ดังนั้น การหย่าเป็นเรื่องที่สามารถเสนอได้ตลอดเวลา
เธอไม่กลัวหย่า ก็แค่กลัวจะต้องจากหมีพูลไปเท่านั้นเอง
ถ้าอาคิระไม่พูดขอหย่า เธอก็จะไม่ขอ
แต่ถ้าขอหย่าขึ้นมา เธอเองก็จะยอมปล่อยหมีพูลไป
จนวันนี้ ในที่สุดเขาก็พูด เธอก็ต้องเผชิญหน้า
ในที่สุด ก็เดินมาถึงจุดสิ้นสุด
พนาวันใจอ่อนมาเสมอ เธอชอบหมา แต่ไม่เคยเลี้ยงหมาเลย
เพราะว่าเธอรู้ ไม่ใช่แค่คน แต่หมาก็ยังมีเกิดแก่เจ็บตาย
เธอกลัว เธอว่าความรู้สึกของตัวเองจะถลำลึกมากไป
พอหมาไม่สามารถอยู่กับเธอได้แล้ว ตอนตายไป เธอจะเสียใจอยู่เป็นเวลานาน
สำหรับหมายังขนาดนี้ นับประสาอะไรกับคนล่ะ?
ตั้งแต่แรกที่แต่งงาน เธอก็รักหมีพูลสุดขีด ท่ามกลางความที่มองไม่เห็น กลับผสมไปด้วยความจากกันบางๆ
เพราะว่าเธอรู้ เธอกับหมีพูล ก็ต้องมีวันที่ต้องแยกจากกัน
แต่ว่า หมีพูลไม่ได้ดีไปกว่าเด็กคนอื่นๆหรอก
เขาไม่มีความรักจากปู่ย่า และไม่ได้ความรักจากพ่อ เขามีแค่เธอ
เพื่อเขาแล้ว เธอเอาความรักทั้งหมดของตัวเองไปทุ่มสุดตัว เพื่อชดใช้สิ่งเหล่านั้นที่เขาขาด
แต่ก็ยังต้องแยกจากกัน นั่นคือความขัดแย้งแบบไหนกันนะ?
ท้องฟ้ามืดขึ้นเรื่อยๆ หน้าของพนาวันก็หม่นลงตาม
หันหน้าไปทางกระจกหน้าต่าง เธออ้าปากพูดกับตัวเองอย่างไม่มีเสียงไปว่า:“พนาวัน เอาล่ะ นานมากแล้ว เธอก็เหนื่อยแล้ว ……”
เธอรักเขา เอาความสดใสสวยงามของหญิงสาวให้เขา
สุดท้ายเธอไม่ได้อะไรคืนมา มีแค่ความเจ็บไปทั้งตัว ……
บนโลกนี้ ไม่ใช่ว่าความรักทั้งหมดจะจบลงอย่างมีความสุขในตอนท้าย
ก็แค่ เธอเป็นหนึ่งในนั้นพอดี
คฤหาสน์อนันต์ธชัย
ความบ้าระห่ำในดวงตาค่อยๆหายไป อารมณ์ของอาคิระก็ค่อยๆคืนกลับเป็นปกติ
จากนั้นก็มีความปวดหัวเข้ามาที่ไม่อาจอธิบายได้ เหมือนจะฉีกออก
เขานั่งบนเก้าอี้ยาว มือสองข้างวางไว้บนหัว หายใจแรง
ลิลลี่ค่อยๆเดินเข้าไป เอามือตัวเองวางบนไหล่เขาแล้วบีบเบาๆ ถามเสียงนุ่ม:“กินน้ำหน่อยไหม?”
“ไสหัวไป!”
น้ำเสียงของอาคิระแข็งกร้าว เหมือนสิงโตที่คำรามด้วยความโมโห
ลิลลี่ไม่พูดอีก ตัวเกร็งขึ้นมา แล้วออกไป
ความโกรธอันเดือดดาลและการควบคุมกำลังบางอย่างหายไป สายตาของอาคิระก็มองไปยังกระจกที่แตกบนพื้น
นี่คือของเพียงอย่างเดียวที่ดาหวันให้เขา และก็เป็นของที่ล้ำค่า หวงแหนที่สุดของเขา
เธอทำกระจกแตก พูดจาร้ายกาจใส่ดาหวัน ทำให้เขาแค้นเธออย่างลึกซึ้ง ……
แต่ตอนที่อารมณ์อันบ้าคลั่งในใจเขาปรากฏขึ้นมา ก็ไม่มีอะไรหยุดได้
ยังไงเรื่องราวก็มาถึงจุดนี้แล้ว งั้นก็เป็นแบบนี้ต่อไปเถอะ เอาตามที่พูดก่อนหน้านี้ หย่าละกัน
เขาไม่รักเธอ กลับยิ่งเกลียดเธอด้วยซ้ำไป
ตอนนี้หลุดออกมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลับไปยังที่เดิมอีก
จนเมื่อความเจ็บปวดที่พัวพันบนหัวค่อยๆหายไป เขาก็ลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องนั้น
ลิลลี่ยังนั่งอยู่ในห้องรับแขก
อาคิระไม่มองเธอ ก็ให้คนขับรถไปส่งเธอเลย
เขาเดินไปที่ห้องชั้นล่าง และลืมวันเกิดของดาหวันไปโดยสิ้นเชิง
ที่ลืมไปด้วยก็ยังมีดอกไม้สดและเค้กวันเกิดในห้อง
เขาไม่ง่วง นึกถึงแผ่นหลังของพนาวันตอนที่ออกไป ก็ขมวดคิ้วแน่น
จากนั้น อารมณ์หงุดหงิดก็ถาโถมเข้ามา ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงไปที่ห้องน้ำ
เช้าวันที่สอง
หมีพูลไปโรงเรียนแล้ว
พนาวันจัดของของตัวเอง เสื้อผ้าและของเล่นเล็กน้อย ด้านข้างมีกระเป๋าเดินทาง
ทนายถมัตมาแล้ว เธอนั่งลงไป
“คุณหญิงพนาวันคุณดูข้อตกลงการหย่าร้างก่อน จากนั้นค่อยเซ็นชื่อครับ”
ทนายถมัตให้เธอดู
พนาวันเหลือบมองไปที่ข้อตกลง บนนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจน
หลังจากหย่า ทรัพย์สินที่ให้เธอมีคอนโดหลังนี้ และคฤหาสน์อีกหลัง
นอกจากนี้ยังมีเช็กสิบล้านอีกใบ
“คุณหญิงพนาวัน มีความเห็นอะไรไหมครับ?”
พนาวันพยักหน้า:“มีค่ะ”
พอได้ยิน ท่าทางของทนายถมัตก็ดูเหมือนดูถูกเล็กน้อย
จริงๆด้วย ผู้หญิงล้วนแต่โลภกันทั้งนั้น
“ถ้ามีความเห็น ต้องปรึกษากับคุณอาคิระผมมีหน้าที่แค่มาบอกสิ่งที่คุณอาคิระกำชับมา”
พนาวันพูดต่อไปว่า:“ไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะ แค่ความเห็นเล็กๆ ทนายถมัตน่าจะสามารถตัดสินได้”
ได้ยินคำนี้ ทนายถมัตก็แปลกใจเล็กน้อย:“ความเห็นอะไรครับ?”
“ข้อตกลงการหย่าร้าง ฉันจะเซ็นค่ะ แต่คอนโดกับคฤหาสน์เหล่านี้ และเช็กสิบล้าน ทั้งหมดเก็บไว้ให้หมีพูล”
เธอน่าจะอยู่ได้อีกไม่นานหรอก
ของเหล่านี้ ต้องเก็บไว้ให้หมีพูล
ทนายถมัตพูด:“คุณหญิงพนาวัน คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้เป็นการส่วนตัวได้ครับ”
พนาวันส่ายหน้า พูดต่อว่า:“คุณเพิ่มข้างในไปอีกข้อก็ได้”
บางที ต่อไปอาคิระอาจจะยังแต่งงานอีก และมีลูกอีก
เขากับหมีพูลก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่อยู่แล้ว ถ้าเขามีลูกมาอีก เธอกลัวว่าหมีพูลจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่
ยังไง เขาก็พูดไม่เก่ง ไม่พูดจาหวานๆ และไม่พูดเอาใจให้คนมาชอบแน่
อย่างน้อย ของเหล่านี้ก็สามารถเป็นเครื่องรับประกันหมีพูลได้
และก็ ตอนนั้นที่แต่งกับเธอก็เป็นเพราะหมีพูลทั้งนั้น
ตอนนี้จะหย่าแล้ว รับของพวกนี้ไป ก็เท่ากับเธอขายลูกของตัวเองสิ เธอไม่เอาหรอก
ทนายถมัตพูด:“ได้ครับ”
พนาวันพยักหน้า ไม่มีความเห็นอื่นอีก
เธอหยิบปากกาขึ้นมา เซ็นชื่อของตัวเองช้าๆอย่างเคร่งขรึม
ทำหน้าที่เสร็จ ทนายถมัตก็ออกไป
เขากลับไปที่คฤหาสน์อนันต์ธชัย
อาคิระพิงไปบนโซฟา หลับตาลง
ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยมองเล็กน้อย
“คุณอาคิระ”ทนายถมัตพูด
อาคิระเหลือบมองเขา:“จัดการเสร็จแล้ว?”
“ครับ”
อาคิระขมวดคิ้วเล็กน้อย:“แน่ใจว่าเสร็จแล้ว?เธอไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรใช่ไหม?”
“ใช่ครับ นอกจากเสนอความเห็นให้ผมเปลี่ยนเล็กน้อย ก็เซ็นชื่ออย่างเรียบร้อยเลย”
เขาแปลกใจเล็กน้อย:“ความเห็นอะไร?”
“เปลี่ยนเป็นมอบทรัพย์สินหย่าร้างให้หมีพูล”
ระหว่างที่พูด ทนายถมัตก็เอาข้อตกลงใบหย่ายื่นไปให้
อาคิระรับมา แล้วเหลือบมอง
“อย่างอื่น เธอไม่พูดเหรอ?”
ทนายถมัตส่ายหน้า:“ไม่ครับ”
อาคิระหรี่ตาลง สีหน้าหม่นไป
นี่ไม่เหมือนสไตล์ของพนาวันเลย
ก่อนหน้านี้ จะแต่งกับเขาให้ได้อย่างไม่ยอมแพ้ ตอนนี้มาหย่า มีความสุขมากเลยเหรอไง?
เห็นเขาจมอยู่ในความคิด ทนายถมัตก็ลูบจมูก:“คุณอาคิระ คุณว่าจะไปทำเรื่องหย่าที่อำเภอกี่โมงดี?”
อาคิระละความคิดคืนกลับมา:“ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“พรุ่งนี้แปดโมงเช้า”
“ได้”
ส่วนอีกด้าน
ตอนหนึ่งทุ่ม พนาวันได้รับโทรศัพท์จากทนายถมัต
บอกว่าพรุ่งนี้แปดโมงเช้า เจอกันที่อำเภอ ทำเรื่องหย่า
พนาวันละสายตาลงไป:“โอเค ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
อาคิระรอไม่ไหวจริงๆ แม้แต่เวลาพักหายใจก็ไม่ให้
ได้ยินคำว่าหย่า ก็มีความสุขขนาดนี้เชียวเหรอ?
เธอนั่งกอดเข่าบนโซฟาด้วยมือสองข้าง หัวเราะเยาะตัวเอง
เวลาแปดปีนั้น
ถึงเป็นก้อนหิน ก็น่าจะถูกเธอโอบล้อมจนอบอุ่นได้แล้ว
แต่อาคิระ ก็เหมือนกับน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย
ไม่ว่าจะโอบล้อมอย่างไร ก็เยือกเย็นจนน่ากลัว
นอกจากนี้แล้ว คนตายก็สู้กับคนที่อยู่ไม่ได้
แต่ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนว่าคนที่อยู่จะสู้คนที่ตายไม่ได้เลย
หรือบางที อาจจะสู้ได้
แต่ จะต้องไม่ใช่เธอ!