บทที่ 6 บทที่ 80 ไม่ขมขื่นไม่ร้องไห้

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

เวลาประมาณตีสี่

 

เวลาที่หม่าโฮ่วเต๋อมาถึงสนามกีฬาไม่ใช่เวลาที่คนงานรายงานว่าพบศพ

 

ตอนหม่าโฮ่วเต๋อมาถึง ตำรวจที่มาถึงก่อนได้ปิดสถานที่เกิดเหตุแล้ว

 

ตอนนี้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ถึงแม้ลมทางใต้จะไม่ถือว่าหนาวมาก แต่หม่าโฮ่วเต๋อที่เลือกเวลาออกมาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี

 

เขาถูฝ่ามือของเขาโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เขาห่างจากที่เกิดเหตุประมาณยี่สิบเมตรนั้น เขาก็มองไปรอบๆ อย่างเป็นกังวล

 

“เซอร์หม่า เวลานี้คุณเริ่นไม่มาหรอก ผมจำได้ว่าเธออยู่ดึกไม่ได้นี่ครับ?” หลินเฟิงพูดเบาๆ อยู่ข้างกายหม่าโฮ่วเต๋อ

 

“เฮ้อ! เฉพาะเวลาลั่วชิวอยู่บ้านเท่านั้นแหละ!” หม่าโฮ่วเต๋อเอ่ย

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และสบถออกมาว่า “นายคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนพวกที่ถูกงูกัดครั้งเดียวก็กลัวเส้นฟางไปเป็นสิบปีงั้นเหรอ ต้องกลัวว่าจะเจอเริ่นจื่อหลิงในทุกสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมเลยเหรอ”

 

คุณสารภาพแล้วไม่ใช่หรือไง…

 

หลินเฟิง…เซอร์หลินส่ายหน้า รีบเอ่ยว่า “เซอร์หม่า จัดการคดีสำคัญกว่า! จัดการคดีสำคัญกว่า!”

 

 

ทั้งสองคนผ่านเส้นหวงห้ามเข้าไปถึงสถานที่เกิดเหตุ

 

หม่าโฮ่วเต๋อพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ลักษณะการตายแบบนี้…ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!”

 

อิงตามคำพูดของคนงานที่พบศพ กลุ่มคนได้พบราวค้ำที่ร่างกายของคนงานตกผ่านลงมาอย่างรวดเร็ว

 

“เซอร์หม่า คุณมาแล้ว!”

 

ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนิติเวชคนหนึ่งกำลังโบกมือให้กับหม่าโฮ่วเต๋อ

 

หม่าโฮ่วเต๋อเดินเข้ามาและถามว่า “เสี่ยวเป่า ทำไมถึงเป็นนาย? เหล่าฉินล่ะ?”

 

“อ๋อ หัวหน้าลาครับ!” ชายหนุ่มนิติเวชที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวเป่ารีบตอบ

 

“ลา?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก “เหล่าฉินที่อยู่ในห้องทดลองได้เป็นหนึ่งปีครึ่งปี ก็ลาเป็นด้วยเหรอ?”

 

เสี่ยวเป่าเอ่ยว่า “เรื่องนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เมื่อวานตอนไปทำงาน ผมเห็นข้อความที่หัวหน้าทิ้งเอาไว้บอกขอลาหยุดไม่กี่วัน ผู้อำนวยการก็อนุมัติแล้ว”

 

“พักกี่วัน?”

 

“ไม่ได้ระบุไว้ครับ” เสี่ยวเป่ายักไหล่และเอ่ยว่า “บอกแค่ว่าเมื่อกลับมาก็จะมาทำงานเองครับ”

 

“เมื่อกลับมาถึงก็จะมาทำงานเอง? อะไรกัน ลับๆ ล่อๆ…” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยากคิดมากเกินไปจึงถามว่า “เอาเถอะ เสี่ยวเป่า หลังนายมาแล้วพบอะไรหรือเปล่า?”

 

เสี่ยวเป่ารีบพูดว่า “ผมพบรอยเท้าจางๆ หลายรอยบนราวค้ำที่มีรอยเลือดผู้ตาย…อืม ผมดูแล้ว จากบาดแผลของศพไม่เหมือนถูกพวกลวดเหล็กบนราวค้ำตัดขาด ความจริงลวดเหล็กก็ตัดเป็นบาดแผลใหญ่และเรียบขนาดนี้ไม่ได้หรอกครับ…เซอร์หม่า คุณได้ดูศพหรือยัง? ผู้ตายถูกบางอย่างตัดจากไหล่ซ้ายลงไปถึงเอวขวาในครั้งเดียว อวัยวะภายในกระจัดกระจายออกมา พวกเรากำลังเก็บรวบรวมอยู่…”

 

“มีดตัดขาดในครั้งเดียว?” หม่าโฮ่วเต๋อเอ่ยถาม

 

“มีด?” เสี่ยวเป่ามึนงงและพูดว่า “เซอร์หม่า อย่าเพิ่งพูดฟันธงไป ตอนนี้พวกเราคาดเดาอะไรออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ จะบอกว่าเป็นมีดได้ไงครับ?”

 

หม่าโฮ่วเต๋อจึงถามว่า “งั้นนายคิดว่าผู้ตายในครั้งนี้กับศพของคนเร่ร่อนที่พบเมื่อครั้งก่อนเกี่ยวข้องกันไหม?”

 

“ก็ไม่แน่” เสี่ยวเป่าขมวดคิ้ว “พวกคุณเชื่อมต่อคดีจากรอยบาดแผลที่ใหญ่และเรียบเข้าด้วยกัน แต่พวกเราจำเป็นต้องใช้มุมมองของนิติเวชดู ดังนั้นทุกอย่างต้องรอการตรวจสอบก่อนครับ”

 

หม่าโฮ่วเต๋อกลอกตาขาว “ไม่รู้ว่านายเรียนรู้จากเหล่าฉินมามากแค่ไหน แต่เรื่องดื้อดึงจะตรวจสอบเรื่องไม่จำเป็นนี้ช่างเหมือนกันจริงๆ! เอาเถอะ พวกนายทำต่อไปเถอะ พวกฉันจะไปสอบถามพวกคนงานก่อน!”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อกับหลินเฟิงรวมถึงตำรวจคนอื่นๆ เริ่มซักถามคนงานที่ไซต์งาน

 

ในช่วงกลาง หม่าโฮ่วเต๋อก็รู้สึกย่ำแย่กับจำนวนคนงานที่มีมากมาย เมื่อต้องสอบถามแต่ละคนอย่างละเอียด รวมทั้งสำรวจรอบสถานที่เกิดเหตุและด้านนอกสนามกีฬา งานทั้งหมดยังทำได้ไม่ถึงครึ่ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเวลาหกโมงเช้า

 

ไม่พบอาวุธสังหาร นอกจากรอยเท้าบางๆ สองสามรอยที่พบบนราวค้ำที่เกิดเหตุแล้ว ยังพบรอยขีดข่วนในบางส่วนของราวค้ำ…ซึ่งเป็นรอยขีดข่วนใหม่

 

แต่ร่างกายของผู้ตายก็ถูกส่งกลับไปยังสำนักงานก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อดำเนินการชันสูตรศพ

 

แต่ศพเพิ่งถูกส่งออกไป ครอบครัวของผู้ตายก็มาถึงพอดี ทำให้หม่าโฮ่วเต๋อปวดหัวเพราะต้องปลอบใจและไม่พบเบาะแสใดๆ จนกระทั่งถึงเจ็ดโมงตรง

 

“เซอร์หม่า หาซื้อกาแฟไม่ได้เลยครับ…เอากระทิงแดงแทนได้ไหม?”

 

“อะไรก็ได้” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า นั่งลงบนเก้าอี้หินนอกสนามกีฬาอย่างเหนื่อยล้า

 

ตอนนี้เองก็มีเด็กสองคนมาปรากฏตัวอยู่ในสายตาของหม่าโฮ่วเต๋อและหลินเฟิง…เป็นเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งกับเด็กหญิงที่โตกว่าหน่อย

 

เด็กชายตัวเล็กดูค่อนข้างคล้ายหนู… เซอร์หม่ารู้สึกอย่างนั้น

 

“ลุงครับ ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?” เด็กชายที่ดูคล้ายหนูวิ่งมาตรงหน้าของคนทั้งสองและเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

หม่าโฮ่วเต๋อลูบหัวของเด็กชายอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษและเอ่ยว่า “เด็กน้อย เรื่องในนี้นายไม่ต้องถามหรอก ตอนนี้ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ ไม่กลัวไปสายหรือไง?”

 

“ฮีๆ~” เด็กชายที่ดูคล้ายหนูถามขึ้นในทันใดว่า “ลุงๆ พวกลุงเป็นตำรวจใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มและถามว่า “นายรู้ได้ยังไง? พวกฉันไม่ได้ใส่ชุดตำรวจสักหน่อย?”

 

“บนคอของลุงมีบัตรอยู่ใช่ไหมฮะ?”

 

หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก จกนั้นถึงหัวเราะและพูดว่า “ฉลาดจริงๆ…เอาล่ะ ในเมื่อรู้แล้วว่าฉันเป็นตำรวจก็อย่ามากวน…ใช่แล้ว ฉันขอถามเรื่องหนึ่งหน่อย นายต้องตอบมาตามตรงนะ?”

 

“ได้ครับ! แม่ผมบอกว่าต้องพูดความจริงกับลุงตำรวจ”

 

เป็นเด็กดีจริงๆ…หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจ “นายอาศัยอยู่แถวนี้ใช่ไหม? ตอนเช้าออกจากบ้านมาเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนผ่านมาแถวนี้หรือเปล่า?”

 

เด็กชายส่ายหน้า “ไม่เห็นครับ แต่หากผมเห็นแล้วต้องไปหาลุงใช่ไหมครับ?”

 

หม่าโฮ่วเต๋อคิดในใจว่าถึงเด็กคนหนึ่งจะพบเจอคนแปลกหน้า…ผีถึงรู้ว่าวันวันหนึ่งจะพบคนแปลกหน้ามากน้อยแค่ไหน? เขาจึงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก…เอาล่ะ นายรีบไปโรงเรียนเถอะ! อย่าขวางการทำงานของตำรวจ!”

 

“ครับ!” เด็กชายที่ดูคล้ายหนูรีบวิ่งกลับไปข้างกายเด็กหญิง และจูงมือเด็กหญิงจากไป

 

“เป็นเด็กนี่ดีจริงๆ” หม่าโฮ่วเต๋อหาวออกมา “รอเดี๋ยว เด็กผีสองคนนี้รักกันเร็วเกินไปไหม?”

 

“อาจจะเป็นพี่สาวน้องชายก็ได้นะครับ” หลินเฟิงส่ายหน้า

 

หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว ดื่มไวน์จนหมดในอึกเดียว จากนั้นก็ตบๆ หน้าและลุกขึ้นมาพูดว่า “ทำงานต่อ! ย่า…จะต้องเป็นรักก่อนวัยแน่นอน จะพนันไหม!”

 

“…”

 

 

 

“ชีส มีปัญหาอะไรไหม?”

 

นีนี่ถามชีสในทันที ถึงเวลากลางวันนีนี่จึงกลายร่างเป็นรูปร่างเด็กหญิงแล้ว

 

ตอนนี้เธอกับชีสกำลังหลบอยู่หลังป้ายโฆษณาด้านนอกสนามกีฬา

 

“ไม่มี”

 

ชีสส่ายหน้าก้มหน้าลงและเอ่ยว่า “ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว น่าจะยังไม่พบเบาะแสอะไร…เมื่อคืน คนที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์น่าจะไม่เห็นอะไร”

 

นีนี่รู้สึกเป็นกังวล จับแขนของชีสแน่นในทันทีและเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ชีส นายว่าตำรวจจะสืบได้ไหมว่าจุยเฟิงฆ่าคน…”

 

“นีนี่!” ชีสขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเราแค่เห็นจุยเฟิงอยู่ที่นั่นเท่านั้น ไม่ได้เห็นจุยเฟิงลงมือ อย่าพูดเหลวไหล!”

 

หากนับอายุแล้วนีนี่อายุมากกว่าชีส แต่ในกลุ่มวัยรุ่นจุยเฟิงซึ่งรวมไปถึงจุยเฟิงที่อายุมากที่สุดก็ยังไม่สุขุมเท่าชีส

 

เธอถอนหายใจอย่างฉับพลันและเอ่ยว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้…เห้อ หากตอนที่พวกเราเลือกหัวหน้านายไม่ถอนตัวละก็ คงไม่เกิดเรื่องเยอะแบบนี้…”

 

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” ชีสส่ายหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เสี่ยวเจียงล่ะ? พวกเรานัดเจอกันที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

 

“ไม่รู้สิ ทำไมถึงยังไม่มาอีกนะ?” นีนี่ก็มองรอบด้านอย่างสงสัย…จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนในทันที ร่างกายสั่นสะท้าน “หลง หลง หลง…”

 

“หลงอะไร?” ชีสชะงัก

 

“ใต้เท้าหลง!” นีนี่ใช้สองมือกุมปากของตนเอง

 

ชีสเพ่งมองก็เห็นหลงซีรั่วค่อยๆ เดินมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนด้านหลังของเธอมีเสี่ยวเจียงเดินก้มหน้าตามมา จนกระทั่งหลงซีรั่วเดินเข้ามาถึงที่ๆ พวกเขาอยู่

 

เสี่ยวเจียงก้มหน้าและพูดขึ้นว่า “ขอโทษด้วย ชีส ผม ผมกลัวมากเลยไปบอกเรื่องนี้กับใต้เท้าหลง…”

 

“เสี่ยวเจียง พวกเราตกลงกันแล้ว…” ชั่วขณะนั้นชีสก็โมโหขึ้นมา

 

“ตกลงว่าอะไร?” หลงซีรั่วตัดบทอย่างไร้อารมณ์ “ตกลงกันว่าจะปิดบังงั้นเหรอ?”

 

สายตาของมังกรแห่งแผ่นดินเทพทำให้ชีสตัวแข็ง ก้มหน้าลงในพริบตา ส่วนร่างกายก็เริ่มสั่นขึ้นมา

 

หลงซีรั่วสบถเอ่ยว่า “ฉันเคยบอกแล้วว่าห้ามเด็กที่ยังไม่โตแบบพวกนายออกมาเล่นตอนกลางคืน พวกนายถือว่าคำพูดฉันเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านหูงั้นเหรอ?”

 

แต่ชีสกลับเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันและพูดว่า “ใต้เท้าหลง! จุยเฟิงไม่ได้ฆ่าคน! ผมรู้ว่าเขาจะไม่ฆ่าคนแน่!”

 

หลงซีรั่วมองดวงตาของชีส มองดูเขาที่หวาดกลัวมากแต่กลับมีสายตาดื้อดึง จึงถอนหายใจอย่างกะทันหันและพูดว่า “นายไม่เหมือนซูโย่วเลยสักนิด ใจกล้ากว่ามาก”

 

“ผม…”

 

ทันใดนั้นหลงซีรั่วก็ย่อลงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าชีส “ฉันได้ยินซูจื่อจวินพูดถึงเรื่องครอบครัวนายแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าพอจัดการเรื่องยุ่งเสร็จแล้วจะไปหาพวกนาย ช่วงนี้คงลำบากมากใช่ไหม?”

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ครั้งนี้ชีสจึงอดตาแดงไม่ได้และแสบจมูกขึ้นมา

 

เขาก้มหน้าลงพยายามข่มกลั้นแต่กลับไม่สามารถห้ามเสียงไม่ให้สั่นได้ “ผม…ผมไม่ลำบาก!”

 

“เด็กโง่”

 

หลงซีรั่วกอดเขาเข้ามาในอ้อมอก

 

“ผมไม่ลำบาก!”

 

แม้ชีสจะพิงบนไหล่ของหลงซีรั่วและสะอื้นแต่ก็ยังคงดื้อรั้นอยู่

 

เพราะเขาเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก