ทว่าความจริงแล้ว ซูจิ่นซีคิดมากเกินไป
ขณะที่ดวงตาของซูจิ่นซีทอประกาย ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา
“ข้าทำอาหารไม่เป็น”
การแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซีพลันเลือนหาย นางนั่งลงด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย
เหมยจื่อที่จัดเตรียมอาหารอยู่ด้านข้างได้ยินเข้า จึงแย้มยิ้มและพูดว่า “พระชายา แม้ท่านอ๋องไม่ได้ทำอาหารเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง ทว่าท่านอ๋องเป็นผู้เขียนรายการอาหารและบอกให้พวกบ่าวทำ อาหารที่ท่านอ๋องจัดเตรียมไว้ ต้องเป็นอาหารที่พระชายาทรงโปรดปรานมากที่สุดเพคะ”
ซูจิ่นซีมองอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียดอีกครั้ง มีอาหารหลายอย่างที่นางชอบทานจริงๆ แม้จะมีจุดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ทว่าทุกอย่างที่เยี่ยโยวเหยาทำให้นางนั้น ก็มากเพียงพอแล้ว
ดั่งที่เยี่ยโยวเหยาเคยพูดไว้ เขากำลังเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อซูจิ่นซี
ท่านอ๋องผู้มีฐานะสูงศักดิ์ เป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงสุดในแคว้น นางคงไม่อาจขอร้องให้เขาเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเองกระมัง? นั่นคงเป็นเรื่องที่ยากเกินความเป็นจริง
ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงเลิกคิดเรื่องจุกจิกเหล่านี้
ซูจิ่นซีนอนมาทั้งวัน เมื่อมองอาหารบนโต๊ะ นางจึงรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากเหมยจื่อและล่าเยวี่ยจัดเตรียมชามและตะเกียบเรียบร้อย ซูจิ่นซีจึงรินสุราสองจอก จอกหนึ่งให้ตนเอง อีกจองหนึ่งให้เยี่ยโยวเหยา
“เชิญเพคะท่านอ๋อง จิ่นซีคารวะท่านหนึ่งจอก! ”
เยี่ยโยวเหยายกจอกสุราขึ้น จากนั้นทั้งสองจึงร่วมดื่มสุราด้วยกัน
ทุกครั้งที่รับประทานอาหาร เยี่ยโยวเหยาไม่ชอบพูดคุย ดังนั้นทั้งสองจึงรับประทานอาหารอย่างเงียบงัน ในช่วงเวลานั้น เยี่ยโยวเหยาจะสังเกตและจดจำว่าซูจิ่นซีทานอาหารใดมากเป็นพิเศษ อาหารใดที่ไกลเกินเอื้อม เขาก็จะคีบให้ซูจิ่นซี
เมื่อรับประทานอาหารไปพอสมควรแล้ว ซูจิ่นซีจึงวางชามและตะเกียบลง ก่อนจะพูดว่า “ท่านอ๋อง ดีดพิณกันดีหรือไม่? ไม่นานมานี้ จิ่นซีเพิ่งได้เรียนการรำร่ายมา จึงต้องการร่ายรำให้ท่านอ๋องดู เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนสำหรับอาหารสุดหรูในค่ำคืนนี้เพคะ ”
การเต้นรำของซูจิ่นซีนั้นยอดเยี่ยมมาก ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตยังไม่พัฒนา ตอนที่ซูจิ่นซีว่างจนไม่มีสิ่งใดทำ นางได้ศึกษาเนื้อเพลงและการเต้นรำ โชคดีที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางสนใจ
การได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและสนใจ มักรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายเสมอ
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาทอประกายด้วยความคาดหวัง เขาพูดกับเหมยจื่อว่า “ไปนำพิณโบราณมา! ”
เหมยจื่อตอบรับ ไม่นานหลังจากนั้น นางก็เดินถือพิณโบราณคันหนึ่งเข้ามา
เมื่อเห็นพิณคันนั้น ซูจิ่นซีพลันตกตะลึงเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพิณฝูซี
หลังจากได้รับพิณเฟิ่งหวงมา ยามว่าง ซูจิ่นซีจะศึกษาเครื่องดนตรีเหล่านี้ ดังนั้น นางจึงรู้ว่าพิณฝูซีคันนี้ล้ำค่ามากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม พิณฝูซีเป็นอาวุธที่จักรพรรดิฝูซีใช้ในการทำสงครามรวบรวมแผ่นดินในสมัยนั้น ทว่าซูจิ่นซีเคยเห็นเพียงคำอธิบายเกี่ยวกับพิณฝูซี และภาพวาดในหนังสือเท่านั้น นางคาดหวังมาตลอดว่า วันหนึ่งจะได้มีโอกาสเห็นพิณฝูซีด้วยตาตนเองสักครั้ง นางต้องการเห็นว่าพิณเลื่องชื่อที่ติดตามทำสงครามกับจักรพรรดิฝูซีไปทั่วหล้านั้น น่าอัศจรรย์เพียงใด
ไม่คาดคิดเลยว่า พิณฝูซีจะอยู่ในมือของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีจ้องมองพิณฝูซี ทันใดนั้น มุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “สิ่งอื่น หากเจ้าต้องการ ข้าสามารถมอบให้ได้ ทว่าพิณฝูซีคันนี้ ข้าไม่อาจมอบให้ได้”
เดิมที ซูจิ่นซีไม่ได้ต้องการ แต่เมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดเช่นนี้ นางจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “เพราะเหตุใด? ”
“เพราะว่ายามที่ดีดพิณนี้ จำเป็นต้องใช้พลังภายในอันแข็งแกร่ง ตอนนี้ พลังภายในของเจ้ายังไม่เพียงพอสำหรับการเล่นพิณฝูซีคันนี้”
นางคือผู้ที่มีพลังสยบมังกร กระทั่งนางยังไม่สามารถเล่นพิณฝูซีได้ เช่นนั้น ตอนที่จักรพรรดิฝูซีใช้พิณฝูซีในสงคราม เขาต้องใช้พละกำลังเพียงใดกัน!
ซูจิ่นซีมองพิณฝูซีด้วยแววตาเป็นประกาย
ทว่าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถดีดได้ก็คือไม่สามารถดีดได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อยู่ในมือของเยี่ยโยวเหยา ก็ไม่ต่างจากอยู่ในมือของนาง
เยี่ยโยวเหยาเป็นคนของนางแล้ว ของของเขา ไม่ใช่ของของนางหรือ?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีจึงไม่ได้วุ่นวายอันใดอีก หลังจากสนทนากับเยี่ยโยวเหยาเสร็จแล้ว นางจึงเริ่มต้นร่ายรำ
บทเพลงที่ใช้เต้นรำคือ《เรือหาปลายามเย็น》สำหรับเยี่ยโยวเหยาแล้ว แม้จะไม่คุ้นเคย ทว่าซูจิ่นซีเพียงบอกรายละเอียดชั่วครู่ และเยี่ยโยวเหยาลองเล่นให้ดูสองครั้ง เขาก็บรรเลงได้อย่างไหลลื่นแล้ว
เป็นดั่งที่คิดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะยากเพียงใด โยวอ๋องสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจนเชี่ยวชาญ
ขณะที่บทเพลงอันไพเราะค่อยๆ ดังขึ้น ซูจิ่นซีก็เริ่มร่ายรำโดยการเดินและกระโดดเบาๆ
นางแกว่งแขนเสื้อ ลดเอวลง หมุนตัว และมองย้อนกลับ พลางซอยเท้าร่ายรำ ราวกับผีเสื้อที่ลอยอยู่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง
แสงอาทิตย์อัสดงปกคลุมเรือนด้านนอกริมแม่น้ำ ทั้งยังสาดแสงไปทั่วสวนตี้เหมย ข้างแม่น้ำยามเย็นมักมีลมพัดเอื่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นระลอกเล็กในทะเลสาบ ลมนั้นพัดผ่านกิ่งก้านและใบไม้ของต้นเหมยจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ สอดประสานเข้ากับเสียงพิณของเยี่ยโยวเหยา กลายเป็นอีกบทเพลงหนึ่งที่ยอดเยี่ยม
เหล่าสาวใช้และผู้ดูแลสวนตี้เหมยต่างไม่เคยเห็นท่านอ๋องดีดพิณมาก่อน แม้จะมีพิณฝูซีวางไว้ในเรือน ทว่าก่อนหน้านี้ท่านอ๋องไม่ค่อยมาที่สวนตี้เหมย ต่อให้บังเอิญมาครั้งหนึ่ง ก็ไม่เคยแตะต้องพิณคันนี้เลย
นอกจากนั้น พวกเขาไม่เคยเห็นพระชายาร่ายรำมาก่อน พวกเขารู้สึกว่านางงดงามราวกับนางฟ้าที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ ภาพที่งดงาม กอปรกับการเต้นรำ คงมีเพียงบนสรวงสวรรค์เท่านั้น ยากจะพบพานในโลกมนุษย์
ทุกคนต่างมองด้วยความตกตะลึง
แม้แต่เยี่ยโยวเหยาที่กำลังดีดพิณ ยังมองด้วยแววตาตกตะลึงเล็กน้อย เขามองการเคลื่อนไหวของซูจิ่นซีที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนลืมไปว่าดนตรีบรรเลงอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิด ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ซวนเซ ล้มลงบนพื้น
ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไปชั่วครู่!
เยี่ยโยวเหยากระโดดมาอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี และกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ซูจิ่นซี… ”
ทว่าดวงตาของซูจิ่นซีกลับปิดสนิท ไม่เพียงเท่านั้น ใบหน้าของนางยังเป็นสีม่วงอมฟ้า ริมฝีปากดำคล้ำ ดวงตา จมูก ใบหู และปาก ทวารทั้งเจ็ดค่อยๆ มีโลหิตสีดำไหลออกมา นอกจากนั้น เล็บมือของนางพลันยื่นยาวราวกับกรงเล็บของเหยี่ยว งองุ้มน่ากลัวดั่งตะขอ
บรรดาสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายต่างพากันตกใจ แต่เพราะมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ ทุกคนจึงไม่กล้าส่งเสียงดัง ทำได้เพียงปิดปากไว้ ดวงตาเบิกกว้าง ร่างของพวกเขาสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้
พระชายาเป็นอันใด?
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ถูกมนตร์ดำหรือ?
จิ้นหนานเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่รีบปรากฏกายขึ้น “ท่านอ๋อง พระชายา… พระชายาเหมือนจะถูกวางพิษ! ”
“ซูจิ่นซี ซูจิ่นซี เจ้าฟื้นสิ… ”
เยี่ยโยวเหยาร้องเรียกซูจิ่นซีเสียงดัง ใบหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอด ปรากฏท่าทีตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทว่าซูจิ่นซียังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง
“ตัวนางเองก็เป็นหมอพิษ ทั้งไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะนางได้ พิษอันใดที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของนางโดยไร้ร่องรอย? ”
เยี่ยโยวเหยาเพิ่งพูดจบ ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
ก่อนหน้านี้มีรายงานลับว่า พระชายาให้ซูอวี้และตงหลิงหวงเข้ามาทำการรักษา ดูเหมือนเป็นนางเองที่ถูกพิษ ทั้งยังได้ยินมาว่า ร่างกายของซูจิ่นซีได้รับพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น ซึ่งดูจะเกี่ยวข้องกับแคว้นเป่ยอี้
แคว้นเป่ยอี้…
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเคร่งขรึม
“กลับเย่หลิน ส่งข่าวให้ซูอวี้และคนสกุลจง”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ผู้ที่สามารถช่วยชีวิตซูจิ่นซีได้ คนแรกที่เยี่ยโยวเหยานึกถึงคือ ซูอวี้และคนในสกุลจง
จิ้นหนานเฟิงกำลังจะเดินออกไป เยี่ยโยวเหยาก็พูดย้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ส่งจดหมายไปหาฉินเทียน ถามเขาว่าหนานกงยวี่ฉือคิดได้หรือยัง หากคิดได้แล้ว ข้าจะให้โอกาสเขาชดใช้ความผิด นำจอมมารอสูรของเขาไปรวมตัวกับเผ่าวิหคที่ดินแดนเป่ยจิ้ง เตรียมตัวโจมตีแคว้นเป่ยอี้”
จิ้นหนานเฟิงตกตะลึงอย่างมาก
เหตุใดท่านอ๋องจึงโจมตีแคว้นเป่ยอี้รวดเร็วถึงเพียงนี้? เป็นเพราะพระชายาใช่หรือไม่?
ทว่าสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาไม่อาจคิดอันใดมาก ทำได้เพียงตอบรับและรีบทำตามคำสั่งของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีขึ้น พานางออกจากสวนตี้เหมยอย่างคนคลุ้มคลั่ง เขาไม่ยอมใช้เรือ ทว่าใช้วิชาตัวเบาเหาะไปจนถึงอีกฝั่ง จากนั้นจึงพาซูจิ่นซีควบม้าไปยังเมืองเย่หลินทันที
เขาครุ่นคิดเพียงว่า ซูจิ่นซีที่หมดสติและตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะสารพิษที่ไร้ร่องรอยในร่างของนาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับแคว้นเป่ยอี้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางรู้ว่า สาเหตุที่ซูจิ่นซีเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจที่รวบรวมวิญญาณชั่วร้ายจากทุกสารทิศ ซึ่งเป็นคำสาปของหลิงเซียวจวิ้นจู่
ในเวลาเดียวกัน ตงหลิงหวงที่อยู่ไกลถึงแคว้นตงเฉินก็เกิดเหตุร้ายเช่นกัน
ตอนที่เกิดเหตุนั้น สายลับที่มู่หรงฉีส่งไปตรวจสอบในแคว้นตงเฉิน ได้เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี