“ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่คุยกับนายแล้ว” ไป๋ซู่เย่วางสายไปรวมถึงปิดเครื่อง เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน…เหนื่อยจนไม่อยากจะพูดกับใครแม้แต่คำเดียว…
เธอดูภาพที่ฉายอยู่หน้าโทรทัศน์เหมือนทำร้ายตัวเอง แต่ข่าวงานแต่งงานไม่ได้มีมากนัก ไม่นานภาพก็ถูกเปลี่ยนไปยังข่าวอื่น
เธอปิดโทรทัศน์ไม่ได้ดู
หลับตานอนบนเตียง หน้าอกโล่งเปล่าราวกับถูกใครควักให้เหลือเพียงความว่างเปล่าอย่างไร้ความปราณี…
………………
ณ ตอนนี้ที่เมืองเยียว
นอกห้องโรงแรมเสียงเก้าอี้เข็นดังเข้ามาเรื่อยๆ
คนรับใช้ยืนอยู่นอกประตูอย่างหวาดระแวงโดยโค้งคำนับให้กับนายท่านบนเก้าอี้เข็นที่มีเฉิงหมิงเป็นผู้เข็น “คุณไฟ นายน้อยที่อยู่ข้างในยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า”
“เปิดประตูห้อง” ไฟเรนเซ่หันกลับมามองเฉิงหมิง
“ครับ นายท่าน” เฉิงหมิงหยิบการ์ดรูดเปิดประตูห้อง
ประตูบานหนาหนักอึ้งของโรงแรมเปิดออก ควันบุหรี่ลอยโขมง สำลักจนแสบไปทั้งปอด
ท่ามกลางควันสีเทา เจ้าบ่าวในวันนี้นั่งอยู่บนโซฟาโดยหันแผ่นหลังให้ประตู
“ทำไม? พนันได้แต่แพ้ไม่ได้? นี่ไม่ใช่นิสัยของแกนะเย่เซียว!” ไฟเรนเซ่หมุนล้อเก้าอี้เข็นเข้าไป ขมวดคิ้วพลางสั่งให้คนรับใช้ “ไปเปิดหน้าต่าง สูบบุหรี่เยอะขนาดนี้ มันใช่เรื่องมั้ย!”
เย่เซียวถึงลุกขึ้นช้าๆ ดับไฟบุหรี่ในมือ เขามองไฟเรนเซ่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง“ท่านออกไปเถอะ ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ทันใดนั้นคุณแม่เย่เดินเข้ามาจากข้างนอก
ควันโขมงนี้ทำให้เธอมุ่นคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน อดพูดตำหนิไม่ได้ “ทำไมสูบบุหรี่อีกแล้ว? แม่บอกลูกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้สูบน้อยๆ?”
“ลูกชายคนนี้เห็นสุขภาพตัวเองเป็นเรื่องตลก ฉันยุ่งไม่ได้แล้ว คงต้องให้คุณมาดูแล้วล่ะ” ไฟเรนเซ่หันกลับไปมองคุณแม่เย่แวบหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่ดูดีนัก
คุณแม่เย่มองเขาวูบหนึ่งไม่ตอบอะไร ไฟเรนเซ่มั่นใจว่าเขาไม่คิดจะผิดคำพูดเลยไม่อยู่นานกว่านั้น
สักพักภายในห้องโรงแรมเหลือเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น คุณแม่เย่มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ยกชุดสูทบนเตียงขึ้นมาเงยหน้ามองลูกชายตัวเอง “ให้แม่ช่วยเปลี่ยนมั้ย?”
เย่เซียวไม่ตอบ แค่ปลดกระดุมเสื้อเหมือนหุ่นยนต์ ใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
คุณแม่เย่ถอนหายใจ “เย่เซียว ที่ลูกเสียใจขนาดนี้เพราะเด็กผู้หญิงอีกคนสินะ?”
เอ่ยถึงเธอ นัยน์ตาที่แต่เดิมไม่มีอารมณ์ใดปะปนวูบไหวทีหนึ่ง ฉายแววหม่นชั่ววูบ
“ในเมื่อชอบเธอมากขนาดนั้นทำไมถึงฝืนใจไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ลองไปตามเธอกลับมาล่ะ?”
“ตามกลับมา?” เย่เซียวแค่นหัวเราะที “ในใจเธอผมเป็นตัวอะไร? ถ้าเธอสนใจผมสักนิดจริงๆ เราไม่ถึงกับต้องเดินมาถึงจุดที่ทุกอย่างสายไปแล้วแบบนี้…”
“ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยเจอเธอหน้าต่อหน้า แต่พอดูออกว่าเธอรักลูกนะ”
“แม่ไม่ต้องปลอบผมหรอก” มีบางคำพูดที่แม้แต่เขายังโกหกตัวเองไม่ได้…
ยิ่งไปกว่านั้นสิบปีก่อน เขาเองก็เคยรู้สึกว่าเธอมีใจแก่ตน แต่…ผลสุดท้ายล่ะ?
“แม่ไม่ได้ปลอบลูกหรอกนะ ครั้งก่อนวันที่ลูกหมั้น ความจริงแม่เคยเจอเธอแล้ว พ่อบุญธรรมของลูกเอาชีวิตแม่มาขู่เธอ ตอนนั้นแม่ก็ดูออกแล้วว่าเธอเป็นห่วงแม่จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรักลูกจากใจจริงทำไมเธอถึงต้องโดนพ่อบุญธรรมของลูกขู่เพราะแม่ล่ะ? พ่อบุญธรรมของลูกบีบบังคับเธอไม่ให้เจอลูกอีก แม่คิดว่า…เธอไม่เคยมาหาลูก คงเพราะมีเรื่องให้คิด แต่ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเพราะไม่รักลูกมากพอ”
“แม่ แม่ว่ายังไงนะ?” เย่เซียวถามอย่างตกตะลึง “แม่บอกว่า…พ่อบุญธรรมเคยเอาแม่มาขู่เธอ?”
“อืม ก่อนหน้านี้แม่ไม่ได้พูดเพราะไม่รู้ว่าลูกมีความรู้สึกต่อเธอมากขนาดไหนและไม่อยากให้ลูกมีข้อบาดหมางกับพ่อบุญธรรมของลูก แต่ภายหลังแม่ดูออกแล้ว ลูกไม่ได้สนใจตัวน่าหลันเลย ในเมื่ออย่างนี้ทำไมถึงต้องทำให้ตัวเองลำบากขนาดนั้น? ไม่ว่าเธอจะไม่มาหาลูกด้วยเหตุผลอะไร ลูกก็น่าจะคุยกับเธอให้รู้เรื่อง” คุณแม่เย่หยิบโทรศัพท์ข้างๆ ขึ้นมา “ลองโทรหาเธอดูสิ อย่าให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง แม่เองก็ทำใจเห็นลูกเสียใจไม่ได้…”
หัวใจเย่เซียวเกิดคลื่นใหญ่หลวง
เธอไม่เคยบอกเขามาก่อนว่าเธอเคยโดนพ่อบุญธรรมของเขาข่มขู่
ถ้าเช่นนั้นที่เธอไม่มาหาตัวเองเพราะมีเรื่องลำบากใจของเธอ ข้อกังวลของเธอจริงๆ งั้นสิ?
เย่เซียวหยิบโทรศัพท์มาลังเลเพียงครู่ ขณะที่กำลังจะกดเบอร์ที่คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไรนั่น ประตูห้องถูกคนถีบเข้ามาจากข้างนอกเสียงดัง ‘ปัง–’
“เย่เซียว เกิดเรื่องแล้ว!นายเร็วๆ หน่อย!เร็ว!”
เห็นได้ชัดว่าถังซ่งวิ่งมาอย่างรีบร้อนจนเหงื่อเต็มหน้า หายใจหอบ
“เรื่องอะไร? ” เย่เซียวมุ่นคิ้ว “พูดดีๆ นะ อย่าทำให้แม่ฉันตกใจ”
“ฉันไม่เป็นไร” คุณแม่เย่ส่ายศีรษะ ถามถังซ่งอย่างนึกเป็นห่วงตาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ถังซ่งหายใจหอบหนัก “นาย…รีบรับสาย ไป๋หลางอะไรนั่นโทรมา!”
ใบหน้าเย่เซียวตึงเครียดและแทบจะรับโทรศัพท์ไปทันที หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธออีก?!
“พวกนายคุยกัน ตอนนี้ฉันจะให้หยูอันเตรียมรถกับเครื่องบิน เรารีบไปสนามบิน”
ถังซ่งว่าแล้วก็วิ่งออกไปจากห้อง
เย่เซียวใจหล่นวูบ แนบโทรศัพท์ชิดหู ยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงไป๋หลางที่ตะคอกมาจากทางนั้น “เย่เซียว นายมันไอ้คนขี้ขลาด!ฉันคิดว่านายเป็นคนดี ถุย!”
เย่เซียวทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ “มีธุระก็พูด”
“คุยธุระ? ได้สิ ฉันขอแสดงความยินนายกับตัวแทนรัฐมนตรีของเรา…”
“ไป๋หลาง ถ้านายยังพูดมากระวังฉันจะฆ่านาย!” เย่เซียวไม่ได้มีความอดทนเป็นทุนเดิม หยุดเว้นช่วงเขาถึงถามเสียงเรียบ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอใช่มั้ย?”
“ที่แท้นายยังเป็นห่วงรัฐมนตรีของเราอยู่หรือเนี่ย ใช่ เกิดเรื่องกับเธอจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่โรงพยาบาลเตรียมทำแท้ง เย่เซียว นายไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของเด็ก ฉะนั้น ลายเซ็นฉันเซ็นเอง!นายไปแต่งงานต่อเถอะ!”
สิ้นคำไป๋หลาง ในหัวเย่เซียวขาวโพลน
ทำแท้งอะไร?
ไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของเด็กอะไร?
นี่…มันหมายความว่าอย่างไร?
“ฉันโทรมาก็เพื่อสร้างบรรยากาศแย่ๆ ให้วันมงคลของนายสักหน่อย!ฉันจะไปโรงพยาบาลเซ็นยอมรับผ่าตัดทำแท้งให้เธอเดี๋ยวนี้!ขอให้นายกับคนคนนั้นของนายมีลูกด้วยกันไวๆ ฉันวางสายล่ะ!” ไป๋หลางกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น
“นายกล้าเหรอ!” เย่เซียวได้สติกลับมาตะคอกกลับไป ดวงตาเริ่มแดงก่ำอย่างน่ากลัว “ไป๋หลาง ถ้านายกล้าเขียนลงไปสักตัวอักษร ฉันจะตัดแขนข้างหนึ่งของนาย!ถ้านายกล้าเขียนสองตัว ฉันไม่ให้นายมีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้แน่!”
…………………………