บทที่ 559 เธออยากจดจำไว้ตลอดไป

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ด้านล่าง มีรถหรูสีดำจอด

อาคิระเงยหน้า จากมุมนี้เห็นหน้าต่างที่สว่างพอดี

ชัดเจนเลยว่า ทั้งสองคนกลับถึงบ้านแล้ว

เขาหยิบบุหรี่มามวนหนึ่ง คาบไว้ที่ริมฝีปาก แล้วสูบบุหรี่

สุดท้าย เขาก็โยนก้นบุหรี่ลงบนพื้น

ไฟสีแดงส่องแสงในยามค่ำคืน เขาขับรถออกไป ไม่ได้ขึ้นไป

พนาวันเป็นหวัดแล้ว

เธอรู้สึกไม่สบาย เดินอย่างแผ่วเบา บีบหน้าผาก นั่งไปบนโซฟา

หมีพูลกดน้ำอุ่นแก้วหนึ่งจากเครื่องทำน้ำ

ร่างเล็กๆนั่งยองๆข้างลิ้นชัก

พอเขาหันกลับมาและเดินกลับไปด้านข้างพนาวัน ในฝ่ามือเขาก็มีอะม็อกซีซิลลินสามเม็ดและยาแก้หวัด:“แม่ดื่มสิครับ”

พนาวันตะลึงเล็กน้อย เบ้าตาร้อนผ่าว รู้สึกอิ่มเอม

เธอลูบผมของเขา รับไว้ แล้วดื่ม:“อยากกินอะไรอีกไหมลูก?”

เธอลำบากมาก

แต่ว่า หมีพูลเป็นเด็กรู้เรื่องจนทำให้รู้สึกรัก

“ผมไม่หิวครับ”

หมีพูลส่ายหน้า คว่ำลงที่โซฟา:“วันนี้……พ่อไม่กลับมาเหรอครับ?”

“ไม่จ้ะ ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนนะ”

เธอไม่ได้รู้สึกอะไรนัก จากนั้นพาเขาไปที่ห้องนอน

หมีพูลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง:“งั้นพ่ออยู่ที่คฤหาสน์เหรอครับ?”

“ไม่รู้สิ อาจจะใช่ บ้านของเขาเยอะมาก ลูกนอนเถอะ”เธอยื่นมือไปตบกล่อมเขาเบาๆ

บ้านของอาคิระที่เฮทเคก็มีมากเกินกว่าจะนับอยู่แล้ว เธอจะรู้ได้ไงว่าเขาอยู่ที่ไหน?

อาจพูดได้ว่า เขามีบ้านกี่หลังในเฮทเค เธอก็ไม่รู้

อย่างเดียวที่เธอรู้คือ ที่เขามักกลับไปในเฮทเคก็คือคฤหาสน์อนันต์ธชัย แทบจะมากกว่าครึ่งชีวิตที่อยู่ที่คฤหาสน์อนันต์ธชัย

แม้ว่า คฤหาสน์อนันต์ธชัยจะไม่มีใครแล้ว

พ่อแม่อาคิระเสียไป จากนั้นก็คุณท่าน

จากนั้นก็เป็นเอวาอีก

จนตอนนี้ คฤหาสน์อนันต์ธชัยนั้นว่างเปล่าแล้ว เหลือเพียงแค่อาคิระ

ได้ยินว่า ไม่เคยมีผู้หญิงเข้าออกที่นั่นเลย

หลายปีมานี้ ข้างกายเขามีผู้หญิงอยู่ตลอด ทั้งเล่นสนุกบ้างเป็นครั้งคราว หรือว่าการแสดงปลอมๆที่แกล้งเป็นจริง

แต่ต่างไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้เลย เธอก็เหมือนกัน

ถึงแม้ เธอจะเป็นภรรยาในนามของเขา

เขาไม่กลับมา เธอกลับรู้สึกสบาย อย่างน้อยก็ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น

ก็แค่ คิดถึงอาการป่วยของตัวเองแล้ว และหมีพูล ก็กระวนกระวายใจอย่างมาก

กลับไปที่ห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้าออก ก็เห็นชุดสูทผู้ชายสองสามตัวแขวนไว้ด้านข้างโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นของที่เขาทิ้งไว้ในสองวันนี้

พนาวันมองไปนิ่งๆ แล้วหยิบเสื้อของตัวเองมาสวม จากนั้นปิดตู้เสื้อผ้าลง

พอในห้องน้อยไปคนหนึ่ง ลมหายใจก็ไม่อึดอัดอีกต่อไป

เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว กลับเปลี่ยนไปกว้างขวางมากขึ้น ก็แค่เยือกเย็นและหนาวมากขึ้น

คืนนี้ อาคิระไม่ได้กลับมานอนจริงๆ

เธอคิด นึกว่าไม่รักแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาลัยอาวรณ์ เสียใจและเจ็บปวด

ดึกขนาดนั้นแล้ว เธอพาลูกออกไปจากสวนสาธารณะ เขาก็ไม่กลับมาดูเลย

ทั้งๆที่ รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว

แต่ในใจ ทำไมถึงยังคาดหวัง?

วันถัดมา

ส่ง将หมีพูลเสร็จ เธอก็เริ่มวาดรูป

ตอนที่หมีพูลออกไปก็บอกว่าโรงเรียนจะมีประชุมผู้ปกครอง แต่เธอปฏิเสธ ให้ลุงสินไปแทน

อาหารหวัดรุนแรงเล็กน้อย บวกกับอากาศที่หนาวเย็นแบบนั้นและยังอยู่ในน้ำนานมาก เธอจึงรู้สึกแค่ว่าตัวเองซมซาน

เธอวางปากกาลง กลับไปที่ห้องนอน นอนลงบนเตียง

แล้วหน้าผากเธอก็ร้อนขึ้นมา เธอหลับตาลง แล้วขดตัว

ความรู้สึกนึกคิดนั้นไม่อาจยืนหยัดมีสติต่อไปได้ ได้แต่สะลึมสะลือ

เหมือนชัดเจนแต่ก็ไม่ชัดเจน เหมือนฝันแต่ก็ไม่ฝัน แยกไม่ออกว่าอะไรคือความจริงและความฝัน

งุนงง สติไม่ชัดเจน เธอฝันเห็นอาคิระเดินเข้ามา

ใบหน้ายังคงหม่นลงดูไม่ดี พอมือแตะโดนหน้าผากของเธอ จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร

จากนั้น ก็รู้สึกว่าที่แขนรู้สึกอะไรมาทิ่มจนเจ็บอย่างบอกไม่ถูก

พอเธอเงยหน้ามา ก็ให้น้ำเกลือแล้ว

จากนั้น เธอก็ได้ยินอาคิระพูดด้วยน้ำเสียงหม่นลง:“อดทนเก่งไม่ใช่เหรอ?ทะเยอทะยานไม่ใช่เหรอ?”

อยากจะพูด แต่ปากก็แห้งมาก เธอพึมพำไปว่า:“น้ำ……”

ในความพร่ามัวนั้น เธอก็ได้ยินชายหนุ่มก่นด่าอีกครั้ง

“ทำไมไม่กระหายจนตายไปเลยล่ะ?”

จากนั้นน้ำก็ค่อยๆเข้าไปในปาก ความแห้งเหือดกระหายน้ำหายไปทันที เหลือเพียงแต่ความหอมหวานชุ่มชื่น

เธอเม้มปากอย่างพอใจ หลับตาลง

ความฝันนี้ช่างเหมือนจริงเสียจริง แต่เธอรู้ดี ว่านี่เป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น

เธอแยกออกระหว่างความฝันและความจริง

การนอนนี้ยาวนานมาก

พนาวันลืมตามา

เห็นเพียงหน้าเล็กๆของหมีพูลพร้อมสายตาที่ดูกังวลนอนอยู่ตรงนั้น ลุงสินเสิร์ฟโจ๊กเข้ามา

ข้างในห้อง ไม่มีร่างของอาคิระเลย

สายตาเธอหม่นลง ค่อยๆนั่งขึ้นมา:“ขอบคุณนะคะ ลุงสิน”

ลุงสินส่ายมือ:“รีบทานโจ๊กเถอะ หมีพูลเป็นห่วง เอาแต่เฝ้าตรงนี้ ข้าวก็ไม่กินเลย”

“ฉันไม่มีแรงทำอาหารด้วย ลุงสิน ชั้นล่างมีร้านอาหาร ช่วยไปซื้ออาหารสองสามอย่างมาหน่อยได้ไหมคะ?”

ลุงสินตกลง แล้วออกไป

พนาวันเอาโจ๊กมากิน ลุงสินก็ขึ้นมาพอดี โจ๊กเมื่อเช้ายังอยู่ ก็เอาไปอุ่นแล้ว

เธอให้ลุงสินกินกับหมีพูล

ลุงสินไม่ยอมท่าเดียว เธอจึงพูดว่า:“ลุงสินกินกับเขาเถอะค่ะ หมีพูลกินคนเดียวก็ไม่ค่อยกินเท่าไหร่ มีคุณกินด้วยฉันก็โล่งอกไปบ้าง”

ได้ยินคำนี้ ลุงสินจึงนั่งลง

“ใช่สิ……”เธอก้มลง น้ำเสียงดูระวัง พร้อมกับหยั่งเชิง“ลุงสิน ตอนที่คุณมา เห็นอาคิระไหมคะ?”

บางที ตัวเองอาจจะไม่ได้ฝันไป

ลุงสินส่ายหน้า:“ไม่เลย คุณชายไปจัดการเอกสารที่บริษัท”

สุดท้ายก็เป็นเธอ ที่คิดมากไป

หมีพูลหยิบจาน ตักอาหารข้างในออกมาเล็กน้อย ถือไปตรงหน้าเธอ แล้วยื่นโจ๊กให้เธอชามหนึ่ง:“แม่ยังกินไม่เยอะเท่าหมีพูลเลย กินอีกหน่อยสิครับ”

พนาวันกินไม่ลง แต่เห็นใบหน้าเล็กๆนั้นแล้ว เธอก็ยกขึ้นมา ฝืนกินไป

หมีพูลเป็นเด็กรู้เรื่อง อาการที่เอามาเป็นรสจืดๆ ไม่ได้รสจัด

เขาเป็นเด็กที่พนาวันเลี้ยงด้วยตัวเองจนโต สำหรับเรื่องเคยชินของแม่ ในใจเขารู้ดี

กินข้าวเสร็จ พนาวันจึงให้เขาไปพักผ่อน

แต่เขาไม่ยอม นั่งอยู่ตรงนั้น อยู่กับเธอ

นานแล้วที่เขาไม่ได้ทำตัวติดแบบนี้ พนาวันถอนหายใจเล็กน้อย ยื่นมือไปเปิดผ้าห่ม แล้วตบไปยังด้านข้าง:“ขึ้นมาสิ”

หมีพูลเชื่อฟังมาก แป๊บเดียวก็ถอดรองเท้าบนเท้าของตัวเองออก และยังไม่ลืมวางไว้ระดับเดียวกับเธอด้วย จากนั้นมุดเข้าไปข้างใน

“คืนนี้นอนนี่ละกัน ไม่ได้นอนด้วยกันนานแล้วด้วย ตั้งแต่ที่ลูกโต”พนาวันพูด“ต่อไป ต้องนอนกับแม่นะ โอเคไหม?”

หมีพูลแปลกใจเล็กน้อย แต่ดีใจมากกว่า!

“อือ!”เขาพยักหน้าแรงๆ ยื่นมือไปกอดเธอ:“แม่ตัวนุ่มจัง หอมมาก!”

พนาวันหยิบอัลบั้มออกมา

รูปของหมีพูลตั้งแต่หนึ่งขวบจนแปดขวบ สามเล่มหนาๆ เยอะมาก

“มา มาดูลูกเมื่อก่อนสิ”

คนอื่นต่างเคยพาลูกไปสตูดิโอถ่ายภาพเพื่อถ่ายภาพแนวสตูดิโอแฟชั่น แต่เธอไม่เคยไป

ถึงแม้ภาพแนวสตูดิโอแฟชั่นจะถ่ายออกมาสวยมาก แต่ดูไม่สมจริง

รูปของหมีพูลเป็นรูปที่เธอถ่ายคนเดียว โดยหยิบกล้องออกมา ดันเขาออกไป จับสภาพตอนที่เขาซุกซนบ้างเป็นบางครั้ง

ในอัลบั้มจำนวนมากนั้น มีแค่หมีพูลคนเดียว

ไม่งั้นก็เป็นรูปคู่ของหมีพูลกับเธอ ไม่มีอาคิระ

เขาไม่ชอบถ่ายรูป และอยู่ที่เมืองเฮทเคก็เป็นเวลาสั้นๆ และไม่ค่อยได้อยู่กับเธอและลูกมากนัก