ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ในยามค่ำคืน แสงจากกองไฟก็ส่องสว่างอยู่ทั่วซากเมืองอัลคีราฟ นักผจญภัยต่างก็นั่งล้อมวงดื่มกินกันเฮฮา ทุกคนล้วนแต่พูดคุยถึงการเก็บเกี่ยวในวันนี้ ทั้งยังคาดหวังกว่าเดิมในวันพรุ่ง
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่คิดแสวงหาโชคต่อในตอนกลางคืน ในขณะที่คนอื่นๆไปพัก พวกเขาต่างพยายามหาสมบัติให้ได้มากที่สุด
คนเหล่านี้ต้องมีกำลังที่แข็งแกร่ง มิเช่นนั้นก็เท่ากับไปรนหาที่ตาย
ในยามค่ำคืนมืดๆแบบนี้ มนุษย์ยังจะมีเปรียบเหนือเซิกได้หรือ?
วันนี้เซียวอวี๋มีความสุขมาก มังกรน้อยสามารถเลื่อนไปขั้นที่ห้า และตัวเขาเองก็เลื่อนไปขั้นที่หก นี่นับเป็นโชคหล่นทับอย่างแท้จริง บางทีหลังจากนี้เขาอาจจะมีโอกาสตัดผ่านไปยังขั้นที่เจ็ดก็ได้
ขั้นที่เจ็ดเป็นขั้นที่ทุกคนต่างฝันใฝ่ เพียงตอนนี้ได้อยู่ในขั้นที่หกก็รู้สึกราวกับฝันไปแล้ว หากเลื่อนไปขั้นที่เจ็ดจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน?
มรดกพลังมังกรนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ก้อนเล็กๆ ไม่เพียงแต่พละกำลังของมังกรน้อยจะเพิ่มขึ้น หากแต่การพ่นไฟด้วย ทั้งตอนนี้ยังมีรัศมีมังกรที่สามารถปลดปล่อยกลิ่นอายสะกดข่มศัตรู
นี่เป็นพลังที่ดีมาก
รัศมีมังกรนี้ไม่ใช่รัศมีของมังกรทั่วๆไป หากแต่เป็นรัศมีมังกรจากบรรพกาล หากมังกรทั่วไปมาอยู่ต่อหน้ามังกรน้อยตอนนี้ พวกมันก็ทำได้เพียงตัวสั่นราวลูกนกเท่านั้น
ขณะที่เซียวอวี๋และโถวปาหงกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้รับข่าวใหญ่
“ฝ่าบาท แม่ทัพฉินเช่อที่แนวหน้าได้ส่งข่าวมาพะย่ะค่ะ เมื่อวานพวกเขาได้เอาชนะกองทัพของโถวปากุ้ยได้ที่อี้เป่ย สังหารข้าศึกได้ราวแปดหมื่น ที่หลงเหลือถูกจับเป็นเชลย อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นพะย่ะค่ะ ชาวเมฆาหลายคนดูเหมือนถูกเวทมนตร์ชั่วร้ายควบคุม พวกเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวราวศพเดินได้ ยามพบเห็นผู้คนก็พุ่งเข้าจู่โจมอย่างคลุ้มคลั่ง ท่านแม่ทัพเห็นว่าเรื่องราวมีความสำคัญจึงได้ส่งกระหม่อมมารายงานฝ่าบาท”
“อะไรนะ!” ได้ยินรายงานโถวปาหงก็ดีดตัวลุกขึ้น
โถวปาหงย่อมทราบความสำคัญของเรื่องนี้ดี ถูกเวทมนตร์ชั่วร้ายควบคุมให้ไร้สติ นี่ทำให้ผู้คนไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์
“พวกมันทั้งกลุ่มสวมใส่ผ้าคลุมสีดำหรือไม่?” จู่ๆนิโคลัสก็เอ่ยถาม
“ขอรับ เป็นดังท่านกล่าว” พลส่งสารตอบอย่างนอบน้อม นิโคลัสได้พักอยู่ที่จักรวรรดิเมฆาระยะหนึ่ง ทั้งยังเป็นอาคันตุกะคนสำคัญขององค์จักรพรรดิ ดังนั้นพลส่งสารจึงมีท่าทีสุภาพนอบน้อม
“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?” โถวปาหงหันไปถามนิโคลัส
นิโคลัสยกไวน์ขึ้นจิบก่อนจะกล่าวว่า “เป็นขุมกำลังลึกลับ ข้าเคยได้รับรายงานจากหูตาที่วางไว้ เหตุการณ์นั้นคล้ายกัน ทุกคนดูจิตใจเลื่อนลอยขาดสติ ราวกับศพเดินได้”
“เป็นพวกมันจริงๆ” โถวปาหงบีบแก้วไวน์จนแตกคามือ ประกายโทสะลุกโชนในแววตา ผู้ที่หนุนหลังโถวปากุ้ยก็คือขุมกำลังลึกลับ เรื่องนี้พวกเขาพอได้ยินมาบ้าง หากแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าพวกคนลึกลับจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ทั้งยังกล้าชักใยจักรวรรดิเมฆา
“ดูเหมือนพวกมันจะเคลื่อนไหวแล้ว” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าในอดีตคนกลุ่มนี้คอยชักใยอยู่เบื้องหลังขุมกำลังหลายกลุ่ม
วิธีการต่ำช้านี้เป็นการกระทำอันน่ารังเกียจสำหรับทวีปใหญ่ หากพบเจอก็จะถูกกองกำลังทั้งหมดรุมสับสังหาร
ทว่าตอนนี้คนพวกนั้นกลับเมินเฉยกฏข้อนี้อย่างสิ้นเชิง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกมันเตรียมพร้อมจะลงมือกับทุกกองกำลังบนแผ่นดินใหญ่
“ทำอย่างไรดี?” โถวปาหงเอ่ยถามเซียวอวี๋ เขารีบทำใจให้สงบเพราะทราบดีว่าไม่ใช่เวลามามัวตื่นตระหนก
“บัดซบ เจ้าเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิเมฆาไม่ใช่หรือ มาถามข้าทำอะไร?” เซียวอวี๋กลอกตา เจ้าผู้นี้คิดอะไรไม่ตกก็มองหาข้าก่อนตลอด
“เรื่องไร้สาระไว้เพียงเท่านี้ นี่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของทวีป เจ้าคิดว่านี่ยังเป็นปัญหาของข้าเพียงผู้เดียวอีกหรือ?” โถวปาหงกล่าวกับเซียวอวี๋อย่างโมโห
“เพ้ย เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ ทางอัลคีราฟนี่ปล่อยให้ข้าจัดการ เจ้านำทัพพยัคฆ์กลับไปเถอะ จากนั้นรอจนพวกเรากลับไป” เซียวอวี๋กล่าวอย่างปลอดโปร่ง
ตอนนี้ที่นี่ไม่ต้องการทัพพยัคฆ์แล้ว ดังนั้นดีที่สุดคือให้พวกเขากลับไปกับโถวปาหง
โถวปาหงพยักหน้า “อืม คอยจนเช้าไม่ได้แล้ว ข้าจะกลับไปตอนนี้เลย อยู่ที่นี่เจ้าจงเร่งจัดการเสีย”
โถวปาหงกังวล ประชาชนถูกผู้อื่นควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ หากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเกรงว่าทั่วทั้งจักรวรรดิเมฆาคงตกเป็นของอีกฝ่าย ไม่คาดว่าเรื่องอัลคีราฟยังไม่จบ ทางนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน นี่กะไม่ให้เขาได้พักบ้างเลยหรืออย่างไร
เป็นจักรพรรดินั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
“อืม ระหว่างทางก็ระวังด้วย ทางนี้คงใช้เวลาไม่นานนักหรอก เมื่อไปถึงที่นั่นเจ้าก็ใช้กระจายข่าวกระตุ้นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ต่อผู้คน จงจำไว้ว่าให้เผยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ชี้นำ ตรงไหนควรกล่าวเกินก็จริงก็กล่าวเกินจริง ตรงไหนต้องโกหกก็โกหกไป ผู้คนคงยากสนใจหากเจ้าซื่อสัตย์ไปเสียหมด” เซียวอวี๋กำชับกับโถวปาหง
โถวปาหงพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ข้าทราบดีว่าต้องทำอย่างไร”
“เพ้ย ช่างคุยโตเสียจริง” เซียวอวี๋กลอกตาอีกหน
“เช่นนั้นข้าไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วย ท่านราชครูจะอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือเจ้า” โถวปาหงกล่าวก่อนหันไปหาโถวปาหู่ เขาส่งสายตาเรียกโถวปาหู่ให้ติดตามไป
เห็นผลที่อ้าวปาต้องอยู่นั้นเป็นเพราะเรื่องอัลคีราฟนั้นมีความสำคัญมาก สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นในจักรวรรดิเมฆา เป็นปัญหาของจักรวรรดิเมฆา พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้เซียวอวี๋ต้องรับมืออยู่คนเดียว
เห็นได้ว่าโถวปาหงได้มีการพูดคุยกับอ้าวปาก่อนแล้ว
อ้าวปาโค้งตัวลงต่ำ “ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกาย”
โถวปาหงหันไปมองอ้าวปา “อาจารย์ เรื่องนี้ต้องฝากท่านแล้ว”
อ้าวรีบกล่าวตอบ “เมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ กระหม่อมย่อมต้องลงแรงสุดกำลัง”
โถวปาหงพยักหน้า เขาไม่กล่าวอะไรอีกก่อนจะเดินจากไป เดิมโถวปาหู่ต้องการจะกล่าวกับโถวปาเฟิงสองสามคำ แต่สุดท้ายเขาก็เพียงยกมือขึ้นตบบ่าโถวปาเฟิง จากนั้นจึงสั่งให้ทัพพยัคฆ์ตระเตรียมเดินทาง
เขาทราบดีว่าเรื่องบางอย่างก็ต้องให้โถวปาเฟิงเผชิญหน้าด้วยตนเอง โถวปาเฟิงไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว บางปัญหาเขาต้องเรียนรู้ที่จะแก้มันเอง
ยามดวงจันทร์ลอยอยู่กึ่งกลางฟ้า โถวปาหงก็นำทัพพยัคฆ์และกองทหารม้าชั้นยอดออกเดินทาง เซียวอวี๋มองส่งพวกเขาก่อนจะถอนหายใจ เขาโบกมือก่อนจะกล่าวว่า “แยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ายังมีงานต้องทำอีก”