ยุนเปลี่ยนชุดเป็นสีดำแล้วปีนออกทางหน้าต่าง แน่นอนว่าสถานที่ที่มุ่งหน้าไปคือตำหนักของยอนนั่นเอง ไฟทั้งหมดดับลงมาเป็นเวลานานแล้วทำให้พระราชวังจมอยู่ในความมืดมิด แต่เขาก็ไม่สนใจและเคาะหน้าต่างเบาๆ ก๊อก ก๊อก ก๊อก หลังจากเคาะสามครั้งและรอสักพัก ใบหน้าขาวก็โผล่มาจากช่องหน้าต่างที่แง้มออก
“ท่านพี่”
รอยยิ้มกว้างปรากฏชัดเจนแม้แสงจันทร์จะเลือนราง แต่เพราะหน้าต่างอยู่สูงเกินเมื่อเทียบกับส่วนสูงของยุน เขาจึงไม่สามารถสัมผัสใบหน้านั้นได้
“คิดถึงก็เลยมาหาน่ะ”
“รู้แล้ว”
ยอนตอบสั้นๆ แต่ชัดเจน ก่อนจะยื่นมือลงมาด้านล่าง ยุนเองก็เขย่งเท้าและยื่นมือขึ้นสุดเท่าที่จะทำได้ แต่มือเล็กๆ ทั้งสองก็ไม่ได้แตะกัน หลังจากยื่นตัวลงและลองแกว่งมือไปมา สุดท้ายยอนก็ใช้มือยันกรอบหน้าต่างแล้วปีน
“กลับลงไปเร็ว! มันอันตราย!”
ยุนตกใจตาเบิกโพลงเพราะเข้าใจชัดเจนว่าองค์หญิงผู้ไร้ความกลัวกำลังจะทำอะไร
“รับให้ดีๆ ล่ะ”
ยอนนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนกรอบหน้าต่างพร้อมเอ่ยอย่างมุ่งมั่น ชายชุดนอนสีขาวสะบัดพลิ้วราวกับกลีบดอกไม้และลู่ลงใต้แสงจันทร์ แม้หน้าต่างจะสูงแค่ส่วนสูงของผู้ใหญ่ แต่สำหรับยอนที่มีรูปร่างเล็กมันก็เสี่ยงค่อนข้างมากทีเดียว ทว่าแทนที่หัวจะตกลงพื้น นางก็โผเข้าสู่วงแขนของยุนอย่างพอดิบพอดี
“มันอันตรายนะ”
ยุนเขกหัวเด็กสาวที่ทับตัวเองอยู่เบาๆ ในสภาพยังนอนอยู่แบบเดิมพลางใช้แขนข้างหนึ่งโอบยอนแน่น
“มีท่านพี่อยู่ทั้งคน จะมีอะไรอันตรายกันเล่า”
“แต่พ่อเองก็ว่ามันอันตรายอยู่ดี”
รอยยิ้มของเด็กทั้งสองที่มองกันและกันแข็งค้าง แม้ฝีเท้าไร้เสียงเดินเข้ามาใกล้และหยุดยืน แต่พวกเขาก็คิดไม่ออกเลยว่าต้องโค้งถวายการคำนับหรือไม่
“ลุกขึ้น ทั้งคู่”
“เสด็จพ่อ…”
“เร็วสิ พ่อบอกให้ลุกขึ้น”
ยุนตั้งสติได้ก่อนจึงค่อยๆ เอาตัวยอนลง แต่เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นยืนทันที เพราะหัวเข่าที่ไม่เคยสัมผัสพื้นสักครั้งตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ บัดนี้ได้ถูกรวบเข้าหากันบนพื้นดินอย่างสุภาพเรียบร้อย
“ผู้ขัดคำสั่งของฝ่าบาทไม่ใช่องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาหาเอง โปรดทรงกรุณาอย่าลงโทษองค์หญิงเลย”
ฮอนหันมองยอนอย่างเยือกเย็น ปีนี้เป็นปีที่แปดแล้วที่นางลืมตาดูโลก แต่ไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนั้นของเสด็จพ่อเลยสักครั้ง
“ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือองค์หญิง”
“เพคะเสด็จพ่อ”
มือของยุนที่กำอยู่บนตักแน่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่ก็จะเอาตัวรอดคนเดียวสินะ
“ลุกขึ้นองค์รัชทายาท เจ้าเองก็มาเยี่ยมเยียนแทซากุกในฐานะแขกบ้านแขกเมือง”
ไหนตอนนั้นบอกว่าไม่อาจให้การรับรองแบบเชื้อพระวงศ์ได้เพราะเกเรอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ เขาระบายความรู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป ยุนจึงค่อยๆ ลุกขึ้นปัดเศษดินบนเข่าและโค้งศีรษะลงเล็กน้อย
“องค์หญิงกลับเข้าตำหนัก ส่วนองค์รัชทายาทฮเยกุกตามข้ามา”
พูดจบ ฮอนก็หันหลังขวับและเดินนำหน้าไปยังวังจานยองทันที ยุนเดินตามหลังได้ประมาณห้าหกก้าวด้วยความรู้สึกไม่อยากแยกจาก พอหันหลังกลับก็เห็นยอนยังยืนอยู่ตรงนั้น แม้ชุดนอนจะเปื้อนดิน นางก็ยังงดงามและน่ารัก แล้วเช่นนี้จะเกลียดลงได้อย่างไร ยุนกะพริบตาไวๆ ให้ยอนหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ก่อนจะกลับหลังหันไปฝั่งตรงข้ามช้าๆ
ชินนั่งอยู่หน้าโต๊ะและจดจ่ออยู่กับการคัดลายมือ แต่สุดท้ายก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองยุนเขม็ง ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ยุนกับยอนแอบพบกันลับๆ แล้วถูกฝ่าบาทจับได้ แม้จะไม่ถูกจับขังหรือโดนต่อว่าอย่างหนัก แต่คู่รักวัยเด็กก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีกเลย ทว่าวันนี้หลังจากเรียนกับชินและทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเสร็จสิ้น ยุนก็เอาแต่ตามชินต้อยๆ แทนที่จะกลับตำหนัก
“ยังไม่ไปอีก นี่ก็เรียนเสร็จนานแล้วนะ”
“ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินคำพูดล่วงเกินแบบนี้เป็นครั้งแรก”
“ก็รู้หนิ จะกลับไปฟ้องที่ฮเยกุกหรือไง”
“คิดว่าข้าเป็นเด็กเหมือนเจ้าหรือไง”
เลิกพูดดีกว่า ชินถอนหายใจและตวัดพู่กันอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรต่อ ข้างหน้ายุนก็มีหนังสือวางไว้ตามมารยาทเช่นกัน แต่เขาไม่คิดจะเปิดมันเลย เป้าหมายที่อยู่ตรงนี้และยอมให้ต่อว่าคือการนั่งเท้าคางมองหน้าชินเท่านั้น
ทั้งที่ทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน แต่กลับแตกต่างกันมาก ชินหน้าตาเหมือนแม่จึงมีใบหน้าเฉี่ยวคมเล็กน้อย แต่ยอนมีหน้าตาเหมือนพ่อจึงมีความนุ่มนวลและดวงตาคมลึก แต่ถึงกระนั้นหากมองโดยละเอียดแล้วพวกเขาก็มีความเหมือนด้วยเช่นกัน หลังจากได้จ้องหน้าชินแบบนี้ทั้งวัน ยุนก็มักจะค้นพบความเหมือนระหว่างอีกฝ่ายกับยอนเสมอ ยกตัวอย่างเช่น คิ้วสีเข้ม ผิวขาวนวล และดวงตาสีดำซึ่งต่างกับดวงตาสีน้ำตาลของตนเป็นอย่างยิ่ง
“องค์ชาย”
วันนี้ริมฝีปากก็ดูคล้ายกับยอนเช่นกัน ยุนจ้องมองริมฝีปากชินที่ปิดสนิทอย่างอารมณ์เสียด้วยความสนอกสนใจ จากนั้นจึงเรียกองค์ชายอย่างอ่อนโยน
“ขอร้องล่ะ อย่าเรียกข้าอย่างนั้น”
“ลองยิ้มหน่อย”
“ว่าไงนะ”
“ยิ้มให้ดูแค่ครั้งเดียว แล้วข้าจะกลับเลย”
“แล้วถ้าบอกว่าไม่ล่ะ”
“ถ้างั้นข้าก็จะอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ”
ให้ตายเถอะ ชินพึมพำเบาๆ และยกมือสองข้างปิดหน้า สักพักก็เอามือออกและยกมุมปากขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติสุดๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ดูฝืนจนแทบไม่เป็นรอยยิ้ม แต่แค่ได้เห็นรอยยิ้มของยอนบนใบหน้านั้น ยุนก็พอใจแล้ว
“เห็นแล้ว งั้นขอตัว”
“นี่ องค์รัชทายาท”
คราวนี้เป็นชินที่เรียกอีกฝ่ายให้หยุด
“มีอะไร”
“รอเดี๋ยว”
หลังจากพูดอย่างห้วนๆ ก็เก็บกระดาษที่เขียนอยู่และคลี่แผ่นใหม่ ฝนหมึกให้เข้มขึ้นอีกหน่อยแล้วเปลี่ยนเป็นพู่กันหัวแหลม เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ปลายพู่กันก็เริ่มวาดเส้นเรียวเล็กบนกระดาษ ตอนแรกมันอาจจะดูเหมือนเป็นการรวมตัวของเส้นไร้ความหมาย แต่ไม่ช้าหลังจากถูกประกอบเข้าด้วยกัน มันก็กลายเป็นใบหน้าของสตรีผู้หนึ่ง คางเรียวเล็ก แก้มอิ่มเอิบ คิ้วเข้มเป็นระเบียบและดวงตาที่มีแพขนตายาวเป็นพิเศษ
“เอาไปสิ พรุ่งนี้เจ้าก็กลับประเทศแล้วหนิ”
จู่ๆ ก็ใจดีเนี่ยนะ ยุนเกิดความสงสัยขึ้นอย่างแรงและไม่ยอมรับมันมาง่ายๆ ทำแค่มองชินด้วยหางตา
“ไม่เอาเหรอ งั้นก็ไม่ต้องเอา”
“มะ ไม่ใช่ เอาสิ”
พอเห็นชินกำลังจะเก็บภาพวาดอย่างเย็นชา ยุนจึงรีบยื่นมือไปหยิบทันที ไม่ลืมกางกระดาษที่เกิดรอยยับนิดหน่อยจากการรีบแย่งออกแล้วพับใหม่อีกครั้งอย่างสวยงาม
“ไปแล้วนะ ไว้เจอกัน”
แผ่นหลังไกลห่างออกไปโดยทิ้งคำบอกลาไว้เพียงสั้นๆ แทนคำขอบคุณดูเศร้าหมองอย่างไรไม่รู้ ข้าก้าวก่ายโดยไม่จำเป็นหรือเปล่านะ ชินวางพู่กันที่ถืออยู่ลงแล้วนอนแผ่ลงบนเตียง ถึงจะไม่รู้ว่าน้องสาวชอบอะไรในตัวคนหยิ่งยโสเช่นนั้น แต่ตนก็ไม่ได้อยากให้เจ้านั่นกลับเหมือนกัน
“ใครสนกันล่ะ เอารูปไปแล้วก็กลับไปซะเถอะ”
ถึงจะบ่นแบบนั้น แต่อย่างไรก็ผ่านความลำบากมาด้วยกันอยู่ดี พอคิดว่ายุนจะกลับไปพรุ่งนี้แล้วจึงอดเสียดายไม่ได้ แม้ว่าชินจะรู้สึกเศร้า แต่วันต่อมายุนก็จากไปก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเสียอีก จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งปี สองปี สามปี อีกฝ่ายก็ไม่เคยส่งข่าวคราวมาเลย
ไว้เจอกัน ประโยคสั้นๆ ที่ทิ้งไว้คือคำบอกลาอันแสนยาวนาน
* * *