เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีเข้ามาในจวนสกุลจง มู่หรงฉีก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของตงหลิงหวงเช่นกัน
ลักษณะอาการในจดหมายลับนั้น เหมือนกับซูจิ่นซีทุกประการ
จงรุ่ยอัน จงเทียนโย่ว และซูอวี้ ทั้งสามคนมาตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซี ทว่าพวกเขาไม่พบเงื่อนงำหรือวิธีการรักษาอันใดเลย
ทำอย่างไรดี?
พวกเขาเป็นหมอมาหลายปี ทว่าไม่เคยพบอาการป่วยเช่นนี้มาก่อน
จงรุ่ยอันกล่าวว่า “อาการป่วยนี้คล้ายถูกพิษอยู่บ้าง ทว่ายังไม่เหมือนถูกพิษ ”
ซูอวี้พูดว่า “หากคุณชายจิ่วอยู่ที่นี่ก็คงดี เสียดายที่คุณชายจิ่วอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
หลังจากพูดจบ ซูอวี้ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หากหมอหลวงอวิ๋นอยู่ที่นี่ก็คงดีเช่นกัน หมอหลวงอวิ๋นมีความรู้กว้างขวาง ไม่แน่ว่าเขาอาจหาสาเหตุของอาการได้”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของซูอวี้ พ่อลูกสกุลจงก็มีท่าทีสับสนเล็กน้อย
“ขอกล่าวตามตรง อวิ๋นจิ่นเป็นศิษย์ในสำนักแพทย์สกุลจงของข้าจริง ทว่าครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากอวิ๋นจิ่นและแม่หนูจิ่นซีเข้าไปในเขตต้องห้ามของสกุลจง เขาก็ยังไม่กลับออกมา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
ซูอวี้ขมวดคิ้วอย่างแรง หากเป็นเช่นนี้ พี่จิ่นซียิ่งตกอยู่ในอันตรายมิใช่หรือ
เขาตรวจดูอาการของซูจิ่นซีอย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากอาการภายนอกและการหมดสติแล้ว ก็ไม่มีลักษณะอื่นใด
ซูอวี้ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขนตลอดเวลา ท่าทางของเขาดูตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเวลานี้ ในใจของเขาหวาดกลัวเพียงใด
ตั้งแต่ที่ซูจิ่นซีล้มลงอย่างกะทันหัน หัวใจของเขาก็ราวกับถูกบางสิ่งกระชากออกไป ไม่อาจสงบลงได้แม้แต่น้อย หากเป็นเพราะแคว้นเป่ยอี้จริง ผลที่ตามมานั้น… เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ซูอวี้เป็นหมอวิเศษ จงเทียนโย่วเป็นหมอเทพ ผู้ที่มีชื่อเสียงทางการแพทย์ของอาณาจักรเทียนเหอล้วนอยู่ที่นี่ อาศัยเพียงวิชาแพทย์ของซูอวี้ กระทั่งเขาก็ยังไม่มีวิธีรักษา เช่นนั้น คงไม่สามารถหาผู้ที่มีวิชาแพทย์สูงส่งกว่าเขาได้อีกแล้ว
แม้วิชาแพทย์ของจิ่วหรงและอวิ๋นจิ่นจะสูงส่งกว่าซูอวี้ ทว่าเวลานี้ พวกเขาอยู่ที่ใดก็ไม่อาจทราบได้
ทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี?
ซูอวี้ตรวจอาการของซูจิ่นซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝังเข็มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่ากลับล้มเหลวทุกครั้ง ใบหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียด และนิ่งเงียบมากขึ้น
จงรุ่ยอันและคนอื่นๆ เฝ้ามองอย่างเงียบงัน ไม่กล้าพูดสิ่งใด
ซูอวี้ฝังเข็มและถ่ายเลือดให้ซูจิ่นซีอีกครั้ง ก่อนจะตรวจเลือดตามขั้นตอนการถอนพิษ
ในที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็เอ่ยปากถามอย่างตึงเครียด “เป็นอย่างไร? ”
ท่าทางของซูอวี้ดูจริงจังอย่างมาก เขาส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้า “ทูลท่านอ๋อง ยังไม่ได้ผลพ่ะย่ะค่ะ”
ยังไม่เป็นผล นี่เป็นครั้งที่หกแล้ว
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขากอดซูจิ่นซี และใช้สองมือกุมคางของนางแผ่วเบา พลางขมวดคิ้วมองใบหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง
“ซูจิ่นซี เจ้าฟังข้า ต้องอดทน เจ้าต้องอดทน”
“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นสตรีของข้า ข้าต้องการให้เจ้าเข้มแข็ง ไม่อนุญาตให้เจ้าอ่อนแอ”
“ซูจิ่นซี ในโลกนี้ ไม่มีเรื่องใดเอาชนะพวกเราได้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเป็นอันใดไป”
“ซูจิ่นซี เจ้าได้ยินหรือไม่ ซูจิ่นซี! ”
……
เยี่ยโยวเหยาพูดอยู่ข้างใบหูของซูจิ่นซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า น่าเสียดายที่ดวงตาของซูจิ่นซียังคงปิดสนิท ไร้ซึ่งการตอบสนอง
นางไม่ได้ยินสิ่งใดแม้แต่น้อย
แม่นมฮวาและลวี่หลีมาถึงก่อนแล้ว พวกนางยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าเป็นเวลานาน ทว่าไม่ได้เดินเข้าไป
ลวี่หลีเห็นเยี่ยโยวเหยาร้องเรียกซูจิ่นซีที่นอนหมดสติ ในที่สุด น้ำตาของนางก็ไหลพราก มือของนางบีบกรอบประตูแน่น
“คุณหนู ท่านฟื้นเถิด คุณหนู! ”
“คุณหนู ท่านอย่าเป็นอันใด หากท่านเป็นอันใดไป ลวี่หลีจะทำอย่างไร? ท่านอ๋องจะทำอย่างไร? ยังมีฮูหยินเฒ่าหาน ผู้นำสกุลจง คุณชายน้อยอวี้ และคนอีกมากมาย พวกเราต้องการท่าน คุณหนู ท่านลืมตามาดูพวกเราเถิด! ”
“คุณหนู เจ็ดปีแห่งความยากลำบากในสกุลซู ท่านยังผ่านมาได้ ก่อนหน้านี้มีอุปสรรคตั้งมากมาย ท่านยังไม่เป็นอันใด ครั้งนี้ ท่านต้องอดทนผ่านไปให้ได้เช่นกัน คุณหนู… ท่านต้องอดทน! ”
ลวี่หลีนั่งลงบนพื้นข้างกรอบประตู น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มดั่งสายน้ำ
เสียงร้องไห้ของลวี่หลี ทำให้แม่นมฮวาร้องไห้ตามไปด้วย
“พระชายา พระองค์รีบฟื้นขึ้นมาเถิด! พระองค์และท่านอ๋องยังมีหนทางอีกยาวไกล พระองค์ยังไม่ได้ให้กำเนิดท่านอ๋องน้อยแด่ท่านอ๋องเลย! พระชายา พระองค์ต้องไม่เป็นอันใด”
หากเป็นยามปกติ เมื่อลวี่หลีได้ยินคำพูดเช่นนี้ของแม่นมฮวา นางจะต้องก้มศีรษะด้วยความเขินอาย ทว่าวันนี้ เมื่อได้ยินแล้ว นางกลับเสียใจอย่างสุดซึ้ง ทั้งยังเจ็บปวดใจมากกว่าเดิม
ใช่แล้ว คุณหนู ท่านยังไม่มีบุตรให้ท่านอ๋องเลย
แท้จริงแล้ว ลวี่หลีรู้ว่าคุณหนูชอบเด็กมากที่สุด
จงรุ่ยอันพ่อลูก และบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านในและด้านนอกห้อง ทุกคนต่างมีท่าทางเศร้าโศกตามเสียงร้องไห้ของลวี่หลีและแม่นมฮวา
“น้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง? น้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงของมู่หรงฉีดังขึ้น ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เขาก็เดินเข้ามาในห้องแล้ว
ทุกคนต่างส่งเสียงสะอื้น คุกเข่าร้องห่มร้องไห้
เมื่อมู่หรงฉีเห็นใบหน้าของซูจิ่นซีซีดขาวราวกับกระดาษ ขาทั้งสองพลันหนักอึ้งราวกับทองพันชั่ง เขายืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “อาการเป็นอย่างไรบ้าง? ”
จงรุ่ยอันรีบตอบ “ทูลฉีอ๋อง กระหม่อมและบุตรชาย รวมถึงผู้นำสกุลซูได้ตรวจพระอาการให้ฉางอันกงจู่หลายครั้งแล้ว ทั้งยังทดลองทุกวิถีทาง ทว่ายังคงไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของมู่หรงฉีมีความโศกเศร้าเล็กน้อย แววตาปรากฏความสิ้นหวัง เขามองไปทางซูอวี้ “กระทั่งหมอวิเศษซูก็ยังไม่มีหนทางรักษาหรือ? ”
ท่าทางของซูอวี้ยังคงเคร่งเครียดอย่างมาก เขามองไปที่ใบหน้าของซูจิ่นซี “พี่จิ่นซี คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ครั้งนี้นางต้องผ่านไปได้แน่นอน”
ถูกต้อง!
ทุกคนต่างเชื่อว่าซูจิ่นซีเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง พวกเขาเชื่อว่าในใต้หล้า ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะโยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีไม่เคยพบเจอสถานการณ์อันตราย เมื่อก่อนนางโชคดีที่มีอวิ๋นจิ่นอยู่ข้างกาย
ทว่าตอนนี้เล่า?
นางยังจะโชคดีเหมือนครั้งก่อนหรือไม่?
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นเล่า?
พวกเขาล้วนไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น มู่หรงฉีก็พูดกับซูอวี้ว่า “ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งใด หมอวิเศษซูโปรดช่วยชีวิตน้องหญิงของข้าด้วย ราชวงศ์มู่หรงของข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณในครั้งนี้”
ซูอวี้คำนับมู่หรงฉีอย่างนอบน้อม “ฉีอ๋องตรัสเกินไปแล้ว ซูอวี้ไม่อาจรับไว้ ทว่าตราบใดที่ซูอวี้ยังมีลมหายใจ จะต้องช่วยพี่จิ่นซีอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว ขอเพียงพวกเรายังมีลมหายใจ จะไม่ทิ้งพี่จิ่นซีอย่างแน่นอน ไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน! ” จงเทียนโย่วกล่าวอย่างมุ่งมั่น
ซูอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ฉีอ๋อง หากเป็นไปได้ พระองค์โปรดช่วยตามหาหมอหลวงอวิ๋น เป็นเวลานานแล้วที่หมอหลวงอวิ๋นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าเขามีความรู้กว้างขวาง หากมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ย่อมมีความหวังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของซูอวี้มีลางสังหรณ์ว่า มีเพียงหมอหลวงอวิ๋นเท่านั้นที่สามารถช่วยพี่จิ่นซีได้ มีเพียงเขาที่สามารถช่วยได้ แม้ซูอวี้จะไม่มีทางยอมให้ซูจิ่นซีเป็นอันใดไป ทว่าเพื่อซูจิ่นซีแล้ว เขายอมแลกกระทั่งชีวิตของตนเอง ทว่าในใจของเขากลับมีลางสังหรณ์เช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
มู่หรงฉีพยักหน้า “วางใจได้ ครั้งนี้ขอเพียงอวิ๋นจิ่นยังอยู่ในแคว้นหนานหลี ต่อให้ข้าต้องพลิกแผ่นดินตามหา ก็จะต้องหาอวิ๋นจิ่นให้พบ”