บทที่ 2409 วิธีสืบหาวิญญาณอันวิปริต / บทที่ 2410 วิธีสืบหาวิญญาณอันวิปริต 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2409 วิธีสืบหาวิญญาณอันวิปริต

ณ ค่ายกลศิลาที่รัดกุมที่สุด

เป็นค่ายกลศิลาที่สามารถบดบังสายตาทั้งหมดจากโลกภายนอกได้

กู้ซีจิ่วได้งัดเอาความสามารถก้นกรุออกมาใช้แล้ว

ทุกคนล้วนถูกกีดกันเอาไว้ด้านนอก ผู้ใดก็เข้ามาไม่ได้ทั้งนั้น

จู๋ตู๋ชิงรู้สึกว่าตนได้เรียนรู้บางอย่างมาจากค่ายกลของนางอย่างถ่องแท้แล้ว แต่พอได้เห็นค่ายกลใหม่ที่กู้ซีจิ่วก่อขึ้นมานี้ เขาไม่อาจสอดเท้าเข้าไปยุ่งได้เลยสักก้าว!

องครักษ์มารทั้งสองก็เช่นกัน ตอนที่พวกเขาเห็นค่ายกลนี้ก็งงงันปานเมฆหมอกเข้าปกคลุม จับทางไม่ได้เลยสักนิด

กู้ซีจิ่วที่ยืนอยู่ในค่ายกลยังคงรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดอยู่!

นี่หยกนภาคงไม่ได้หลอกลวงเธออยู่กระมัง?!

บนโลกนี้จะมีวิธีสืบหาวิญญาณที่วิปริตถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!

วิธีที่หยกนภาบอกมาช่างทำลายสามมุมมองของผู้อื่นยิ่งนัก เธอกับตี้ฝูอีต้องเปลือยกายหันเข้าหากัน เธอต้องนั่งอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ซ้ำยังพยายามทำให้ผิวกายแนบชิดสนิทกันให้มากด้วย…

ตอนที่ใช้วิธีนี้ กู้ซีจิ่วนึกคลางแคลงยิ่งนักว่าไอ้หยกนี่กำลังหลอกเธออยู่!

แต่หยกนภาสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะตามหาเขาได้เร็วที่สุด

แถมยังบอกด้วยว่ามีแค่เธอที่ช่วยเขาได้ มิเช่นนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเธอจะเสียใจไปตลอดชีวิต

เป็นคำพูดที่ทำให้จิตใจของกู้ซีจิ่วร้อนรนกระวนกระวาย ความหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียเขารัดรึงเธอไว้แน่น ราวกับในอดีตเมื่อนานมาแล้วเธอก็เคยพบพานความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน…

เธอจะไม่ยอมสูญเสียไปอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด!

ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วพลันตัดสินใจ ทำตามวิธิที่หยกนภาบอก ให้คนช่วยก่อค่ายกลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หลังตั้งค่ายกลเรียบร้อยแล้ว กู้ซีจิ่วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรส่งทุกคนออกไปนอกค่ายกลทันที สั่งพวกเขาให้เฝ้าด้านนอกไว้ดีๆ ยุงสักตัวก็อย่าปล่อยให้เข้ามาได้ ห้ามรบกวนเด็ดขาด

องครักษ์มารทั้งสองรับปากเป็นมั่นเหมาะ ส่วนจู๋ตู๋ชิงไม่พอใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็ไม่ได้บอกไว้ว่าจะช่วยคนอย่างไร เขาจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ค่อยปลอดภัย คิดจะเสนอตัวอยู่ข้างกายเธอกับตี้ฝูอีเพื่อช่วยคุ้มครองอะไรทำนองนั้น

กู้ซีจิ่วย่อมปล่อยให้เขามาเฝ้ามองอยู่ด้านข้างไม่ได้ และทราบถึงนิสัยดื้อแพ่งของจู๋ตู๋ชิงดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ชอบสอบถามซักไซ้ไปหมด แต่เรื่องนี้กลับมิใช่เรื่องที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจได้ในไม่กี่ประโยค

ด้วยเหตุนี้เธอจึงลากเขาเคลื่อนย้ายออกไปเสียเลย หลังจากโยนเขาออกไปจากค่ายกลแล้ว ก็ตบไหล่เขาเบาๆ

“ศิษย์คนดี อย่าได้ขัดคำสั่งอาจารย์ เฝ้าอยู่ตรงนี้ให้ดีเถิด ถ้าทำได้ดี ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดแปลงโฉมทั้งหมดให้เจ้า หากว่าไม่ล่ะก็ ข้าจะเตะส่งเจ้าออกจากสังกัด!”

จู๋ตู๋ชิงอ้าปากค้าง

เขายังไม่ทันได้พูดจาเป็นอื่น กู้ซีจิ่วก็เคลื่อนย้ายเข้าไปแล้ว ซ้ำยังปิดตายประตูค่ายด้วย

หลังจากจู๋ตู๋ชิงเดินวนเวียนอยู่รอบค่ายกลศิลานี้แปดรอบแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ในที่สุดก็ยอมถอดใจ โบกพัดใคร่ครวญอยู่ตรงนั้น

ก็แค่ช่วยคนเท่านั้น ไยต้องต้อนคนออกไปหมดด้วย?

ว่าแต่สรุปแล้วนางจะช่วยตี้ฝูอีด้วยวิธีไหนกันแน่?

องครักษ์มารทั้งสองเกรงว่าเขาจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาในยามคับขันเช่นนี้ จึงเดินเข้าไปหาเขาอย่างเงียบเชียบแล้วชวนเขาพูดคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไป…

….

ภายในค่ายกลร้างผู้คนแล้ว ตี้ฝูอีจึงถูกกู้ซีจิ่วจัดให้ปักหลักอยู่บนโขดหินที่ราบเรียบก้อนหนึ่ง

หาได้ยากนักที่เขาจะว่าง่ายเช่นนี้ กู้ซีจิ่วจับเขาย้ายไปย้ายมา เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยสักนิด นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิตลอด ดวงตาปิดพริ้มดุจพุทธองค์ ราวกับรูปสลักหยก

กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาที่เป็นเช่นนี้ค่อนข้างคุ้นตายิ่งนัก ในสมองมีฉากหนึ่งผุดขึ้นมารางๆ ในฉากนั้นมีรูปสลักหยกอยู่ชิ้นหนึ่ง นั่งอยู่ในศาลาน้อยหลังหนึ่ง…

เธอแข็งค้างไปทันที เมื่อก่อนตอนที่เธอเห็นภาพหลอน จะมองเห็นรูปโฉมของคนที่อยู่ด้านในไม่ชัดเจน แต่ครั้งนี้กลับเห็นอย่างแจ่มชัด รูปโฉมของรูปสลักหยกนั้นเหมือนตี้ฝูอีในปัจจุบันทุกประการ!

เพียงแต่คนหนึ่งสวมชุดขาวคนหนึ่งสวมชุดม่วงเท่านั้น

————————————————————————————-

บทที่ 2410 วิธีสืบหาวิญญาณอันวิปริต 2

‘เจ้านาย ท่านจำขั้นตอนได้ชัดเจนหรือยัง? อยากให้ข้าบอกท่านอีกรอบไหม?’

หยกนภาไม่วางใจ ถึงอย่างไรขั้นตอนก็ซับซ้อนเกินไป ขนาดสมองที่เลิศล้ำยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ของมันจะจดจำขั้นตอนเหล่านี้ก็ยังค่อนข้างกินแรงเลย ถึงแม้เจ้านายของบ้านตนจะฉลาด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่มนุษย์…

‘ไม่งั้นก็เอาแบบนี้เถอะ ตอนที่ท่านลงมือข้าจะคอยชี้แนะเอง…เอ๊ ท่าน…’

จากนั้นหยกนภาก็เงียบหายไป

ถูกกู้ซีจิ่วปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของมัน แล้วเก็บใส่ถุงเก็บของ

ถึงแม้ครั้งนี้เธอเจตนาจะช่วยเหลือคนโดยเฉพาะ สามารถเปิดเผยอย่างซื่อตรงได้ แต่ท่วงท่าของทั้งสองคนกลับค่อนข้าง…

เธอไม่อยากให้ใครเห็น หยกนภาก็ไม่ได้เหมือนกัน

ปลอดคนนอกแล้ว กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีที่นั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อคิดว่าต้องเปลื้องผ้าเขา ก็ค่อนข้างกดดันอย่างยิ่ง

ถึงแม้เธอกับเขาจะเคยมีสัมพันธ์แนบแน่นลึกซึ้งกันครั้งหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ผ่านมานานมากแล้ว ประกอบกับลึกๆ ในตัวเธออันที่จริงยังคร่ำครึอยู่บ้าง พอต้องเปลื้องผ้าเขาจึงค่อนข้างขลาดเขินอยู่บ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้เขาเป็นของคนอื่นไปแล้ว…

“ตี้ฝูอี ข้าต้องช่วยเหลือเจ้า เลยจำเป็นต้องทำแบบนี้ มิได้จะฉวยโอกาสเอาเปรียบเจ้านะ”

กู้ซีจิ่วกระแอมเบาๆ ไม่สนว่าเขาจะได้ยินไหม ยังคงเอ่ยอธิบายประโยคหนึ่ง

ตี้ฝูอีย่อมตอบเธอไม่ได้ แพขนตาก็ไม่ไหวติงเลย

“อืม เจ้าไม่พูดก็ถือว่าเห็นด้วยแล้ว พอเจ้าฟื้นขึ้นมาอย่าได้มาคิดบัญชีข้าทีหลังล่ะ”

เธอตัดสินใจในทันใด เริ่มก้าวเข้าไปถอดเสื้อผ้าเขา

เสื้อนอกของเขาหลวมโคร่ง เป็นวัสดุพิเศษ ถอดออกได้อย่างง่ายดาย แต่ชุดตัวในค่อนข้างแนบเนื้ออยู่บ้าง ซ้ำเขายังนั่งอยู่ จึงถอดออกมาค่อนข้างลำบาก…

ใช้เวลานานไปบ้าง

พอเธอถอดเสื้อผ้าของเขาใกล้เสร็จ ก็มีภาพหลอนปรากฏขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง

ในภาพหลอนเธอกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของรูปสลักหยกในท่านั่งตัวนั้น

‘พี่เทพบุตร ต่อให้ท่านไม่สวมเสื้อผ้าก็ยังงดงามมากอยู่ดี ชุดนี้ของท่านไม่เลวเลย ให้ข้ายืมใส่เถอะ’

ร่างกายกู้ซีจิ่วแข็งทื่อ เธอมองเห็นชัดเจน การถอดเสื้อผ้าของรูปสลักหยกนั้นเป็นตอนที่อยู่โลกเบื้องล่าง เธอเพิ่งยืมร่างคืนวิญญาณ บนหน้ายังมีปานแดงวงใหญ่อยู่เลย!

ส่วนรูปสลักหยกนั้นคือตี้ฝูอี! ของแท้แน่นอน!

มือกู้ซีจิ่วสั่นระริกอยู่บ้าง

ถึงแม้เธอจะเดาได้จากคำพูดของหยกนภาแล้วว่าตี้ฝูอีก็คือหวงถูที่เธอปักใจใฝ่หา แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่มีความทรงจำที่แท้จริงอยู่ ความรู้สึกไม่ได้ลึกล้ำขนาดนั้น แต่ตอนนี้ในวินาทีที่มองเห็นบุคคลในภาพหลอน หัวใจเธอก็เต้นกระหน่ำขึ้นมา ดวงตาก็แสบเคืองอยู่บ้าง

ถ้าเธอเดาไม่ผิดล่ะก็ รูปสลักหยกนี้คือหวงถูที่ฝึกฝนวรยุทธ์อันใดอยู่ ที่แท้ตอนนั้นเธอกับเขาก็พบกันเช่นนี้…

หนนี้ระยะเวลาที่ภาพหลอนทำงานค่อนข้างนานเล็กน้อย สี่ห้านาทีเต็มๆ เธอเห็นตัวเองที่อยู่ในภาพหลอนเปลื้องชุดของ ‘รูปสลักหยก’ มาสวมบนร่างตน ซ้ำยังตบแก้มของ ‘รูปสลักหยก’ เบาๆ ด้วย ถึงขั้นที่เนื่องจากสนใจใคร่รู้ในความประณีตละเอียดลออของรูปสลักหยก จึงลูบคลำส่วนสงวนของ ‘รูปสลักหยก’ ก่อนจะจากไปเธอยังจูบ ‘รูปสลักหยก’ ด้วย…

ฉากแล้วฉากเล่าไหลผ่านไปดุจภาพยนตร์ขาวดำ เคลื่อนผ่านหน้าเธอไป เกิดระลอกคลื่นซัดสาดอยู่ในหัวใจเธอ ทำให้เธอใจสั่นอยู่พักหนี่ง เหม่อลอยไปชั่วขณะ

เธอจุมพิตริมฝีปากของตี้ฝูอีตามสัญชาตญาณ คล้ายตอนที่จุมพิตรูปสลักหยกในชาติก่อน เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน ท่าทางแบบเดียวกัน

จากการจุมพิตครั้งนี้ เธอถึงได้พบว่าริมฝีปากของตี้ฝูอีร้อนผ่าว ถึงขั้นที่ร้อนลวกเลย!

ที่น่าแปลกคือ ตอนนี้สีหน้าของเขามองอะไรไม่ออกเลย ราบเรียบยิ่งนัก หากมิใช่เพราะการจุมพิตนี้ เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเขาร้อนลวกถึงเพียงนี้!

ที่แท้ดวงวิญญาณของเขากำลังประสบสิ่งใดอยู่กันแน่?!

กู้ซีจิ่วไม่กล้าวอกแวกอีกแล้ว

พอถอดเสื้อตัวในของเขาไม่ออก เธอเลยฉีกชุดเขาเสียเลย แล้วดึงออกมา