อำนาจของสามจ้าวมนตราได้ครอบงำจิตใจของผู้คนทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ มีทั้งสามอยู่ด้วยพวกเขายังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก? พวกแมลงที่โหดหินพวกนั้นพลันถูกฆ่าอย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ พวกเขาแข็งแกร่งถึงขั้นใดกันแน่?
แทบจะกล่าวได้ว่าตราบใดที่ยังมีจ้าวมนตราทั้งสามอยู่ กองทัพฝ่ายมนุษย์ก็จะมีกำลังขวัญท่วมท้น
หลังถูกดาบของอ้าวปาไปคุรินแน็กก็ดำดินหลบหนีไม่กล้าโผล่ขึ้นมาอีก ยิ่งได้เห็นการแสดงพลังของสามจ้าวมนตราก็ยิ่งทำให้มันไม่มีความกล้าจะออกมา มันคิดไม่ถึงเลยว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีตัวตนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อยู่ สหายของมันล้วนจบชีวิตในหนึ่งการโจมตี
เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายกาจเช่นนี้มันก็เลือกที่จะหลบหนีเพื่อรักษาชีวิตรอดทันที ก่อนหน้ามันคือผู้ล่า ทว่าตอนนี้ผู้ล่าที่เกรียงไกรเช่นมันกลับต้องหลบซ่อนอย่างหวาดกลัว
หลังจากพวกบอสถูกสังหาร เซียวอวี๋ก็ให้สามจ้าวมนตราแยกตัวไปช่วยพวกทหารคนละทิศ โดยเน้นเปิดทางให้กับทัพพยัคฆ์เพื่อเร่งเผด็จศึกโดยเร็ว
ครั้งนี้โถวปาหงได้ให้ทหารที่ทัพหลังนำเครื่องบาริสต้าเวทมตร์มายังแนวหน้าเพื่อจัดการกับพวกอานูบีส พวกอานูบีสมีพลังป้องกันสูง ลูกศรทั่วไปย่อมไม่ระคายผิวของพวกมัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ก็พลิกกลับมาเข้าทางฝ่ายมนุษย์ พวกอานูบัสค่อยๆล้มตายทีละตัวและกองทัพเซิกทั่วไปย่อมไม่อาจต่อกรทัพมนุษย์ได้อีก
หลังผ่านไปราวสองชั่วโมง กองทัพเซิกก็ค่อยๆถอยทัพ แม้พวกมันจะพยายามตอบโต้กลับอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อมีสามจ้าวมนตราดำรงอยู่ พวกมันย่อมไม่อาจก่อการใด
พวกอานูบีสล้มตาย กองทัพเซิกก็แตกพ่าย กองทัพฝ่ายมนุษย์ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ทัพพยัคฆ์จัดขบวนบดขยี้อยู่ด้านหน้าไพร่พลทัพอื่นติดตามอยู่ด้านหลัง
ครั้งนี้พวกเซิกล้มตายนับไม่ถ้วน กวาดมองไปยังที่ใดก็พบซากแมลงทอดร่างเป็นซากศพอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
กองทัพฝ่ายมนุษย์ไล่ล่าพวกเซิกไปหลายร้อยไมล์จนกระทั่งมืดค่ำ สุดท้ายก็ไล่ล่ามาถึงหน้าเมืองโบราณแห่งหนึ่ง
กำแพงของเมืองโบราณมีความสูงนับร้อยเมตร รอบๆเมืองมีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่มากมาย ตัวกำแพงชำรุดทรุดโทรมหลงเหลือเพียงซาก กระนั้นก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความตระการตาในครั้งอดีต
อัลคีราฟ!
อดีตอาณาจักรอันเกรียงไกรอัลคีราฟ ทว่าตอนนี้กลับหลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง ความรุ่งโรจน์ในอดีตถูกกาลเวลากัดกร่อนจนแทบจำภาพเดิมไม่ได้ ลึกเข้าไปในซากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็คือวิหารอัลคีราฟ พวกเซิกที่ออกอาละวาดไปทั่วจักรวรรดิเมฆาสมควรออกมาจากที่นี่เอง
หลังจากผ่านการศึกอันยาวนาน ในที่สุดกองทัพฝ่ายมนุษย์ก็สามารถขับไล่พวกเซิกกลับมาจนถึงอัลคีราฟ ตอนนี้พวกเขาสามารถทำศึกสุดท้ายกับพวกมันได้ที่นี่
ภายในวิหารอัลคีราฟมีความเป็นมานับหมื่นปี ไม่ทราบว่ามีสมบัติมากมายเพียงใดที่ผู้คนได้แต่ฝันถึงถูกเก็บไว้ด้านในนั้น
โถวปาหงออกคำสั่งให้สร้างแนวป้องกันขึ้นทันที เขาต้องการจะปิดล้อมพวกเซิกเอาไว้ที่นี่
ทาสก๊อบลินจำนวนมากเร่งเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเริ่มลงมือก่อสร้างป้อมค่ายอย่างแข็งขัน
พวกเซิกพยายามจะทำลายแนวป้องกันอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อมีสามจ้าวมนตรานั่งบัญชาการพวกมันจึงต้องพบแต่ความล้มเหลว ทั้งยังสูญเสียกำลังอีกเป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่าวันนี้สามจ้าวมนตราถือเป็นกำลังหลักอย่างแท้จริง สมแล้วที่พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งอันดับต้นๆของทวีป ครั้งนับว่าทุกคนได้ทราบความร้ายกาจแล้ว ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์แห่งทวีป ในช่วงเวลาวิกฤตผู้คนสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของพวกเขาพลิกสถานการณ์เป็นตาย
หลังจากเร่งงานตลอดสามวันเต็ม กองทัพพันธมิตรของมนุษย์ก็สามารถก่อกำแพงขึ้นปิดตายอัลคีราฟได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน พวกเซิกก็กระจัดกระจายกันไป บ้างหลบหนี บ้างถูกกองทัพย่อยฝ่ายมนุษย์กำจัดฆ่า
มาถึงจุดนี้ ฝ่ายมนุษย์ไม่ได้พลีผลามบุกเข้าไปในอัลคีราฟ พวกเขาเลือกที่จะหารือแผนการอีกครั้ง ทหารของจักรวรรดิเมฆาค่อยๆลำเลียงเสบียงมาตั้งค่ายขึ้นที่นี่ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้พวกเซิกเล้ดรอดออกไปก่อกรรมทำเข็ญได้อีก มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะต้องมีชาวบ้านอีกกี่ชีวิตที่จบสิ้นลง
หลังพวกเซียวอวี๋ขับไล่พวกเซิกมาจนถึงที่นี่ ขุมกำลังที่เฝ้าดูสถานการณ์มานานก็เริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาขนกองกำลังตามมาโดยอ้างว่ายกกำลังมาช่วยเหลือ แท้ที่จริงกลับหวังจับปลาตอนน้ำขุ่น สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องขุมทรัพย์ภายในอัลคีราฟด้วยความโลภ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ โถวปาหงได้ดำเนินการตามแผนที่เซียวอวี๋เตรียมไว้ ผู้ที่ต้องการพักหรือเข้าไปค้นหาสมบัติภายในอัลคีราฟจะต้องจ่ายค่าผ่านทาง มิเช่นนั้นพวกเขาจะถูกขับไล่ออกห่างจากแนวป้องกัน หากว่าขัดขืนก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับจักรวรรดิเมฆา
ผู้คนมากมายต่างประท้วงว่าไม่ยุติธรรม แต่เมื่อได้เห็นเซียวอวี๋ขี่มังกรบินลงมาจากบนฟ้าพวกเขาก็พลันปิดปากเงียบทันที
ที่แท้ความคิดรีดไถผู้อื่นก็มาจากเจ้าวายร้ายนี่เอง!
พวกเขาที่สิ้นไร้หนทางได้แต่กัดฟันและก่นด่าบรรพบุรุษของอีกฝ่ายอยู่ในใจ พวกเขาทราบดีว่าเวลานี้การเป็นศัตรูกับกองทัพพันธมิตรของอีกฝ่ายเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้
โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นทัพพยัคฆ์สำแดงอานุภาพ คิดจะต้านกองทัพดุร้ายเช่นนี้มีแต่เจ็บหนัก จริงอยู่ที่ขุมกำลังทรงอำนาจอย่างเช่น ตระกูลเคเนดี้ ตระกูลช็อค ตระกูลเอิรน์และตระกูลอื่นๆก็อยู่ที่นี่ กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ขนกองทัพมาด้วย แน่นอนว่ากองกำลังเพียงหยิบมือของพวกเขาย่อมไม่อาจรับมือกับจักรวรรดิเมฆาทั้งจักรวรรดิในแผ่นดินของอีกฝ่าย
ทุกคนได้แต่กำหมัดและจ่ายค่าผ่านทางจำนวนมหาศาลอย่างไม่เต็มใจ
ได้เห็นเงินทองมหาศาลที่ไหลเข้ากระเป๋า เซียวอวี๋ก็ยิ้มแย้มไม่หุบ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเอ่ยปากทวงหนี้ที่โถวปาหงขอยืมไปจัดเลี้ยงให้ทัพพยัคฆ์คืนทันที
โถวปาหงยื้มเจื่อน นิสัยของเซียวอวี๋เรียกว่าแก้ไม่หายจริงๆ เขาได้แต่นำเงินส่วนแบ่งจากค่าผ่านทางจ่ายให้กับเซียวอวี๋
ในการศึกครั้งนี้ ทัพพยัคฆ์นับว่าสร้างชื่อเสียงอันเกรียงไกรขึ้นอีกครั้ง ด้วยความดีความชอบที่พวกเขาสร้างขึ้น โถวปาหงจึงได้มอบรางวัลพิเศษให้กับพวกเขา อ๋องหู่เองก็ได้รับชื่อเสียงและการสรรเสริญจากประชาชนดังที่หวัง นับว่ากู้คืนชื่อเทพสงครามไร้พ่ายกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ในวันนั้นสามจ้าวมนตราเองก็นับว่าลงมือลงแรงไปมาก หลายวันนี้จึงเก็บตัวฟื้นฟูพลัง ทั้งยังเป็นการเตรียมตัวสำหรับการบุกเข้าทำศึกสุดท้ายภายในอัลคีราฟอีกด้วย
การศึกครั้งหน้าจะเป็นศึกที่จะขจัดหายนะจากอัลคีราฟตลอดกาล……