ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 9 พื้นฐานของดินแดนจิตโลกา

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 9 พื้นฐานของดินแดนจิตโลกา Ink Stone_Fantasy

บรรดายามรักษาการณ์ของหอตำราสะสมเหล่านั้นและยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ค่อยผ่อนลมหายใจ เพราะว่าคุณชายน้อยเสวี่ยอิงยังมิได้ก่อความยุ่งยาก แล้วปล่อยสิงห์เมฆาทะมึนตรงลงไปยังหอตำราสะสม ทว่าผู้อาวุโสเถียน สิงห์เมฆาทะมึนสองตน และองครักษ์ติดตามเก้าคนต่างก็รออยู่ที่ด้านนอก พวกเขาก็ยังวางใจกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไร ‘หอตำราสะสม’ ก็เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง

“หาหนังสือ”

พอเข้ามาก็เห็นชั้นหนังสือแถวแล้วแถวเล่า แต่ละเล่มที่วางอยู่บนชั้นหนังสือล้วนเป็นตำราล้ำค่าที่แผ่กลิ่นอายอันเร้นลับออกมา

พอตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วก็เปิดดูตามอำเภอใจหลายเล่ม หลังจากนั้นก็เปิดดูเล่มอื่นต่อไปในทันที

ดูตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่ว่าหนังสือเล่มใดๆ ก็คล้ายว่าจะดูเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น

“ดูสิ นั่นก็คือคุณชายน้อยเสวี่ยอิงอย่างไรเล่า”

“ถือกำเนิดออกมาก็เป็นเทพอากาศแล้วล่ะ”

“ถึงแม้ว่าจะพลิกตำราเหล่านี้ผ่านตาแค่คราเดียว ข้อมูลก็ส่งตรงเข้าไปยังวิญญาณแล้ว สามารถอ่านเข้าใจได้ในทันที แต่ชั้นแรกของหอตำราสะสมนี้ล้วนเป็นตำราธรรมดาทั่วไปทั้งสิ้น เขามามัวสิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ทำไมกัน” เหล่าศิษย์ของจวนโหวจำนวนหนึ่งสังเกตเห็นฉากนี้แล้วก็ถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน พวกเขาก็ไม่กล้าพูดเสียงดังด้วยกลัวว่าจะไปยั่วโทสะคุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้ซึ่งเพิ่งถือกำเนิดไม่รู้จักจิตใจคนและความซับซ้อนของโลกผู้นี้

พวกเขาพลิกดูตำราต่อไปในทันที ชั้นที่หนึ่งล้วนเป็นพวกหนังสือเบ็ดเตล็ด มูลค่าล้วนต่ำต้อยอย่างยิ่ง พวกเขาพลิกอ่านดูก็เพื่อเสาะหาร่องรอยเบาะแสของโบราณสถานก็เท่านั้น

“คุณชายเสวี่ยอิง หากท่านต้องการหาตำราการบำเพ็ญ ก็สามารถไปชั้นที่สองชั้นที่สามได้ ยิ่งขึ้นไปข้างบน ตำราก็จะยิ่งสูงค่าขึ้นไปเรื่อยๆ” ทันใดนั้นก็มีศิษย์ในจวนโหวคนหนึ่งเดินมาพูดประโยคนี้ หมายจะเสนอตัวมาให้คุ้นหน้าค่าตา

“ขอบคุณ” แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้เงยหน้าขึ้นมองแล้วโบกมืออย่างส่งๆ สมาชิกในจวนโหวผู้นั้นก็ได้แต่ถอยไปด้วยความอับอาย

พลิกดูทางนั้นที ทางนี้ที

ย่อมมิได้มีท่าทีเหมือนกำลังอ่านหนังสืออยู่เลย ถึงแม้ว่าผู้ที่ลอบสังเกตดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ต่างก็รู้สึกว่าอับจนคำพูด แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ คร้านที่จะสนใจอีกต่อไป

“ช่างมีหนังสือมากมายเกินไปเสียแล้ว”

“ล้วนเป็นหนังสือเบ็ดเตล็ดนานาชนิด หรือแม้กระทั่งเคล็ดการบำเพ็ญที่กระท่อนกระแท่นจำนวนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรจวนโหวที่ยิ่งใหญ่ ผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ตำราในหอตำราสะสมแห่งนี้ก็ย่อมมีมากมายเหลือล้น แม้กระทั่งเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่คัดกรองได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นก็ยังผ่านมากว่าหนึ่งชั่วยามจึงจะได้พบหนังสือที่เขาอยากจะอ่าน

“หาเจอเสียที”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านจนพบตำราสีเทาหนาหนักเล่มหนึ่งแล้วอดดวงตาเป็นประกายมิได้ พลิกเปิดหน้าแรกแล้วก็ทำให้สายตาของเขาทอประกายวูบหนึ่ง

ตำราเล่มนี้บอกเล่าเกี่ยวกับรัฐประเทศแต่ละแห่งของดินแดนจิตโลกา ถึงอย่างไรดินแดนจิตโลกาก็กว้างใหญ่เหลือเกิน มีรัฐประเทศอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็เกรงว่าคงจะยังไม่เคยไปอีกหลายที่ ถึงแม้ว่าจะมีผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าบางคนมุ่งมั่นที่จะไปเยือนทุกหนแห่งทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา หลังจากนั้นก็บันทึกลงไปให้ชนรุ่นหลังได้อ่าน

“ดีเหลือเกิน”

ดูไปดูมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูดลมหายใจเยียบเย็นเข้าปากคราหนึ่ง

ในด้านการบำเพ็ญของดินแดนจิตโลกานั้นเหนือชั้นกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านมากมายนัก

‘ระบบการบำเพ็ญสายโลหิต’ เป็นระบบใหญ่อันดับหนึ่งที่มีอยู่ในทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้บำเพ็ญมากมาย พวกเขาก็สามารถทำให้บุตรที่ถือกำเนิดออกมาแข็งแกร่งเป็นที่สุด ผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดถึงขนาดที่ถือกำเนิดมาแล้วก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง เทพจักรวาลคนหนึ่งก็สามารถมีบุตรชายบุตรสาวได้หลายร้อยจนถึงหลักพันคนได้เช่นเดียวกัน… ในขณะที่บำเพ็ญ ศาสตร์ลับนานาชนิดที่เหมาะสมกับระบบการบำเพ็ญสายโลหิตก็มีมากมายเป็นที่สุด

ส่วนระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ระบบทิพย์ และระบบศาสตร์โบราณนั้นที่นี่ก็มีมานานแล้ว นอกจากนี้ยังรุดหน้ากว่าเป็นอย่างมากอีกด้วย

หรือแม้กระทั่งการบำเพ็ญร่างแยกออกมาเหมือนประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นก็มีเช่นเดียวกัน! แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเคล็ดสืบทอดลับของที่นี่เช่นกัน

“เกินไป แกร่งเกินไปแล้วหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งดูก็ยิ่งพรั่นพรึง

ดินแดนจิตโลกา

ระยะเวลาที่ดำรงอยู่ก็เนิ่นนานกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่มากนัก พื้นฐานก็ย่อมลึกล้ำยิ่งกว่า อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินว่ามีการ ‘แตกสลาย’ เลยสักครั้ง ถึงขนาดที่ไม่สามารถคะเนระยะเวลาที่มันดำรงอยู่มาได้เลยเสียด้วยซ้ำ!

เพียงแต่ว่าตัดสินจากที่โบราณที่สุดจนถึงบัดนี้ น่าจะเคยเกิด ‘สงครามประเทศโบราณ’ ขึ้นสองครั้งแล้ว ระหว่างสงคราม ประเทศแต่ละแห่งก็ย่อยยับ ฟ้าดินพังทลาย ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนตกอับ เทพจักรวาลก็พากันตายตกไปเป็นจำนวนมาก…

ในตอนนี้…

บนดินแดนจิตโลกามีรัฐประเทศทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบแห่ง ในตำราเล่มนี้ก็มิได้นับเอาไว้อย่างชัดเจน เพราะว่ารัฐประเทศที่เล็กเกินไปบางส่วนก็ถือกำเนิดขึ้นหรือสลายไปอยู่เป็นระยะๆ ตลอด! ดังนั้นจำนวนของรัฐประเทศก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ

“ประเมินจากหนังสือเล่มนี้ เทพจักรวาลของดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ในปัจจุบัน คงมีอยู่เกือบๆ หนึ่งพันคนเลยทีเดียว! ”ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอย่างตื่นตะลึง

อากาศอันสับสนอลหม่าน นับรวมกับที่ตายตกไปในประวัติศาสตร์ เกรงว่าคงมีเทพจักรวาลอยู่ราวๆ สามสิบกว่าคนเท่านั้น!

ดินแดนจิตโลกา เป็นประมาณสามสิบเท่าของอากาศอันสับสนอลหม่าน!

ก็ปกติเป็นอย่างยิ่ง…

“รัฐประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดหกแห่ง มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อย่างน้อยก็มีเทพจักรวาลหลายสิบคน อย่างมากก็มีเทพจักรวาลกว่าร้อยคน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง

หกรัฐโบราณ รวมจำนวนเทพจักรวาลเข้าด้วยกันน่าจะมีเกินกว่าห้าร้อยคน

อีกร้อยกว่ารัฐประเทศอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก่ออ่อนแอกว่าทั้งสิ้น

เช่นรัฐเมฆทักษิณา จัดเป็น ‘รัฐประเทศชั้นรอง’ ดีร้ายอย่างไรก็มีเทพจักรวาลอยู่สี่คน ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีชื่อเสียงเลื่องลือ โด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา รัฐประเทศที่อ่อนแออย่างแท้จริงเหล่านั้น ตามปกติแล้วก็มีเทพจักรวาลที่อ่อนแออยู่คนสองคน หากเกิดสงครามที่เกิดจากความไม่พอใจของเทพจักรวาลใดๆ ขึ้นก็สามารถเหนี่ยวนำให้รัฐประเทศเช่นนี้แหลกสลายย่อยยับได้เลยทีเดียว

“หยวนหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นในตำราอธิบายถึง ‘หยวน’ แล้วก็อดที่จะตื่นตระหนกมิได้

หยวน…

ว่ากันว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา

สงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง สงครามประเทศโบราณครั้งที่สอง ในท้ายที่สุดแล้วต่างก็เป็นหยวนที่สอดมือเข้ามาจัดการ หกรัฐโบราณจึงได้หยุดสงคราม

หยวน ได้สร้าง ‘วังปฐมเทพ’ จำนวนนับไม่ถ้วน กระจายอยู่ทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกา

วังปฐมเทพแบ่งออกเป็นสิบชั้น

“วังปฐมเทพช่างเหมือนกับเจดีย์ดาวยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอนุมานอย่างรางๆ ได้จากคำอธิบาย

“คล้ายว่าวังปฐมเทพกับเจดีย์ดาวจะแบ่งพลังยุทธ์ได้เหมือนกันเช่นนั้นหรือ แต่ว่าเจดีย์ดาวมีเก้าชั้น วังปฐมเทพมีสิบชั้น”

“นอกจากนี้ ดินแดนจิตโลกายังเหนือชั้นกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านในด้านเคล็ดการบำเพ็ญ และการศึกษาเคล็ดลับการต่อสู้อีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงหวาดหวั่นอยู่บ้าง

อ้างอิงจากคำอธิบายในตำรา

ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ถ้าหากเป็นเพียงแค่การสำรวจความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สูงสุดก็แค่ชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพเท่านั้น! แต่ว่าอาศัยพลังภายนอกและเคล็ดลับต่างๆ ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ถึงกับสามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่แปดของวังปฐมเทพออกมาได้!

ขั้นอลวน ตามปกติแล้วสูงสุดที่ชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพ แต่หากอาศัยพลังภายนอกและเคล็ดลับ ก็สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่สิบของวังปฐมเทพออกมาได้ หรือแม้กระทั่งพลังกดดันเทพจักรวาลที่เพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่เหล่านั้นได้เลยทีเดียว

“ขั้นอลวนมีพลังกดดันเทพจักรวาลที่เพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน

ณ ที่ที่ตนจากมา สูงที่สุดของขั้นอลวนก็คือชั้นที่เก้า เผชิญหน้ากับเทพจักรวาลแล้วสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่งแล้ว จะใช้พลังกดดันหรือ กระหน่ำโจมตีหรือ ย่อมได้แต่ฝันอยู่แล้ว แต่ที่ดินแดนจิตโลกานั้นสามารถทำได้

……

ถึงแม้ว่าตำราเล่มนี้จะเกริ่นถึงแต่ละรัฐ แต่ว่าหนึ่งในสามส่วนล้วนเป็นการสรรเสริญรัฐเมฆทักษิณา

ความจริงแล้วรัฐเมฆทักษิณาก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รัฐประเทศชั้นรอง แต่สำนักวิชาที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสร้างขึ้น ‘สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์’ นั้นกลับเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ที่มีความแพร่หลาย มีจำนวนผู้บำเพ็ญมากที่สุดของทั้งดินแดนจิตโลกา! นี่ก็ทำให้ชื่อเสียงของประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งใหญ่เป็นที่สุด แม้กระทั่งในหกรัฐโบราณเองก็มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่เดินทางมาอย่างยากลำบาก ปรารถนาที่จะฟังคำสอนของประมุขรัฐเมฆทักษิณา

“แข็งแกร่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นคำอธิบายศาสตร์ลับศาสตร์แล้วศาสตร์เล่าแล้วก็จิตใจสั่นสะท้านอยู่บ้าง

ศาสตร์ลับแต่ละศาสตร์ทำให้ความยากของการบำเพ็ญลดลงมาบ้าง

อยากจะให้สำนักวิชาของตนเป็นที่แพร่หลาย เช่นนั้นความยากในการบำเพ็ญก็ต้องต่ำ แต่พลังยุทธ์หลังจากที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วต้องสูงพอ! เพราะว่าการแข่งขันโหดร้ายเกินไป จึงไม่มีผู้ใดอยากเรียนรู้ศาสตร์ลับอันซับซ้อนยากศึกษาบางอย่างที่เทพจักรวาลคิดค้นขึ้น

ทว่า ‘สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์’ นั้นก็มีชื่อเสียงในด้านการบำเพ็ญที่พลังยุทธ์ยกระดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งได้เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา

“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว” ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่หยวนบอกว่า ‘พื้นฐานลึกล้ำยิ่งกว่า’ นั้นล้ำลึกเพียงใด

เห็นได้ชัดว่าการบำเพ็ญของบ้านเกิดของตนนั้นหยาบกร้านกว่าเป็นอย่างมาก

…………………………………