ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
แม้กำแพงเปลือกแมลงจะพังทลาย กระนั้นที่ด้านในก็ยังมีกำแพงสูงที่พวกเซิกก่อขึ้นอยู่อีกชั้น แต่ภายใต้การนำของเซียวอวี๋ ผู้คนทั้งหมดต่างก็พุ่งเข้าเข่นฆ่าพวกเซิกอย่างไม่กลัวเกรง
มังกรน้อยตอนนี้นับว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว มันทั้งพ่นไฟ ตะปบ และฟาดหาง ทุกการโจมตีของมันล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยอานุภาพรุนแรง
ตอนนี้มังกรน้อยอยู่ในขั้นที่ห้า ความแข็งแกร่งของมันตอนนี้แทบจะไม่ด้อยไปกว่าอ้าวปา นี่เป็นพลังอำนาจที่สามารถสะกดข่มผู้คนได้นับไม่ถ้วน
อันที่จริง มังกรน้อยนั้นได้รับสืบทอดพลังมังกรมาเต็มเปี่ยม จนสามารถทำให้มันกลายเป็นขั้นที่หกได้เลย หากแต่มังกรยักษ์ทั้งสามเกรงว่ามังกรน้อยจะไม่อาจแบกรับไหว ดังนั้นพวกมันจึงได้ผนึกพลังส่วนใหญ่เอาไว้ก่อนเพื่อให้มังกรน้อยพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของมังกรน้อยได้กระตุ้นขวัญกำลังใจของคนทั้งหมด ทำให้พวกเขาต่อสู้ด้วยความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยมจนพลังต่อสู้เพิ่มสูงกว่าปกติมากนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ามาด้านใน เนื่องเพราะอัลคีราฟมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆแยกตัวกันไป ทุกคนต่างก็คิดแสวงหาโชคของตนเอง ไม่แน่ว่ากลับบ้านครั้งนี้สามารถขนภูเขาสมบัติกลับไปครอบครอง
อย่างไรเสียพวกเขาก็เสียค่าผ่านทางให้พวกเซียวอวี๋แล้ว หากไม่ให้พวกเขาหากำไรเข้ากระเป๋า หรือจะให้พวกเขาขาดทุนเช่นนี้?
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังของเซียวอวี๋ โถวปาหงและนิโคลัสจึงยังรวมตัวเป็นทัพใหญ่ ขณะที่คนอื่นๆต่างก็แยกตัวออกไปแล้ว
จ้าวมนตราทั้งสามนั่งหลับตาพลางทำความเข้าใจกลิ่นอายที่ได้รับรู้จากสามมังกรยักษ์มาตลอด เซียวอวี๋เองก็ไม่เข้าไปรบกวนพวกเขา แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ให้ทั้งสามออกห่างกาย
เพราะปราศจากคนทั้งสาม หากว่าเจอกับคฑูนขึ้นมา พวกเขาไม่เละเป็นเลยโจ๊กหรือ?
คนอื่นจะแยกตัวก้แยกไปได้ อย่างไรเสียพวกนักผจญภัยก็มีมากมาย ด้วยพลังของพวกเขาแล้ว การรับมือกับพวกเซิกทั่วไปย่อมไม่มีปัญหาใด
เมื่อเข้ามาด้านใน ทัพพยัคฆ์ก็ไม่ได้มีเปรียบเหมือนตอนแรกอีก เซียวอวี๋จึงให้โถวปาหู่นำทัพพยัคฆ์เตรียมตัวไว้ ให้พวกเขารับหน้าที่สนับสนุน
นับตั้งแต่บุกมา ทัพพยัคฆ์ก็รับหน้าที่เป็นทัพหน้ามาโดยตลอด พละกำลังของพวกเขาย่อมมีขีดจำกัด เวลานี้สมควรให้พวกเขาพักฟื้นฟู อย่างไรเสียการจะโค่นอัลคีราฟลงในวันเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เซียวอวี่วางแผนเอาไว้ว่าจะตั้งหลักพักกันก่อน จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนกำลังไปตามเส้นทางหลัก
อย่างไรเสีย อัลคีราฟก็แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่นี่มีบอสอยู่มากมาย พวกเขาจะต้องระมัดระวังกว่าเดิม
เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยนำทุกคนกวาดล้างพวกเซิก พบเห็นเซิกเมื่อใดก็พุ่งเข้าบดขยี้ แม้ว่าเขาจะเคยมาที่นี่ในอดีต กระนั้นสภาพที่นี่ตอนนี้ก็ยังแตกต่างจากอดีตมาก
เซียวอวี๋หวังที่จะเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นพรุ่งนี้ค่อยไปรวมตัวที่หน้าวิหาร
สำหรับสมบัติตามซากปรักหักพังที่นี่ มันไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะเอาเวลามาทิ้ง เขาไม่รู้ว่าบอสที่ร้ายกาจพวกนั้นฟื้นคืนชีพมาแล้วหรือยัง
หากว่าพวกมันอยู่ภายในวิหาร และเขาสามารถกำจัดพวกมันได้ พวกเซิกก็จะล่มสลายอย่างแท้จริง
วันนี้ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปหาสมบัติ กระนั้นกลับพบแต่ของที่ไม่ค่อยมีประโยชน์
แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่จะไร้ประโยชน์ ที่นี่ยังมีสิ่งของล้ำค่าอยู่ ที่ด้านในวิหารอัลคีราฟ ที่นั่นมีอาวุธชุดเกราะและอื่นๆอยู่มากมาย ของพวกนั้นอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเซิก แต่ไม่ใช่กับเผ่าพันธุ์อื่นๆ
โดยเฉพาะพวกม้วนคัมภีร์เวทจากยุคโบราณ เวทอาวุธและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของล้ำค่า
แต่แม้ตอนนี้จะยังไม่พบของเหล่านั้น ซากศพของพวกเซิกบางซากที่นี่ก็ยังมีค่า อย่างเช่นศพของแมลงเปลือกเหล็กนั้นสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการสร้างชุดเกราะได้
ซากแมลงพิษบางชนิดก็สามารถนำไปใช้ปรุงยา
ดังนั้นกองทัพพันธมิตรมนุษย์จึงมีบรรยากาศแห่งความยินดี วันนี้พวกเขานับว่าพอมีของติดไม้ติดมือกลับไปแล้ว
จากการออกกวาดล้างในวันนี้เซียวอวี๋ก็ได้ล่วงรู้ตำแหน่งของวิหารอัลคีราฟ
การต่อสู้ที่นี่จะต้องกระทำเป็นขั้นเป็นตอน พวกเขาต้องเก็บกวาดภายในซากเมืองนี้ให้ทั่วก่อนแล้วค่อยเข้าไปภายในวิหาร
อย่างไรเสียวิหารก็ตั้งอยู่ตรงนั้น มันย่อมไม่ขยับหนีไปไหน
นักผจญจำนวนมากรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว ค่าผ่านทางที่ต้องจ่ายให้เซียวอวี๋นับว่าไม่ได้เสียเปล่า
ในยามเย็น เซียวอวี๋ได้ไปพูดคุยกับโถวปาหงเรื่องการเปิดวิหาร หากพวกเขาเปิดวิหาร แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าไปได้ พื้นที่ภายในนั้นไม่ได้ใหญ่โตเหมือนด้านนอก อีกทั้งพวกทหารม้าก็ยิ่งเสียเปรียบ
ดังนั้นจึงมีเพียงกลุ่มยอดฝีมือเท่านั้นที่จะเข้าไปได้
และด้วยความอันตรายของสถานที่ โถวปาหงซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆาย่อมไม่สมควรเข้าไป
โถวปาหงก็ตระหนักในข้อนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ประท้วงอะไร
อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ต้องการให้อ้าวปาและโถวปาหู่เข้าไปด้วยกัน ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือ ซึ่งครั้งนี้เซียวอวี๋รู้สึกว่าต้องการจะนำยอดฝีมือเท่าที่หาได้เข้าไปด้วย
ตอนแรกเซียวอวี๋ต้องการจะพาทั้งสองเข้าไป แต่เขาทราบดีว่าทั้งสองคงไม่ยอม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทิ้งใครสักคนไว้คอยอารักขาโถวปาหง
ทว่ามีคนผู้หนึ่งต้องการจะเข้าไปด้วยให้ได้ คนผู้นั้นคือโถวปาเฟิง
โถวปาเฟิงมักมองเซียวอวี๋ด้วยตาแดงก่ำ โดยเฉพาะหลังจากเซียวอวี๋บรรลุขั้นที่หก ทั้งมังกรสัตว์เลี้ยงยังบรรลุขั้นที่ห้า สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ความอิจฉาของเขาทบทวีกว่าเดิม
ในอดีตเขามักขี่ม้าเปกาซัสไปไหนมาด้วยท่าทีสูงสง่าราวกับเจ้าชาย สัตว์พาหนะของเขาแม้แต่ตัวตนขั้นที่หกก็ยังต้องรู้สึกอิจฉา
หากแต่ตอนนี้เซียวอวี๋กลับแย่งชิงความโดดเด่นของเขาไปด้วยการขี่มังกรตัวเขื่อง สวมใส่ชุดเกราะสง่างามเคียงคู่สาวงามเช่นมู่เสวี่ย
ภาพที่เห็นนี้ทำให้โถวปาเฟิงรู้สึกสิ้นหวัง เขาต้องการจะบายความโกรธแค้นออกมา หากแต่ไม่มีที่ให้เขาระบายออก เพราะเขาทราบดีว่าตนเองไม่อาจเทียบกับเซียวอวี๋ได้เลย
ทว่าทุกครั้งที่ได้เห็นหลินมู่เสวี่ย หัวใจของเขาก็รู้สึกราวกับถูกมีดกรีดจนแทบทนไม่ได้ ทุกวันได้เห็นเทพธิดาที่ตนหลงรัก หากแต่เทพธิดานางนี้กลับโถมเข้าหาอ้อมกอดผู้อื่น
ความรักเป็นสิ่งที่ยากหักห้าม รักของเขายิ่งเป็นรักเพียงฝ่ายเดียว หรือนี่จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตให้กับเขา
บางทีอาจเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อนที่ทำให้คนหลีกหนีไม่พ้น……