ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชิวเหมยได้รับคำชื่นชมเช่นนี้ พ่อกับแม่ของเธอติดคุกตั้งแต่เธอยังเด็ก และก็เป็นย่าของเธอที่ดูแลเธอมา เพราะขาดความเอาใจใส่และความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก นิสัยของชิวเหมยจึงต่างไปจากคนอื่นอยู่เสมอมา เธอเป็นคนตรงไปตรงมา และบางครั้งอาจจะบอกว่าเธอป่าเถื่อนและไร้มารยาท

เมื่อเธออายุมากขึ้น นิสัยของเธอก็โตขึ้น เมื่อเธอตัดสินใจจะบอกลาตัวเองในอดีตและพยายามดูสักครั้งในชีวิต เธอก็เจอกับเหวินอวี้ ก่อนที่ดอกไม้จะทันได้คลี่บาน มันก็ถูกตัดออกมาเสียก่อน แต่เพราะความลำบากในสมัยเด็ก ชิวเหมยจึงไม่ได้พ่ายแพ้ไปในทันที เธอยังรักษานิสัยของเธอเอาไว้ได้ และนั่นเป็นเหตุผลให้เฉินเกอชื่นชมเธอ

หลังจากได้ดูหนังของฉางกู เฉินเกอก็ยังไม่เข้าใจนักว่าทำไมเหวินอวี้ถึงได้รับคัดเลือกเข้าไปที่โรงเรียนแห่งปรโลกและยิ่งไม่รู้เลยว่าดวงตาข้างซ้ายปรากฏขึ้นมาได้ยังไง เขาไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเหวินอวี้กับพี่ชายของเธอว่าเป็นอย่างไร แต่เขารู้ดีว่า เรื่องทั้งหมดนี้ ชิวเหมยเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องที่สุด

ผู้ชมประหลาดปรากฏตัวในโรงละคร และที่ประหลาดกว่าผู้ชมทั้งกลุ่มก็คือชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เดินขึ้นมาบนยกพื้น ดวงตาข้างขวาของชิวเหมยลืมขึ้นช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำนั้นบ่งบอกความสับสน เธอได้รับการปลอบโยนจากถ้อยคำของชายคนนี้ แต่บางอย่างมันก็ไม่ได้เหมาะกับเธอนัก

ตอนที่เธอบิดคอมองไปรอบ ๆ ชิวเหมยจ้องฉางกูที่นั่งอยู่ที่นั่งตรงกลาง เหมือนกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ฉางกูเงยหน้าขึ้นทั้งที่ก้มหน้าต่ำมาโดยตลาด เหมือนเขาตัดสินใจแล้ว เขาถอนหายใจเบา ๆ เปลือกตาของเขาสั่น และในที่สุดฉางกูก็ลืมตาขึ้น

“เธอเป็นใคร?” ดวงตาข้างซ้ายของฉางกูนั้นมีขนาดใหญ่เท่าดวงตาของคนทั่วไป แต่ว่ารอบลูกตานั้นมีวงแหวนสีแดงล้อมอยู่ ดวงตาข้างขวาของเขาซึ่งควรจะปกติ กลับดูน่ากลัวกว่า ม่านตาเหมือนจะละลายหายไปและสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือลูกตาที่มีรอยแตกพาดผ่านไปทั่ว

“ดวงตาข้างซ้ายของฉันคือดวงตาของเหวินอวี้ แต่ว่าการผ่าตัดไม่สำเร็จ ดวงตาข้างนี้จึงมองเห็นแค่สีที่ต่างออกไปจากธรรมดา บางครั้งฉันก็มองเห็นบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็นได้เพียงผาด ๆ”

ตอนที่ฉางกูพูด เขาก็มองตรงไปยังชิวเหมยที่ตรงหน้าจอ หลังจากผ่าตัดไม่สำเร็จ พลังของดวงตาข้างซ้ายก็เหลืออยู่เพียงบางส่วน “ดวงตาข้างขวาของฉันนั้นบอดไปแล้ว และฉันก็ไม่สามารถบอกเหตุผลชัดเจนได้ว่าทำไม บางทีมันอาจจะเป็นคำสาปของดวงตาข้างซ้าย” ฉางกูไออย่างหนักก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง แต่หลังจากลืมตาขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที ดวงตาข้างซ้ายของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา

“ดูเหมือนว่าการคาดเดาของฉันจะถูกต้อง” เฉินเกอยังยืนอยู่บนยกพื้น ระหว่างเขากับชิวเหมยนั้นห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว

“ไม่ว่าคุณจะถูกหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว” เป็นนานกว่าฉางกูจะหยุดไอ “ผมร่วมมือกับคุณได้ แต่คุณคิดว่าผมจะเชื่อสิ่งที่คุณพูดได้ยังไง?”

เฉินเกอนั้นกลัวว่าฉางกูจะไม่ยอมพูดคุยมากกว่า ตราบใดที่มีโอกาส เขาก็ยังคิดจะเป็นเพื่อนกับคนผู้นี้ เขาดึงโทรศัพท์ออกมา เฉินเกออ่านข่าวท้องถิ่นของจิ่วเจียงออกมาดัง ๆ “ผมไม่จำเป็นต้องโกหกคุณ นี่เป็นข่าวที่ยืนยันคำอ้างของผมได้ ถ้าคุณยังไม่เชื่อผม คุณค้นในออนไลน์เองเกี่ยวกับบ้านผีสิงของผมก็ได้”

เฉินเกอแสดงความจริงใจ แต่ว่าฉางกูก็ไม่เชื่อเขาโดยง่าย คนผู้นี้ที่อาศัยข่าวอาชญากรรมยืนยันตัวตนของตนเองย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ๆ ร่วมมือกับคนผู้นี้ก็เหมือนผูกมิตรกับเสือ– อาจจะถูกกินในครู่ถัดมาก็ได้

“ถ้าคุณยินดีร่วมมือ คุณสามารถกลับไปบ้านผีสิงกับผมได้เลยวันนี้ ทุกประโยคที่ผมพูดเป็นความจริง” เวลานับถอยหลังของโรงเรียนแห่งปรโลกกำลังจะหมดลงแล้วและเฉินเกอก็กลัวจะพลาดมันไป “นี่เป็นประโยชน์กับพวกเราทั้งสองคน ผมจะให้เวลาคุณทั้งเช้าเพื่อคิดดู ผมจะกลับมาอีกทีคืนพรุ่งนี้

“สภาพของเหวินอวี้นั้นน่าจะไม่ดีนัก ผมเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมเหมือนกัน อันที่จริง พวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ว่า ผมไม่เคยบังคับให้คนอื่นต้องทำสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ ถ้าคุณตกลง อย่างนั้นผมก็จะกลับมาอีกทีคืนพรุ่งนี้แล้วแบ่งปันทุกอย่างที่ผมรู้กับคุณ”

ยืนอยู่บนยกพื้น ในดวงตาของเฉินเกอมีความอ้างว้างที่บรรยายออกมาไม่ได้ “พวกเราเป็นคนแบบเดียวกันไม่มีใครช่วยพวกเราได้แล้วบนโลกนี้นอกจากตัวพวกเราเอง”

เห็นความโดดเดี่ยวในดวงตาของเฉินเกอ ฉางกูก็กุมดวงตาที่มีเลือดไหลเอาไว้ มองไปยังห้องที่เต็มไปด้วยผี เขารู้สึกเหมือนเป็นพวกเดียวกับเฉินเกอขึ้นมา “ให้ผมคิดดูก่อน…”

“ไม่มีปัญหา นี่เป็นความปรารถนาอย่างจริงใจของผมที่จะช่วยคุณเพราะว่าผมรู้ว่าการช่วยคุณก็คือการช่วยตัวผมเอง” เฉินเกอนั้นเป็นพวกที่คิดถึงภาพรวม และนั่นก็สะท้อนออกมาในวิธีการคิดของเขา “เหวินอวี้และโรงเรียนนั่นเป็นสิ่งที่คุณเป็นกังวลถึงที่สุด ผมรู้ว่าผมมาเยือนที่นี่อย่างกะทันหันไปสักหน่อย และผมก็เข้าใจความสงสัยและระแวงของคุณที่มีต่อผม เพื่อลดช่องว่างระหว่างพวกเรา ผมยินดีให้วิญญาณสีเลือดตนนี้ตามผมกลับบ้าน ผีนั้นอ่านใจคนเก่งที่สุด คุณสามารถให้เธอคอยจับตามองผมอย่างใกล้ชิดและดูว่าผมโกหกคุณหรือเปล่า”

“คุณยินดีให้ผีตามคุณกลับบ้าน?” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉางกูเจอกับคำร้องขอเช่นนี้

“ถ้าคุณเป็นห่วงความปลอดภัยของชิวเหมย ผมสามารถขอให้เพื่อนผมคนหนึ่งอยู่ที่นี่เป็นตัวประกันก็ได้” เฉินเกอคิดว่าเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นการกระทำที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว

“ให้เพื่อนของคุณอยู่ที่นี่เป็นตัวประกัน?” ฉางกูตัวสั่น ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ยากที่จะบอกแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวประกัน “ไม่จำเป็น ผมเชื่อคุณ”

ฉางกูอยากจะพูดบางอย่างแต่ว่าเฉินเกอหันไปหาชิวเหมยแล้ว

“ครั้งแรกที่คุณเชื่อใจคนอื่น คุณสูญเสียอิสระของตัวเอง ครั้งที่สองที่คุณเชื่อคนอื่น คุณสูญเสียชีวิต วันนี้ คุณได้รับตัวเลือกครั้งที่สาม” เฉินเกอนั้นเป็นแค่คนธรรมดา ยืนอยู่ต่อหน้าชิวเหมย เขากลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว เสียงของเขานั้นทรงพลังและอบอุ่น

“มาสิ ผมจะช่วยให้คุณเห็นอีกด้านหนึ่งของโลก” เฉินเกอเปิดหนังสือการ์ตูน ตอนที่เด็กสาวยังลังเลอยู่ ก่อนที่เธอจะทันเข้าใจสถานการณ์ เธอก็ถูกดึงเข้าไปในหนังสือแล้ว ชิวเหมยไม่ได้ต่อต้าน ตอนที่เฉินเกอปิดหนังสือการ์ตูน โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่น

เฉินเกอดึงมันออกมาดูข้อความใหม่

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณที่ค้นพบวิญญาณสีเลือดหายาก– ชิวเหมย!

“ชิวเหมย (วิญญาณสีเลือด): เธอเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือดเพราะเหตุผลพิเศษและไม่ได้มีความอาฆาตแค้นมากนัก เธอครอบครองพลังของวิญญาณสีเลือดเฉพาะเมื่ออยู่ในภาพยนตร์ หลังจากออกจากภาพยนตร์ พลังของเธอจะลดลงเป็นอย่างมากและเธอก็ไม่สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองได้

“พลังพิเศษของชิวเหมย: ??? (จะปลดล็อกหลังจากเป็นพนักงานของบ้านผีสิงอย่างเป็นทางการ)”

หลังจากอ่านข้อความแล้วเฉินเกอก็ประหลาดใจ ชิวเหมยเป็นวิญญาณสีเลือดที่พิเศษมากจริง ๆ

*ไม่ใช่ว่าพนักงานพิเศษเช่นนี้คือสิ่งที่ฉันกำลังมองหาหรอกเหรอ?*เฉินเกอเก็บโทรศัพท์แล้วโบกมือให้ฉางกูด้วยท่าทางดีใจมาก

ฉางกูที่นั่งอยู่กลางโรงละครกุมดวงตาข้างซ้ายที่มีเลือดไหลเอาไว้ ในตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป