไปแค่ให้ช่างธรรมดามาซ่อมแซมโดยนำส่วนที่หักมาต่อแค่นั้นก็พอ
แต่ด้วยความละเอียดระดับนี้ต่อให้เป็นช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ก็ไม่มีทางซ่อมได้เลย
ถ้าจะพูดให้ถูกคือบนโลกในตอนนี้ยังไม่มีวิธีการซ่อมแซมได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ซ่อมแซมได้แต่หากยังเหลือร่องรอยเอาไว้มูลค่าของพวกมันก็จะยิ่งลดลงกว่าไม่ซ่อมซะอีก
ไม่ว่าซูจิ้งจะอยากจะซ่อมแค่ไหนแต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าควรจะซ่อมแซมยังไงดี
“เฮ้อ คงได้แต่เก็บเอาไว้ก่อนล่ะมั้ง ไม่แน่ว่าภายหน้าฉันอาจจะนึกวิธีออก
ไม่ก็อาจพบเทคนิคดีๆในการซ่อมก็ได้ ยังไงซะตอนนี้ฉันก็มีงานแกะสลักหินที่สมบูรณ์แล้วสองชิ้น
ถ้ามีมากกว่านี้น่าจะทำให้ด้อยค่าลง” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้เก็บรูปแกะสลักหินลงไปในกระเป๋ามิติ
สุดท้ายซูจิ้งได้หยิบเอาลูกธนูและแขนกลออกมา หลังจากพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เขานั้นก็ยังไม่พบอะไรน่าสนใจในลูกธนูอันนั้น ลวดลายเองก็ไม่ใช่ลวดลายเวทมนต์เหมือนอุปกรณ์ชิ้นอื่นที่เจอ ส่วนแขนแกลนั้นเขายิ่งดูยิ่งงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นก็เพราะว่ารูปลักษณ์และเทคนิคที่สร้างมันขึ้นมาล้วนมหัศจรรย์พันลึก
โดยเฉพาะในส่วนของข้อแต่ไม่ว่าจะเป็นข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้ว แต่ละส่วนล้วนแล้วแต่ดูยืดหยุ่นเหมือนกับใช้เทคนิคชั้นสูงในการผลิต
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแขนกลสุดล้ำยุคเลยแหะ ไม่รู้เหมือนกันว่าตูเว่ยสร้างขึ้นมาได้ยังไง
เพราะตัวตูเว่ยก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีสักเท่าไหร่
แถมยุคที่หลุดเข้าไปเป็นยุคบรรพกาลซะอีก เทคโนโลยีสมัยนั้นทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ
หรือว่าเขาจะใช้ความรู้บนโลกไปประยุคเข้ากับศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุบนห้วงเวลาฯนั้นกันนะ”
ซูจิ้งทำได้แค่สงสัยจนต้องตั้งสมมุติฐานขึ้นมา
หลังจากเขาดูแขนกลนั่นไปอีกพักใหญ่ เขายิ่งเกิดข้อกังขาขึ้นมาจึงตัดสินใจที่จะนำเจ้าแขนนี่ไปยังสถาบันวิจัยวัสดุเทียนซือเพราะที่นั่นน่าจะมีนักวิจัยที่น่าจะทำอะไรเจ้าแขนนี่ได้มากกว่าเขา
“หัวหน้า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” เจียงจื่อยิ้มทักทายเมื่อเขาเห็นซูจิ้งเข้าไปยังสถาบัน
“ฮ่าฮ่าเพราะผมเชื่อใจคุณยังไงหล่ะ” ซูจิ้งได้กล่าวยกยอเจียงจื่อ ยังไงซะการกล่าวยกยอผู้คนแบบนี้เขารู้สึกว่าให้ความรู้สึกดีกว่าการให้เงินหรือสิ่งของเป็นไหนๆ
“ว่าแต่วันนี้หัวหน้ามีอะไรรึเปล่าครับถึงได้มาที่นี่วันนี้” เจียงจื่อถามออกมาพร้อมชะเง้อมองเป้ที่ซูจิ้งสวมมาด้วยพร้อมความรู้สึกตื่นเต้นที่ค่อยๆออกมา
เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำไปแล้วว่าเมื่อใดที่ซูจิ้งมาหา เมื่อนั้นเขาจะนำสิ่งน่าสนใจมาด้วยทุกครั้ง
“เอาจริงๆก็มีนะ วันนี้ผมมีของมาให้คุณช่วยศึกษาดูหน่อยน่ะ ยังไงก็เรียกติงบินและเทาจงมาด้วยก็ดีนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เยี่ยม” เจียงจื่อรีบโทรหาติงบินและเทาจงที่กำลังอยู่ในแล็บทันที
เทาจงกำลังศึกษาแผงพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในช่วงนี้เพื่อหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของแผงนี่เพราะว่าเจ้าแผงพลังงานแสงอาทิตย์นี่ทุกครั้งที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพ
ค่าใช้จ่ายในการผลิตก็เพิ่มเติมเขาจึงพยายามหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพโดยลดราคาค่าใช้จ่ายในการผลิตลงให้ได้ ความจริงเขาก็คิดเรื่องนี้มาได้พักใหญ่แล้วแต่เขาทำคนเดียวไม่ไหว
แต่เมื่อได้เทาจงมาช่วยทำให้เขานั้นคิดว่าโครงการนี้ต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอน
และด้วยความน่าเชื่อถือของเทาจงทั้งในเรื่องความรู้และความไว้ใจได้ซูจิ้งถึงให้เขามาด้วย
“สิ่งนี้” ซูจิ้งได้เปิดกระเป๋าเป้ที่เขาสะพายออกมาและได้นำแขนกลออกมาให้ทุกคนดู
เมื่อทั้งสามคนได้เห็นแขนกลพวกเขาได้แต่ทำหน้านิ่งอึ้งไป
พวกเขาได้หยิบแขนกลนี้มาสำรวจในแต่ละจุด พวกเขาตกตะลึงในส่วนที่เป็นข้อต่อมากที่สุดเพราะว่ามันช่างดูยืนหยุ่นเหมือนแขนจริงๆ
นอกจากนั้นพวกเขาได้ลองทดสอบวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแขนกลนี้
เมื่อผลออกมาพวกเขาก็ทำได้แค่ประหลาดใจ
“โลหะผสมนี้แข็งมาก แทบจะบอกได้ว่าพอๆกับโลหะผสมของพวกเราเลย”
“ดูเหมือนว่าจะมีส่วนผสมบางอย่างที่ดูแปลกตานะ ผมเองก็ไม่เคยเห็นส่วนผสมนี้มาก่อน”
“พวกคุณสามารถบอกได้เพียงแค่เห็นมันเฉยๆเนี่ยนะ แล้วมันใช่แขนกลล้ำยุครึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
เขานั้นไม่ได้แปลกใจเรื่องส่วนผสมนักเพราะยังไงซะมันก็มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
เป็นไปได้อยู่แล้วว่ามันต้องทำจากวัตถุดิบที่ไม่มีในโลกใบนี้ ด้วยความรู้เรื่องเล่นแร่แปรธาตุเป็นธรรมดาที่จะทำวัสดุที่แข็งกว่าโลหาผสมธรรมดาได้
แต่ที่ซูจิ้งสนใจก็คือวิธีการสร้างเจ้าสิ่งนี้ว่าพอจะเป็นไปได้รึเปล่า
“ก็เป็นไปได้ครับแต่เรายังไม่แน่ใจนัก พวกเราต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง”
ตอนนี้เหล่านักวิจัยทุกคนที่นี่ต่างเข้ามาให้ความสนใจที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยแขนกลอันนี้
เท่าที่ซูจิ้งประเมินแล้วน่าจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบพอสมควร ซูจิ้งจึงไม่ได้อยู่รอ
เขาออกมาจากที่นั่นและได้บอกเจียงจื่อไว้ว่าให้รายงานให้เขาทราบทันทีที่รู้ผล