ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเซิกที่อยู่ในอัลคีราฟพยายามจะตีฝ่าวงล้อมอยู่หลายครั้ง กระนั้นก็ต้องล้มเหลวทุกครั้งไป ในตอนนี้ที่นี่ไม่ได้มีเพียงกองทัพของเซียวอวี๋และจักรวรรดิเมฆาเท่านั้น หากแต่ยังมีกลุ่มกองกำลังและเหล่านักผจญภัยจำนวนมาก

ขุมกำลังทรงอำนาจทั้งหลายล้วนมาแล้ว ทั้งหมดต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือครอบครองสมบัติภายในอัลคีราฟ

เหล่าคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เซียวอวี๋เคยพบที่วิหารดำก็มาแล้วเช่นกัน อย่างเช่นลีโอนาโดแห่งตระกูลช็อค ร็อบแห่งตระกูลเคเนดี้ กลุ่มสตาร์และอื่นๆ

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมกองกำลังเหล่านี้จึงใจกว้างช่วยกวาดล้างพวกเซิกที่ออกมานั้น ย่อมต้องเป็นเพราะซากแมลงเหล่านี้ล้วนสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการสร้างสิ่งต่างๆ

ตลอดเวลาหลายวัน เซียวอวี๋ได้ออกเก็บซากแมลงไปทั่ว พบเจอศพใดก็เป็นกวาดเข้าแหวนมิติไปทั้งหมด

โดยเฉพาะกับซากร่างอันใหญ่โตของพวกอานูบีส ทุกส่วนของมันล้วนแต่เป็นวัตถุดิบหลอมสร้างชั้นยอด เซียวอวี๋ตั้งใจจะขนกลับไปให้ฮิกกิ้น

ด้วยเหตุนี้พวกเซิกจึงออกมาได้แต่กลับไม่ได้

เมื่อสถานการณ์เริ่มมั่นคง ทั้งหมดก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการบุกเข้าอัลคีราฟ

เซียวอวี๋ใช้เวลาหารือแผนการต่างๆกับโถวปาหง บางเวลาก็สังสรรค์หรือพูดคุยสถานการณ์ของทวีปใหญ่กับนิโคลัส

นิโคลัสเองก็มีบทบาทในการโต้กลับพวกเซิก แต่ด้วยเพราะจำนวนคนที่เขานำมาในตอนแรกนั้นมีน้อย ผลงานของเขาจึงถูกกองกำลังอื่นๆบดบังไป

แต่วันนี้คนจากตระกูลของเขาได้เดินทางมาสมทบแล้ว การบุกเข้าอัลคีราฟครั้งนี้นิโคลัสให้ความสำคัญอย่างมาก

“ตอนนี้กองทัพออร์คของกูดาลครอบครองดินแดนได้หลายแห่ง ทั้งจำนวนไพร่พลยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” เซียวอวี๋กวาดมองตำแหน่งบนแผนที่พลางเอ่ยกับนิโคลัส

ดินแดนจำนวนมากตกอยุ่ใต้การปกครองของกูดาลโดยมีบึงตะวันลับเป็นจุดศูนย์กลาง

หลังจากที่กูดาลฟื้นคืนชีพ ความแข็งแกร่งของมันก็มีแต่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่ากลัว มันนำกองทัพบุกโจมตีไปทุกหนแห่ง กองทัพของดินแดนที่ไม่เข้มแข็งย่อมไม่อาจต้านทานการบุกของกองทัพออร์คที่กระหายเลือดจำนวนมาก

อันที่จริง ไม่ใช่ว่ากองทัพของมนุษย์ไม่สามารถจัดการกับพวกออร์คได้ หากแต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกดินแดนต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทุกคนมัวแต่กังวลถึงผลประโยชน์ส่วนตน ไม่มีผู้ใดยินดีนำกองทัพเข้าสกัดยับยั้งการเติบโตของกูดาล ดังนั้นดินแดนและเมืองจำนวนมากจึงถูกกูดาลบุกยึดได้โดยง่าย

“ไม่นานมานี้ข้าได้ข่าวว่าเกิดการระดมกำลังจำนวนมากขึ้นที่ดินแดนแห่งหนึ่ง ทหารเหล่านั้นล้วนแต่สวมใส่ผ้าคลุมสีดำ พื้นที่ที่ที่พวกเขาครอบครองนับว่าใหญ่อย่างยิ่ง” นิโคลัสกล่าวพลางชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่

“หืม เจ้าหมายถึงขุมกำลังลึกลับนั้น?” เซียวอวี๋เลิกคิ้วพลางยกไวน์ขึ้นจิบ กระนั้นกลับไม่มีท่าทีกังวลแต่อย่างใด

นั่นเป็นเพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวดีข่าวหนึ่ง ฮีโร่ในสังกัดของเขาหลายคนได้เลื่อนไปถึงขั้นที่หกแล้ว!

ฮีโร่เหล่านั้นประกอบด้วยกรอม คาร์น อิลิดัน แอนโทนีดาส คาเอลธาส

ส่วนทอร์ล อูเธอร์ นากา แพนด้าเฉิน มัลฟูเรี่ยน ทิรันด้าและเมอีฟที่ยกกำลังไปโจมตีโถวปากุ้ยกับฉินเช่อยังคงไม่เลื่อนระดับ

กรอม คาร์นและอิลิดันนับเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ระยะประชิด การศึกที่ผ่านมาหลายครั้งพวกเขาเป็นหน่วยบุกทะลวงฟันที่ยอดเยี่ยม ย่อมไม่แปลกที่พวกเขาจะเลื่อนระดับ ส่วนคาเอลและแอนโทนีดาสรับหน้าที่กวาดล้างกลุ่มศัตรูที่รวมตัวอยู่หนาแน่น เวทเพียงบทเดียวของพวกเขาสามารถเข่นฆ่าพวกเซิกได้จำนวนมาก การเลื่อนระดับจึงรวดเร็วกว่าฮีโร่คนอื่นๆ

ในตอนนี้ แพนด้าเฉินและมัลฟูเรี่ยนที่เพิ่งถูกอัญเชิญออกมาก็มีระดับสี่สิบซึ่งเทียบได้กับนักรบขั้นที่สี่แล้ว

หลังจากมีพลังถึงขั้นที่หกก็เรียกได้ว่าเป็นการเกิดใหม่ เป็นการบรรลุพลังขั้นใหม่อย่างแท้จริง เว้นแต่เผชิญหน้ากับศัตรูเข้มแข็งที่อยู่ในขั้นที่หกขึ้นไปแล้ว ศัตรูอื่นๆล้วนแต่ไม่อาจเป็นภัยคุกคามพวกเขาได้อีก

นั่นก็เพราะว่าเหล่าฮีโร่ล้วนแต่มีทักษะที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้ใด

เซียวอวี๋เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการบุกเข้าอัลคีราฟครั้งนี้ เมื่อมีฮีโร่ขั้นที่หกจำนวนมากอยู่ด้วย กองทัพของเขาจะสามรถบดขยี้ศัตรูได้ทุกรูปแบบ

นอกเหนือจากเหล่าฮีโร่แล้ว อลอนโซ่เองก็สามารถตัดผ่านไปยังขั้นที่หกได้ภายใต้การชี้แนะของอูเธอร์เช่นกัน แม้ว่าตัวอูเธอร์เองจะยังเลื่อนไปขั้นที่หกไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ตระหนี่ความรู้ไม่ยอมชี้แนะให้อลอนโซ่

ด้วยเพราะได้ติดตามอูเธอร์มาพักใหญ่ จิตใจของอลอนโซ่ยิ่งมาก็ยิ่งแน่วแน่ พลังศรัทธาในใจของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ช่วยให้เขาสามารถบรรลุขอบเขตขั้นที่หก พวกพาลาดินคนอื่นๆในภาคีหัตถ์เงินเองก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก

ในดินแดนของเซียวอวี๋ เขาได้รับสมัครผู้คนจำนวนมากเข้าภาคีหัตถ์เงิน จำนวนพาลาดินใต้สังกัดของเขาจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่เข้มแข้งอยู่แล้วก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นไปอีกขั้น นักรบพาลาดินล่าสุดตอนนี้มีจำนวนเกินกว่าสามหมื่นคนไปแล้ว

แม้สมาชิกที่แรกเริ่มเข้าร่วมจะยังอ่อนแอ แต่เมื่อได้อาบแสงของอูเธอร์บ่อยเข้า พวกเขาก็ยิ่งมาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ติดตามอลอนโซ่มาตั้งแต่แรก พาลาดินหลายร้อยคนนั้นระดับต่ำสุดก็อยู่ที่ขั้นห้าแล้ว

เห็นสมาชิกที่มีศรัทธาแรงกล้าในอูเธอร์ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง เซียวอวี๋ก็ยิ้มจนแก้มแทบฉีก พลังของศาสนาช่างยิ่งใหญ่จริงๆ

ตอนนี้มีคนที่ไม่ใช่ฮีโร่แต่ไปถึงขั้นที่หกแล้วจำนวนสามคนอยู่กับเขา นั่นก็คือ หลินมู่เสวี่ย อลอนโซ่ และคาสโซ่

มีผู้แข็งแกร่งอยู่รอบกายมากถึงเพียงนี้ มีหรือที่เซียวอวี๋จะไม่มีความสุข กองทัพของเขาเติบโตขึ้นทุกวันแบบนี้ย่อมีสว่ยช่วยให้ระดับผู้บัญชการของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน คาดว่าอีกไม่นานคงเลื่อนไปอีกขั้น เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถอัพเกรดฐานทัพให้เป็นระดับสาม

ฐานทัพที่เขาจะอัพเกรดเป็นระดับสามย่อมต้องเป็นฐานทัพเผ่ามนุษย์ นั่นเพราะเมื่อไปถึงระดับสาม ยูนิตรถถังและปืนใหญ่จำนวนมากก็จะถูกปลดล็อค และนั่นจะยิ่งเสริมให้กองทัพของเขาไร้เทียมทานขึ้นไปอีก

ในช่วงเวลาที่แผ่นดินวุ่นวายเช่นนี้ เซียวอวี่ย่อมไม่นิ่งเฉย เขาย่อมต้องใช้กองทัพในมือให้เป็นประโยชน์

หากฐานทัพเผ่ามนุษย์อยู่ในระดับสาม การรับมือกับพวกเซิกก็จะง่ายขึ้นมาก พวกเขาจะสามารถบุกขยี้กองทัพเซิกได้โดยตรง

“กองกำลังลึกลับนี้นับว่าลึกลับสมชื่อ แต่ข้ามักคิดอยู่ตลอดว่าบนทวีปแห่งนี้ย่อมต้องมีขุมกำลังที่เก็บเนื้อเก็บตัว หากพวกเราไม่รับรู้ถึงตัวตนของพวกเขา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกพวกเขากลืนกินโดยไม่รู้ตัว” นิโคลัสขมวดคิ้ว เขาไม่เพียงแต่กังวลกับกองกำลังลึกลับนี้ หากแต่ยังระแวดระวังกองกำลังของเซียวอวี๋ด้วย การที่ขุมกำลังเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่เขาอย่างมาก

“นอกจากกองทัพของกูดาลและขุมกำลังลึกลับนี้แล้ว ที่รับมือได้ยากที่สุดก็คงเป็นพวกศาสนจักร พื้นที่สีแดงบนแผนที่ก็คือดินแดนใต้ปกครองของศาสนจักร” เซียวอวี๋กล่าว

“ใช่ พื้นที่สีแดงก็คือดินแดนของศาสนจักร เวลานี้กองกำลังกลุ่มเล็กๆล้วนถูกศาสนจักรควบคุมเอาไว้ กระนั้นพวกมันก็ยังไม่ลงมือกับขุมกำลังขนาดใหญ่ เซียวอวี๋ เจ้าต้องระวังไว้ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะมุ่งเป้ามาที่เจ้า” นิโคลัสกล่าวหยอกเย้า

เซียวอวี๋แค่นเสียงเหยียด “หากมีความสามารถก็มาเลย คิดว่าข้ากลัวหรือ? ยิ่งกว่านั้นระหว่างพื้นที่ของศาสนจักรกับข้าก็มีดินแดนน้อยใหญ่มากมายคั่นกลางอยู่ พวกศาสนจักรกล้าบุกดินแดนเหล่านั้นหรือ?”

นิโคลัสกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “นี่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ความทะเยอทะยานของศาสนจักรสูงเทียมฟ้า เมื่อสถานการณ์ฝั่งพวกเขามั่นคงเมื่อใด เป้าหมายต่อไปย่อมเป็นการกำจัดศัตรูที่เป็นหนามแทงตาที่สุดอย่างเจ้า ขอเพียงกำจัดเจ้าได้ อำนาจของพวกเขาจะทะยานขึ้นฟ้า”

ได้ยินเช่นนั้นเซียวอวี๋ก็เงยหน้าหัวเราะ “บังคับผู้อื่นให้ศรัทธา ผู้ใดไม่ยินยอมก็เข่นฆ่า เจ้าคิดว่าศาสนจักรมีคนชื่นชอบมากนักหรือ? สายน้ำสามารถประคองเรือได้ฉันใด สายน้ำนั้นก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน เมื่อใดที่อำนาจของศาสนจักรพังทลายลง เหล่าผู้ที่มีความเกลียดชังต่อศาสนจักรย่อมรุดมาบดขยี้พวกเขาจนสิ้นซาก ข้าไม่ใส่ใจพวกเขาหรอก ที่ต้องทำก็เพียงต้านทานพวกเขาระยะหนึ่ง รอจนพวกเขาพังทลายด้วยตนเอง”

นิโคลัสเผยรอยยิ้ม “เจ้าช่างมั่นใจเสียจริง”

เซียวอวี๋เชิดหน้าตอบ “แน่นอน”

“คนของเจ้าหลายคนเลื่อนถึงขอบเขตขั้นหกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง หากมอบเวลาให้อีกระยะหนึ่ง เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะไปถึงขั้นที่เจ็ด?” นิโคลัสหรี่ตาลงเล็กน้อย ความเร็วในการพัฒนาของกองทัพเซียวอวี๋นับว่าน่าตกตะลึงเสียจริง

ต้องทราบว่าการบรรลุขอบเขตขั้นที่หกนั้นต้องใช้เวลานานหลายปี การใช้เวลาอันสั้นแล้วสามารถบรรลุขอบเขตนี้ได้ย่อมมีเพียงคำอธิบายเดียว พวกเขาเป็นตัวตนในตำนานที่ฟื้นคืนชีพ! และแน่นอนว่าย่อมมีความเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะสามารถไปถึงขอบเขตขั้นที่เจ็ดในตำนาน

กลุ่มคนเหล่านี้นับว่าน่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง

“ฮ่าฮ่า ขั้นที่เจ็ดนั้นเป็นเพียงเรื่องของเวลา แต่ไม่ต้องกังวลไป หากว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงเจ้าร้องให้สุดเสียง สหายผู้นี้จะส่งคนไปช่วยเจ้าเอง” เซียวอวี๋หัวเราะพลางตบบ่านิโคลัส

นิโคลัสกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

“อย่างไรก็เถอะ ในเมื่อตอนนี้ขุมกำลังลึกลับนั้นอยู่ที่ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าว่าดินแดนแถบนั้นจะต่อต้านได้หรือ? ด้วยความแข็งแกร่งและการวางแผนมาอย่างยาวนาน เมื่อพวกเขาเลือกลงมือ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดี” ในใจของเซียวอวี๋นั้นรู้สึกว่าขุมกำลังลึกลับนี้คือศัตรูที่เข้มแข็งที่สุดมาโดยตลอด

“นี่เป็นไปได้อย่างยิ่ง” นิโคลัสกวาดมองแผนที่ “หากพื้นที่แถบนั้นถูกยึดครอง ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก ถึงตอนนั้นพวกเราจะต้องติดต่อขุมกำลังต่างๆเพื่อรับมือกับพวกเขา กระทั่งความแข็งแกร่งของพวกเรารวมกัน ข้าเกรงว่าก็ยังไม่ใช่คู่มือพวกเขา”

“มีวิธีที่ดียิ่งกว่านั้นอยู่นะนิโคลัส ก่อนอื่นเราสองร่วมมือกันกำจัดศาสนจักรลงก่อน จากนั้นก็บุกตีกูดาล สุดท้ายค่อยยกทัพไปบดขยี้ขุมกำลังลึกลับนั่นเป็นอย่างไร?” เซียวอวี๋บอกเล่าแผนการขณะยิ้มจนตาหยี

นิโคลัสหรี่ตามองเซียวอวี๋ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ส่ายศีรษะ “พวกเราสองคนไม่ใช่มิตรที่แท้จริง หากว่าพวกเราร่วมมือกันกำจัดพวกเขาจนหมดสิ้น สุดท้ายผู้ใดจะได้ครองทวีปนี้?”

เซียวอวี๋หัวเราะพลางตบบ่านิโคลัส “ไฉนเจ้าคิดเล็กคิดน้อยนัก รอจนกำจัดพวกเขาหมดสิ้น พวกเราค่อยมาตีกันก็ได้แล้ว”

นิโคลัสกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ถึงเวลานั้นกองทัพเจ้าย่อมเหนือกว่าข้าแล้ว”

เซียวอวี๋แหงนหน้าหัวเราะ “เช่นนั้นก็เข้าร่วมกับข้า ข้าจะให้เจ้าเป็นอ๋องของดินแดนพยัคฆ์ในจักรวรรดิเมฆา”

กล่าวจบเซียวอวี๋ก็หันไปหาโถวปาหู่

โถวปาหู่ได้แต่ยิ้มเจื่อน

นิโคลัสแค่นเสียง “ไฉนไม่เป็นเจ้าที่เข้าร่วมกับข้า ถึงตอนนั้นข้าจะยกประเทศให้เจ้าปกครองสักประเทศ”

เซียวอวี๋แสร้งถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “เฮ้อ ไฉนเจ้าดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เจ้าชนะข้าไม่ได้หรอก”

นิโคลัสกัดฟัน “นั่นก็ไม่แน่”

เซียวอวี๋เงยหน้าหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าได้กล่าวไปแล้ว เอาเถอะ เวลานี้พวกเราจะต้องร่วมมือกัน หากไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็รับมือกับขุมกำลังลึกลับนั้นไม่ได้”

นิโคลัสเหม่อมองท้องฟ้าก่อนจะกล่าวว่า “ชะตาฟ้ายากฝ่าฝืนเสียจริง”