ตอนที่ 8 คุณชายน้อยเสวี่ยอิง Ink Stone_Fantasy
ภายในโถงตำหนัก
โหวหั่วเลี่ยบุรุษผมแดงนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงโดยมีผู้อาวุโสประจำตระกูลสองท่านและบรรดาผู้อาวุโสของจวนโหวขนาบสองข้าง แน่นอนว่ายังมีหรงซิงหลันซึ่งนั่งอุ้มบุตรชายอยู่ตรงปลายสุดด้วย หรงซิงหลันตัวสั่นงันงกอยู่บ้าง เพราะเมื่อนั่งร่วมกับท่านโหวและผู้อาวุโสทั้งหลาย นางก็แข้งข้าอ่อนไปหมด ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น ด้วยระดับจิตของเขาแล้วจะแสร้งทำเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ยากแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกขัดเขินอยู่บ้างก็เท่านั้น
“อดทนไว้ๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“ให้เจ้าทึ่มนั่นเข้ามา” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองไปแวบหนึ่งก็เห็นอิงซานเลี่ยฮู่ซึ่งยืนรออยู่ตรงนอกตำหนักไกลออกไปอย่างสงบเสงี่ยม แม้บุตรชายคนนี้จะค่อนข้างใช้การไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของเขาตั้งแต่ยังอ่อนแอ เขาจึงรู้สึกผูกพันเป็นอันมาก จึงได้เจรจาจัดการเรื่องการสมรสดีๆ ให้ และมอบทรัพยากรมากมายให้อยู่ในนามของเขา แม้บุตรชายจะมีสายเลือดอ่อนแอ แต่ก็ยังหวังว่าบุตรชายจะสามารถรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้
น่าเสียดาย บุตรชายคนนี้เสพสุขอยู่ตลอดเวลา ท่านโหวหั่วเลี่ยก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“เอ๊ะ นี่ก็คือท่านพ่อคนนั้นของข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูบุรุษวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามา เมื่อเผชิญกับบรรยากาศภายในโถงตำหนัก เขาก็อดค้อมหลังลงมิได้
“เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ” ท่านโหวหั่วเลี่ยตะคอก
“ขอรับ”
อิงซานเลี่ยฮู่มิกล้าฝ่าฝืนเลยแม้แต่น้อย เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟังโดยมิกล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่าเขาก็อดเหลือบมองไปทางสตรีที่นั่งอยู่ริมสุดและเด็กในอ้อมแขนนางมิได้ เด็กคนนั้นกำลังมองสำรวจเขาราวกลับไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเป็นบิดาของเขา กล้ามองข้าเช่นนี้หรือ ต้องสั่งสอนให้ดีๆ ไม่สิ ข้าตีเขาไม่ได้ เขาเกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว!” อิงซานเลี่ยฮู่พลันรู้สึกขมขื่นในใจขึ้นมา “เกรงว่าทหารองครักษ์และบ่าวรับใช้ที่จวนโหวจัดเตรียมให้เขาจะต้องเก่งกาจกว่าทหารองครักษ์ของข้าอย่างแน่นอน”
“ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบิดาของเขา หากภายหน้าข้าเลี้ยงเขา เขาก็ต้องใกล้ชิดกับข้าแน่นอน” อิงซานเลี่ยฮู่ลอบครุ่นคิด “สมบัติล้ำค่าที่เขาได้รับมาต้องมากกว่าข้ามากมายนัก ถึงตอนนั้นแค่สิ่งที่เล็ดรอดจากร่องนิ้วของเขาข้าก็สามารถเสพสุขได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดแล้ว” หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ยังพอมีปณิธานในการบำเพ็ญบ้าง
เมื่อผ่านการเสพสุขจนเน่าเฟะ เขาก็ไม่เหลือใจกล้าหาญอีกแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว”
เงาร่างสายหนึ่งถูกโยนจนล้มลงกับพื้นภายในโถงตำหนัก ซึ่งก็คือสตรีอาภรณ์สีแดงฉานอวี้เยี่ยนเจินนั่นเอง ยามนี้ฉานอวี้เยี่ยนเจินล้มลงกับพื้นโถงตำหนักอย่างน่าอนาถ นางเงยหน้ามองแวบหนึ่งก็เห็นท่านโหวหั่วเลี่ยผู้สูงส่งเหนือใคร เห็นผู้อาวุโสประจำตระกูลและผู้อาวุโสแห่งจวนโหวรวมทั้งนางแพศยาหรงซิงหลันที่อุ้มบุตรชายอยู่
“ท่านโหว” ฉานอวี้เยี่ยนเจินรีบผุดลุกขึ้นมาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ต่อให้นางเหิมเกริมกว่านี้ ตอนนี้ก็ต้องทำตามระเบียบ
“เจ้านี่บังอาจพอตัวทีเดียว กล้าฝ่าฝืนกฎของตระกูลอิงซานด้วย!” ท่านโหวหั่วเลี่ยพูดเสียงเย็นชา “กล้านำยาพิษมาบังคับให้สตรีตระกูลอิงซานเราที่ตั้งครรภ์อยู่ดื่มลงไป ทำให้บุตรซึ่งไม่ธรรมดาที่สุดนับตั้งแต่ท่านบรรพชนก่อตั้งตระกูลอิงซานของเราขึ้นมาต้องคลอดก่อนกำหนด เพียงแค่สิบห้าปีก็กำเนิดออกมาแล้ว! สิบห้าปีเขาก็เป็นเทพอากาศแล้ว หากอยู่ในครรภ์ตามปกติต่อไป…”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ผู้อาวุโสประจำตระกูลอีกสองท่าน รวมทั้งบรรดาผู้อาวุโสจวนโหวรอบด้านต่างพากันมองฉานอวี้เยี่ยนเจินผู้นี้ด้วยความโกรธเคือง
ความแข็งแกร่งของตระกูลย่อมทำให้การเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลมีสถานะสูงส่งขึ้นเป็นธรรมดา! เนื่องจากฉานอวี้เยี่ยนเจินผู้นี้เป็นเหตุ จึงทำให้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้มีพรสวรรค์สูงส่งมิอาจอยู่ในครรภ์ได้นานพอ หากอยู่ไปสักหลายร้อยปี เกรงว่าสายเลือดก็คงจะเข้มข้นขึ้นกว่านี้ ความสามารที่ซ่อนอยู่ก็คงสูงกว่านี้มากกระมัง เป็นเพราะนางตัวร้ายนี่แท้ๆ!
“ยาพิษหรือ สิบห้าปีก็คลอดออกมาแล้วหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่เบิกตาโพลงมองไปทางฉานอวี้เยี่ยนเจินซึ่งอยู่ด้านข้าง
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ฮูหยินของตนคนนี้จะบังอาจถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แม้เขา อิงซานเลี่ยฮู่จะมีสตรีมากมาย แต่จะว่ากันจริงๆ แล้ว ภรรยาก็มีเพียงคนเดียว…คือฉานอวี้เยี่ยนเจินนั่นเอง นี่คือหญิงสาวที่ท่านโหวหั่วเลี่ยบิดาเขาเป็นธุระจัดแจงหาให้ เป็นภรรยาที่เข้าพิธีถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างแท้จริง มีการส่งเทียบเชิญไปทั่วสารทิศ ฉานอวี้เยี่ยนเจินก็เป็นคนของตระกูลอ๋องโหวเช่นกัน ตัวนางเองก็เป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ดังนั้นตามปกติแล้วเมื่อเขาเผชิญหน้ากับภรรยาก็ต้องลมหายใจสะดุดอยู่บ้าง
ส่วนสตรีนางอื่นๆ น่ะหรือ มีอยู่มากมายที่เขาไปฉุดคร่ามา สถานะล้วนแต่ต่ำต้อย ภายในจวนโหว โดยทั่วไปหญิงสาวเหล่านั้นก็เป็น ‘ระดับหก’ ซึ่งต่ำที่สุด เป็นระดับชั้นเดียวกับพวกสาวใช้ มีเพียงคนที่ให้กำเนิดบุตรเท่านั้น สถานะจึงมีการขยับขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นอิงซานเลี่ยฮู่จึงมิเคยเห็นสตรีเหล่านี้อยู่ในสายตาเลย พวกนางเป็นเพียงที่ระบายของเขาเท่านั้น ความรู้สึกที่เขามีให้สตรีเหล่านั้น…เกรงว่าคงจะสู้ฝูเอ๋อร์แห่งหอม่านเมฆมิได้เสียด้วยซ้ำไป เขามักจะไปเสพสุขกับฝูเอ๋อร์เป็นประจำ ส่วนสตรีหลายร้อยคนของตนนั้น ยากนักที่จะไปพบสักครา
แต่ภรรยาของเขากลับทำเรื่องพรรค์นี้น่ะหรือ อิงซานเลี่ยฮู่ไม่อยากจะเชื่อเลย
“เปล่า ข้าเปล่านะเจ้าคะ” ฉานอวี้เยี่ยนเจินพูดอย่างร้อนรน “ท่านโหวตรวจสอบให้กระจ่างด้วย นับแต่เยี่ยนเจินจากตระกูลฉานอวี้มาแต่งเข้าตระกูลอิงซานก็ระมัดระวังอย่างมากมาโดยตลอด ยิ่งไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของตระกูลอิงซานเข้าไปใหญ่ เรื่องยาพิษไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลย! จะต้องมีผู้ใดคิดทำลายผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลอิงซานในอนาคตอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงได้ส่งพ่อบ้านเถียนผู้นั้นไป ทั้งยังป้ายสีมาให้ข้า ข้าถูกปรักปรำนะเจ้าคะ!”
“เจ้าคงเป็นคนสังหารพ่อบ้านเถียนกระมัง” ท่านโหวหั่วเลี่ยเหลือบมองไปยังฉานอวี้เยี่ยนเจินเบื้องล่าง
“ข้าพบว่าบ่าวรับใช้อย่างเขาคนหนึ่งอาจหาญมาคิดบัญชีกับข้า จึงได้สังหารไปด้วยความโมโหน่ะเจ้าค่ะ” ฉานอวี้เยี่ยนเจินกล่าว นี่คือสิ่งเดียวที่นางทำได้ไม่สะอาดนัก เพราะเวลาสั้นเกินไป นางจึงลงมือด้วยตนเองไม่ทัน
“มือเท้าสะอาดมากทีเดียว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้างก็สิ้นใจ บ้างก็ไม่รู้เลย” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองดูฉานอวี้เยี่ยนเจิน “ตอนนี้ยังปากแข็งอีก”
“เบิ้องหลังต้องมีคนลอบวางแผนจัดการเป็นแน่ หมายจะป้ายสีให้ข้า” ฉานอวี้เยี่ยนเจินกล่าว
ท่านโหวหั่วเลี่ยมองนางด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
เขาออกคำสั่งไปคราหนึ่ง ก็ตรวจสอบทุกอย่างที่สามารถตรวจสอบได้จนหมดแล้ว แม้จะมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถรบกวนกาลมิติได้ แต่ภายในจวนโหวยังมียอดฝีมือที่สามารถตรวจสอบได้โดยมองข้ามการรบกวนตามปกติไปได้ น่าเสียดายที่เส้นสายทั้งหมดล้วนถูกตัดขาดไปหมดแล้ว ผู้ที่ตายก็ตายไป สูญหายก็สูญหายไป แต่ต้นกำเนิดของทั้งหมดล้วนชี้ไปที่ฉานอวี้เยี่ยนเจิน มีเพียงเรื่อง ‘พ่อบ้านเถียน’ เท่านั้นที่ทำอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เป็นฉานอวี้เยี่ยนเจินที่ลงมือด้วยตนเอง
หากเป็นผู้ที่กำเนิดมาแล้วอ่อนแอ ไม่ถูกท่านโหวหั่วเลี่ยจับตามองแล้วล่ะก็ เกรงว่าเรื่องนี้ก็คงสามารถปกปิดไปได้แล้ว ทว่าผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็คือสิ่งมีชีวิตเปี่ยมพรสวรรค์อย่าง ‘อิงซานเสวี่ยอิง ’
“ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองไปทางสองคนด้านข้าง “นางตัวร้ายคนนี้ยังไม่ยอมรับอีก คงต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองนำนางไปยังเรือนประจำตระกูลเพื่อตรวจสอบวิญญาณของนางแล้ว”
“ได้” ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองพยักหน้า
ฉานอวี้เยี่ยนเจินสีหน้าซีดขาว
“ฟิ้ว”
ผู้อาวุโสประจำตระกูลร่างผอมสูงยื่นมือออกไป อานุภาพอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุมฉานอวี้เยี่ยนเจินเอาไว้แล้วนำนางเก็บเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ทันที
อิงซานเลี่ยฮู่ซึ่งอยู่ด้านข้างก็ตกใจมองทุกสิ่งอย่างตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
“เสวี่ยอิงเอ๋ย” ท่านโหวหั่วเลี่ยหมุนกายมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา พลางพูดกลั้วหัวเราะ
“ท่านโหว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระโดดลงไปจากตักมารดาทันทีพลางพูดด้วยเสียงใสกังวาน
เมื่อมองดูเด็กน้อยเจ้าเนื้อตรงหน้า ท่านโหวหั่วเลี่ยก็อารมณ์ดียิ่งนัก เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าจัดเตรียมหัวหน้าทหารองครักษ์ผู้หนึ่งเอาไว้ให้เจ้าแล้ว เขาจะต้องปกป้องเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน ”ท่านโหวหั่วเลี่ยมองไปทางนอกตำหนักแวบหนึ่ง นอกตำหนักมีชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามา
“นี่คือเถียนอี้จือ ผู้อาวุโสเถียน นอกจากข้าแล้ว เขาก็จะฟังบัญชาของเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว
“คุณชายเสวี่ยอิง” ชายชราอาภรณ์สีเทายิ้มพลางกล่าวด้วยความเคารพ
“ท่านเก่งกาจมากหรือ”
“พอใช้ได้กระมัง”
ชายชราอาภรณ์สีเทาไม่หยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าสู่บทบาทของการเป็นหัวหน้าทหารองครักษ์แล้ว
ท่านโหวหั่วเลี่ยโบกมืออีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นลำแสงสองสายก็ทะยานออกมา ก่อนจะร่อนลงสู่พื้นแล้วแปรเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสองตัว ทั่วร่างมีขนดำเป็นมัน นัยน์ตาก็เป็นสีแดงโลหิต กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง“ สัตว์คู่นี้ก็คือ ‘สิงห์เมฆาทะมึน’”
สิงห์เมฆาทะมึนคู่นี้พลันแปรเป็นรูปร่างมนุษย์ ชายหนุ่มชุดดำสองคนโค้งคำนับพร้อมกัน “คารวะนายท่าน”
……
ชั่วขณะหลังจากนั้น ทั้งหมดก็เตรียมการพร้อมสรรพ
“เอาล่ะ ไปเถิดๆ ไปดูจวนที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้วดีกว่า ยังมีอีก อย่าลืมไปดูที่หอตำราสะสมให้มากหน่อย เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะบำเพ็ญในทิศทางใดก็ค่อยมาบอกข้าก็เป็นได้” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว
“ขอรับ ท่านโหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงดังกังวาน “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวไปก่อนแล้ว พวกเราไปกันเถิด”
พูดจบก็ตะโกนเรียกผู้เป็นมารดาแล้วทะยานขึ้นไปนั่งบนหลังสิงห์เมฆาทะมึน หลังจากนั้นผู้อาวุโสเถียนและสิงห์เมฆาทะมึนอีกตัวหนึ่งก็จากไปทันที
“เจ้าเองก็กลับไปทบทวนตนเองดูเถิด” ท่านโหวหั่วเลี่ยสั่งสอนอิงซานเลี่ยฮู่ประโยคหนึ่ง อิงซานเลี่ยฮู่ทำได้เพียงรับคำอย่างเชื่อฟังเท่านั้น เขารู้สึกจนใจ มาที่นี่ก็ถูกสั่งสอนไปยกหนึ่ง
ภายในโถงตำหนัก ผู้อาวุโสประจำตระกูลสองท่านต่างก็ลุกขึ้นยืน
“พวกเราก็ควรกลับไปได้แล้ว เจ้าหนูเสวี่ยอิงมีความสามารถซ่อนอยู่อย่างไม่ธรรมดา ครั้งนี้ถูกบีบบังคับให้คลอดก่อนกำหนด ช่างทำให้คนเจ็บปวดใจจริงๆ ทว่านี่ก็หมายความว่าเขายังมีความสามารถอันสูงส่งอย่างยิ่งอยู่ ข้าจะเรียนให้ท่านบรรพชนทราบ ถึงตอนนั้นก็จะมอบสมบัติล้ำค่าให็ตรงป๋อเสี่ยอิงมากขึ้น หรืออาจจะสามารถบ่มเพาะสายเลือดของเขาอีกก็เป็นได้” ผู้อาวุโสประจำตระกูลร่างสูงผอมกล่าว
“อื้ม ข้าก็จะบ่มเพาะเขาให้ดีๆ เอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยพยักหน้า
******
จวนของท่านโหวหั่วเลี่ยกินพื้นที่กว้างใหญ่นัก เป็นเมืองในเมืองโดยแท้
ท่านโหวและผู้อาวุโสทั้งหลาย รวมทั้งคนจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดล้านล้านปีล้วนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ภายในจวนโหวแห่งนี้ย่อมกว้างใหญ่มากเป็นธรรมดา มีจวนอยู่มากมาย คูหาที่เตรียมไว้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่แพ้ของผู้อาวุโสเลย
“อา”
คุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้ได้รับความโปรดปรานล้นเหลือผู้นี้ ยามนี้ยังเท้าเปล่าเปลือย เขาถลาเข้าไปในจวนอย่างเบิกบานใจ
บ่าวรับใช้ภายในจวนมีเป็นโขยง ทั้งยังมีองครักษ์กลุ่มใหญ่คอยอารักขาอยู่รอบด้าน หรงซิงหลันผู้เป็นมารดาและอิงซานซีเยว่และพี่สาวก็พากันย้ายมาที่นี่เช่นเดียวกัน จวนหลังนี้…ยังใหญ่กว่าจวนของอิงซานเลี่ยฮู่และฉานอวี้เยี่ยนเจินก่อนหน้านี้มากนัก
“ไปๆๆ ท่านโหวให้ข้าไปยังหอตำราสะสม บอกว่ามีคัมภีร์อยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ยังมิได้ไปดูเลย ไปๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถลาขึ้นไปนั่งบนสิงห์เมฆาทะมึนทันที “ไป”
สิงห์เมฆาทะมึนสองตนถลาทีหนึ่งก็ขึ้นสู่ฟ้า ผู้อาวุโสเถียนก็ตามหลังไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังมีกองกำลังอารักขาเก้าคนติดตามไปด้วย แต่ละคนล้วนเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งสิ้น
ฟิ้วๆ
เขาบินทะยานเสียงดังหวีดหวิวอยู่กลางท้องฟ้าเหนือจวนโหว คนอื่นๆ ในจวนโหวมองเห็นแต่ไกลก็หลบหลีกไป
“นั่นก็คือคุณชายน้อยเสวี่ยอิง”
“เขาน่ะหรือ”
“เกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว ดูสิ แม้แต่ผู้อาวุโสเถียนก็ยังกลายเป็นองครักษ์ของเขาไปแล้ว”
ไกลออกไปมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ยามนี้เขานั่งอยู่บนหลังสิงห์เมฆาทะมึนอย่างสบายใจ สายตากลับหยุดอยู่ที่หอสูงตระหง่านไกลออกไป นั่นก็คือหอตำราสะสม! หอตำราสะสมมีคัมภีร์และศาสตร์ลับมากมายเก็บเอาไว้ ตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน คิดจะเข้าไปในชั้นที่สูงกว่าก็มีเงื่อนไขอันเข้มงวด จำนวนครั้งที่จะเข้าไปได้ก็มีจำกัด ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ กลับชมดูทั่วทั้งหอตำราสะสมได้ตามอำเภอใจ คิดจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้
“นี่สิจึงจะเป็นเป้าหมายของข้า” ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมิได้สบายใจเหมือนที่เห็นภายนอก เขาให้ความสำคัญกับหอตำราสะสมแห่งนี้มาก “อาศัยหอตำราสะสมแห่งนี้ ข้าจึงจะสามารถเข้าใจการแบ่งขุมอำนาจในดินแดนจิตโลกาได้อย่างแท้จริง มีแต่ต้องเข้าใจระดับของผู้แกร่งกล้าอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น…จึงจะสามารถกำหนดเส้นทางเติบโตของข้าเองได้”
“ไป เร็วเข้า”
สิงห์เมฆาทะมึนถลาตรงลงไปทางหอตำราสะสมแห่งนั้นทันที
บรรดาทหารรักษาการณ์ที่หน้าประตูหอตำราสะสมมองเห็นแต่ไกลแล้ว
“สิงห์เมฆาทะมึนหรือ ผู้อาวุโสเถียนหรือ นั่นก็คือคุณชายน้อยเสวี่ยอิง” ทหารรักษาการณ์ไปจนถึงยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ล้วนมิกล้าขัดขวาง ทำได้เพียงตะโกนอยู่ห่างๆ เท่านั้น “คุณชายเสวี่ยอิง ท่านสามารถเข้าไปได้ แต่องครักษ์มิอาจเข้าได้”
………………………………..