น่าหลันชิมบัวลอยที่หวานหยดแต่ในใจกลับขมขื่นยิ่งกว่า คุณหญิงไม่รู้อะไรแต่เธอกลับรู้ดีว่าทุกอารมณ์ที่เย่เซียวจะแสดงออกมาให้เห็นเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นเสมอ…
……
ไป๋ซู่เย่กดโทรไปยังเบอร์นั้น ฟังเสียงรอรับสายที่ยาวนานพร้อมหัวใจที่บีบแน่นเพราะความประหม่า
ครั้งแรก ไม่มีคนรับสาย
เธอลังเลชั่วขณะ เชยตามองท้องฟ้ามืดครึ้มนอกหน้าต่าง สูดหายใจเข้าเฮือกลึกก่อนโทรออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้…
รอเสียงรอสายดังเสียงที่สาม ในที่สุดโทรศัพท์ก็ถูกกดรับ
เงียบ
อีกทางยิ่งเงียบเสียจนไม่ได้ยินเสียงหายใจ
ความเงียบแบบนี้ทำให้เธออึดอัดแทบขาดอากาศหายใจ เธอพ่นลมออกมาหนักๆ ทีและหาเสียงตัวเองเจอในที่สุด “เย่เซียว ฉันท้องแล้ว…”
อีกทางหนึ่ง…
ยังคงเงียบ
เงียบเหมือนตาย
ข่าวนี้เห็นได้ชัดว่าสร้างความสะเทือนแก่เย่เซียวอย่างมาก
ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แสบตา “พรุ่งนี้…ฉันจะไปเอาเด็กออก”
พูดถึงนี่สายถูกคนอีกฝั่งกดวางไป ไป๋ซู่เย่ได้ยินเสียง ‘ตู๊ดตู๊ด’ ที่ดังมาทางสาย รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งหัวใจ
เขาไม่ได้ฟังคำอธิบายของเธอก็ตัดสายไปทันที บางทีอาจจะโกรธถึงที่สุดแล้วสินะ…
กำลังคิดว่าควรโทรไปอีกหรือไม่ โทรศัพท์กลับดังขึ้นฉับพลัน
เป็นข้อความหนึ่งฉบับ
มาจากเขา
สั้นๆ ได้ใจความ
“กำลังซักซ้อมงานแต่ง”
เธอยังไม่ทันตั้งตัวทันก็มีอีกหนึ่งข้อความเด้งเข้ามา “เด็ก เอาออกเถอะ”
เธอมองประโยคท้ายนิ่ง มือกระตุกสั่นและถัดจากนั้นเพียงรู้สึกเจ็บเสียดที่ท้องน้อย เจ็บจนเธอหายใจไม่ออก
เธอกดท้องน้อยไว้ค่อยๆ เลื่อนตัวนั่งลงไป เดิมทีคิดว่าเช่นนี้จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ความเจ็บนั่นกลับไม่คลายลงสักนิด ยิ่งทวีความรุนแรง
เธอรู้สึกเหมือนของมีค่าบางอย่างในร่างกายกำลังถูกพรากออกไปทีละนิดๆ…
เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก
เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นลมหมดสติไป กำโทรศัพท์ใช้แรงเฮือกสุดท้ายกดโทรสายฉุกเฉิน…
…………………………
น่าหลันลบข้อความและสายที่โทรเข้าอย่างเด็ดขาด วางโทรศัพท์ลงพร้อมกับวางโทรศัพท์กลับตำแหน่งเดิมอย่างรอบคอบ
ในหัวครู่นานที่เป็นประโยคที่ไป๋ซู่เย่บอกว่า ‘ท้อง’
เธอ…กลับท้องลูกของเย่เซียว!
เธอจะเอาออกไหม?
ถ้าเย่เซียวรู้ว่าเธอท้อง ถ้าอย่างนั้นเกรงว่างานแต่งงานพรุ่งนี้คงจะ…
ยิ่งคิดยิ่งลน ยิ่งคิดยิ่งว้าวุ่น
กระทั่งเสียง ‘ครืด’ดังขึ้น ประตูห้องอาบน้ำถูกผลักออกจากข้างใน เธอสะดุ้งเฮือกไม่กล้าหันกลับไป
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?” เสียงเย่เซียวเย็นชาเช่นเคย
“ฉัน…คุณป้าทำบัวลอยมาให้เรา บอกว่ารูปร่างกลมเกลียวมีนิมิตหมายที่ดีว่าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ให้ฉันยกเข้ามาให้คุณ” น่าหลันอธิบาย
เย่เซียวใช้สายตาฉงนมองเธออยู่ครู่ใหญ่ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่กล้าสบสายตาเขา
“ยังมีธุระอีกมั้ย?”
สุดท้ายเย่เซียวถาม
เธอลอบถอนหายใจทีถึงกล่าว “เย่เซียว พรุ่งนี้เรา…”
“ผมเหนื่อยแล้ว คุณออกไปเถอะ” เย่เซียวพูดขัดเสียงเธอ เขาดูเหนื่อยจริงๆ เพราะเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนล้า เขานั่งลงบนโซฟามองบัวลอยเหล่านั้น ไม่อยากอาหารสักนิด
กลมเกลียว?
ช่างน่าขำ
มีหัวใจที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะให้เขาไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับใคร?
……………………
ขณะนี้อีกฟากหนึ่ง…
“เสียเลือดเยอะมาก เด็กไม่รอดแล้ว!”
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเธอเจ็บจนลืมตาไม่ขึ้น แผ่นหลังเปียกโชกด้วยเหงื่อ
คำพูดของหมอดังสะท้อนอยู่ข้างหูเธอ ยังคงทำให้เธอรู้สึกปานใจจะขาด
ไม่รอดแล้ว…
รู้แต่แรกว่าไม่มีทางรอดแต่ยามเด็กค่อยๆ ถูกพรากไปจากเธอนั้นเธอก็แทบจะหมดสติไปเพราะแรงสะเทือนใจ
สุดท้าย…
แม้แต่ลูกของพวกเขาก็ทอดทิ้งเธอไปแล้ว…
ระหว่างพวกเขา ไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ…
“พ่อของเด็กล่ะ? ญาติอยู่ไหน? คุณ จะโทรหาใครมั้ย?”
“ไม่นะ…” เธอใช้สติเส้นฟางสุดท้ายรวมถึงเรี่ยวแรงแทบจะทั้งตัวปฏิเสธคุณหมอ “อย่าโทรหาใคร…”
เขาไม่ต้องการเด็กคนนี้!
ภายใต้การไม่ทราบสถานการณ์ของเด็กคนนี้ ให้เธอเพียงสองพยางค์ที่กระชับและตรงไปตรงมาและใจร้ายมากที่สุด—เอาออก…
วินาทีนั้นเหมือนเฉือนหัวใจเธอทิ้งอย่างไรอย่างนั้น
………………
หลังจากนั้นทุกขั้นตอนเธอทั้งตื่นทั้งชา รู้สึกได้ถึงของบางอย่างถูกสอดเข้ามาคว้านในร่างกาย พรากเอาสิ่งของสำคัญที่สุดของเธอไป เธอเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บแต่ก็เจ็บไปทุกอณูของร่างกาย
หลังจากนั้นเธอได้หลับไปในสภาพที่สะลือสะลือ ไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออีก
รอฟื้นมาอีกทีก็เป็นเช้าตรู่อีกวัน
ฟ้าสว่างแล้ว แสงอาทิตย์ลอดผ่านกลุ่มเมฆเข้ามาในห้อง หิมะข้างนอกที่ซ้อนเป็นกองๆ ละลายไปแล้ว ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย
“คุณไป๋ ฟื้นแล้วเหรอ” พยาบาลผลักประตูเข้ามาทักทายเธอ “รู้สึกยังไงบ้าง ยังเจ็บมั้ยคะ?”
ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ อ้าปากพูดอย่างอ่อนแรงน้อยๆ “ยังดีค่ะ”
เพียงแต่ว่า…
สุดท้ายเด็กก็ไม่อยู่แล้ว…
“พักผ่อนดีๆ สุขภาพของคุณไม่ได้ดีเท่าไหร่ จะเปิดทีวีดูหน่อยมั้ย?”
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ เปิดโทรทัศน์อย่างน้อยก็ครึกครื้นหน่อย ไม่ดูเงียบเหงาขนาดนั้น
เปิดโทรทัศน์แล้วกดเปลี่ยนช่องตามใจตัวเอง โทรศัพท์ดังขึ้นในเวลานั้น เธอหยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งพบว่าหน้าจอแสดงคำว่า ‘ไป๋หลาง’
“รัฐมนตรี คุณลงมาเถอะ ตอนนี้ผมอยู่ใต้ตึกห้องคุณ”
“ไม่ต้องหรอก วันนี้นายไปทำงานของนายเถอะ ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนฉันแล้ว” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับด้วยเสียงที่อ่อนแรง
“คุณ…ไม่ทำแท้งแล้วเหรอ?” ไป๋หลางถาม
ทำแท้ง ไม่ใช่ไม่ทำ แต่จบลงแล้ว…
ไป๋ซู่เย่กำลังจะพูดอะไรแต่ภาพที่ฉายขึ้นหน้าจอโทรทัศน์ทำให้เธอนิ่งงันไป
ช่องโทรทัศน์กำลังออกข่าว ส่วนภาพของข่าว…กลับเป็นการถ่ายทอดสดงานแต่งงานของเย่เซียวในวันนี้
ในงานแต่งงานถูกจัดแต่งอย่างยิ่งใหญ่ กล้องแพลนไปตลอดทางกลับไม่พบตัวเจ้าบ่าวในวันนี้ แต่เจ้าสาวที่ผ่านหน้ากล้องเป็นครั้งเป็นคราวกลับมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข…
เธอดูไปดูไป น้ำตาเริ่มคลอหน่วย
“รัฐมนตรี?” ไป๋หลางไม่ได้ยินเสียงเธอเลยเรียกเบาๆ ทีหนึ่ง
“ฉันอยู่” เธอหลุดจากภวังค์ กัดปากกลั้นน้ำตา “ฉันกำลังดูถ่ายทอดสดงานแต่งงานของเย่เซียว ยิ่งใหญ่มาก…”
ไป๋หลางที่อยู่อีกทางไม่พูดสักประโยค น้ำเสียงของเธอเศร้าโศกและอ้างว้างมากขนาดนั้น
“เรื่องที่คุณท้อง บอกเขาไปแล้วหรือยัง?” ไป๋หลางถาม
“บอกแล้ว”
“งั้นเขาว่ายังไง?”
“ว่ายังไง?” เธอยิ้มขมขื่น “ตอนนี้เขาเป็นเจ้าบ่าวของคนอื่นแล้ว นายว่าเขาจะว่ายังไง?”
ไป๋หลางรู้ได้ทันทีว่าเธอได้คำตอบอย่างใดมา สบถคำหยาบออกมาทีอย่างโกรธเคือง
“ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่คุยกับนายแล้ว” ไป๋ซู่เย่วางสายไปรวมถึงปิดเครื่อง
………………………