ผู้เข้าชมสี่คนจับจองมุมทั้งสี่ของห้องเรียน รอบด้านมืด และยังไม่มีแสงเลยสักนิด เพลงพื้นหลังดังมาจากมุมไหนไม่รู้ล่องลอยเข้าไปในหูของพวกเขาและผู้เข้าชมคนไหน ๆ ก็ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
“ถ้าพวกเธอพร้อมแล้ว พวกเราก็จะเริ่มเล่นเกมนี้” เฉินเกอเคยเล่นเกมเหนือธรรมชาติมาก่อนหน้านี้หลายเกม แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นกับคนแปลกหน้า
ด้วยความเป็นห่วงด้านความปลอดภัย เฉินเกอเตือนผู้ร่วมเล่นคนอื่น ๆ อีกครั้ง “บ้านผีสิงนี่ไม่เคยพบเจอแสงตะวัน ดังนั้นมันจึงสั่งสมพลังหยินเอาไว้หนาแน่นและนั่นก็ดึงดูดสิ่งแปลก ๆ มากมายมา
“เล่นเกมอย่างนี้ในบ้านผีสิงนั้นอันที่จริงเป็นการกระทำที่อันตรายมาก ตอนที่ฉันมาถึงที่นี่ ฉันก็เห็นแล้วว่าสถาบันฝันร้ายน่ะตั้งอยู่ที่มุมหยินของถนนการค้าและมันยังตั้งอยู่ด้านหลังสุดของตึกทั้งหมด นี่เป็นหยินยิ่งกว่าหยิน และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก มีตึกสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ติดกับตึกนี่ขวางแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของแสงสว่างแห่งเดียวของสถาบันฝันร้ายไป สถานที่ในภูมิศาสตร์เช่นนี้น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
“พวกเราเป็นแค่นักเรียน คุณอย่าพูดให้มันดูน่ากลัวขนาดนี้ได้ไหม?” หลี่ป๋อดึงซิปของเสื้อคลุมลงเผยให้เห็นเครื่องแบบนักเรียนที่ด้านใน มันเหมือนกับเครื่องแบบที่รุ่นพี่คนนั้นใส่อยู่เลย
“สิ่งที่ผมกำลังพูดนั้นธรรมดามาก เล่นเกมเหนือธรรมชาติในบ้านผีสิงอาจจะทำให้พวกเราเจอเข้ากับสิ่งเหล่านั้นจริง ๆ ถ้าเธอกลัว เธอควรออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่กับดักที่บ้านผีสิงวางเอาไว้แต่ว่าเป็นบางอย่างที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง…”
“ผมรู้ แต่ว่าพวกเราเริ่มเกมเลยได้ไหม? ที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว” เสี่ยวกั่วนั้นอยู่ตรงมุมตรงข้ามกับเฉินเกอ ตอนที่เขาพูด ก็มีรอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะเริ่มก่อน” เฉินเกอเดินไปทางฉุยหมิงขณะแตะกำแพงไปด้วย ตามกฏแล้ว เขาต้องไปให้ถึงตำแหน่งของฉุยหมิง เดินไปข้างหน้าช้า ๆ ทำให้มันดูเหมือนจริงมากขึ้น เขายังหลับตาลงด้วย
ปลายนิ้วของเขาแตะถูกมุมกำแพง เฉินเกอลืมตาขึ้นและใบหน้าซีดใบหน้าหนึ่งก็ลอยอยู่ในความมืด เฉินเกอเอื้อมมือออกไปแตะไหล่ของผู้ชายตรงหน้าเขา เฉินเกอนั้นเดินวนตามเข็มนาฬิกา เขาควรจะเดินไปหาฉุยหมิง ฉุยหมิงควรจะเดินไปทางหลี่ป๋อ และหลี่ป๋อเดินไปทางเสี่ยวกั่ว
ฉุยหมิงไม่พูดอะไร เขาเดินไปตามกระดานดำและมุ่งหน้าไปทางมุมของหลี่ป๋อ ตอนที่เขาไปถึงหลี่ป๋อ เขาก็ตบบ่าซ้ายของหลี่ป๋อ จากนั้นก็บ่าขวา นี่น่าจะเป็นสัญญาณของพวกเขา
เฉินเกอพบว่า ตอนที่ฉุยหมิงทำอย่างนั้น ไหล่ที่เกร็งเขม็งของหลี่ป๋อก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เกมดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่ตอนที่พวกเขาเริ่มรอบที่สองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
เสี่ยวกั่วแตะบ่าเฉินเกอ เขาเข้าไปอยู่มุมที่เฉินเกออยู่ตอนแรก ตามกฏแล้ว เฉินเกอควรจะเดินไปทางมุมของฉุยหมิงขณะที่คนที่เหลืออยู่กับที่ แต่ว่า ตอนที่เฉินเกอเดินไปได้ครึ่งทางจู่ ๆ เสี่ยวกั่วก็เดินตามหลังเฉินเกอมา!
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ทั้งฉุยหมิงและหลี่ป๋อก็เริ่มออกเดินพร้อมกัน ทั้งสามคนประสานงานกันได้ดีทีเดียว การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเบาและไม่มีเสียงอะไรเลย ตอนที่เฉินเกอไปถึงตรงมุมของฉุยหมิง ฉุยหมิงก็เดินออกไปแล้วเหลือแต่มุมว่าง ๆ เอาไว้
ถ้าเฉินเกอเป็นคนธรรมดาก็คงเริ่มกระวนกระวายแล้วเพราะพูดตามทฤษฎีแล้ว ต้องมีคนรออยู่ที่มุมนี้ เสี่ยวกั่วรักษาระยะห่างของตัวเองจากเฉินเกอ ในใจเขา เขามองเห็นแล้วว่าเฉินเกอนั้นตื่นตระหนกแค่ไหน นี่เป็นนักเรียนใหม่ที่มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเฉินเกอ– ผู้เข้าชมธรรมดานั้นไม่ได้มีโอกาสได้รับประสบการณ์เช่นนี้
ความมืดนั้นเป็นความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ เมื่อมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ด้วยกฏที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครสามารถรักษาความสงบของตัวเองไว้ได้หรอก เสี่ยวกั่วมองเงาที่ตรงหน้าตัวเองอย่างคาดหวัง เขาทบทวนบทในใจขณะปรับสีหน้าและเตรียมกระโจนไปด้านหน้า แต่ว่า ในตอนนี้เอง บางอย่างที่เขาไม่ได้คาดเอาไว้ก็เกิดขึ้น
เฉินเกอดึงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและหยุดอยู่ที่เดิมวินาทีหนึ่ง
“เขากำลังทำอะไรน่ะ?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินเกอก็ยืดตัวขึ้นและยืนอยู่ที่ตรงมุม จากนั้น เสี่ยวกั่วก็เห็นเงามัว ๆ เงาหนึ่งออกจากมุมของเฉินเกอและขยับไปทางมุมต่อไป
“มีคนอยู่ที่มุมนั้น?” เสี่ยวกั่วหยุดเดินทันที ปฏิกริยาแรกของเขาก็คือนักแสดงอีกสองคนนั้นทำพลาด– พวกเขาไม่ทำตามบทที่เขียนเอาไว้ “แล้วตอนนี้ฉันควรจะทำยังไง?”
เฉินเกอหยุดอยู่ที่มุมเดิมของฉุยหมิง ฉุยหมิงและหลี่ป๋อนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตามแผนแล้ว พวกเขาเดินไปยังมุมถัดไปแล้ว ฉุยหมิงกับหลี่ป๋อกำลังรอเสียงกรีดร้องจากเฉินเกอ พวกเขาไม่ชอบเฉินเกอมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เมื่อชายคนนั้นอาสาเดินเข้ากับดักเอง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ปล่อยชายคนนี้ไปง่าย ๆ
อย่างน้อยที่สุดนั่นก็เป็นแผนการของพวกเขา แต่ว่าพวกเขารอตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ยินเสียงร้องของเฉินเกอเลย ฉุยหมิงหันหลังกลับไปดู เขายังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ตอนนี้มีคนตบบ่าของเขา เขาขนลุกซู่ และฉุยหมิงก็เอนตัวพิงกำแพงทันที
“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเฉินเกอเดินต่อโดยไม่ได้หยุดอยู่ตรงมุม?” มองเงาที่ด้านหลังตัวเองแล้วฉุยหมิงก็เห็นแค่โครงร่างเลือน ๆ เท่านั้น ขนาดตัวของคนผู้นี้นั้นต่างไปจากเฉินเกออย่างสิ้นเชิง เขาเตี้ยเกินไปและผอมเกินไป
ในพวกเขาทั้งหมด มีแค่เสี่ยวกั่วที่มีรูปร่างเท่า ๆ นี้
“พี่กั่ว?” ฉุยหมิงเรียกเงานั่นเบา ๆ แต่ว่าไม่มีการตอบรับ ฉุยหมิงไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร เขาเดินต่อไปข้างหน้าหาหลี่ป๋ออย่างงุนงง
ตอนที่หลี่ป๋อเห็นเงาร่างหนึ่งโซเซมาทางเขา เขาก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกัน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงได้แต่เดินไปทางมุมของเสี่ยวกั่ว
เฉินเกอนั้นดูไม่หวาดกลัวเลย เพื่อนร่วมทีมของเขาทำพลาด เสี่ยวกั่วได้แต่อึ้ง หลังจากคิดแล้ว เขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ตำแหน่งเดิมของตนและทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรเสีย ในห้องเรียนนี้ก็มีกล้องมองกลางคืน ถ้ามีปัญหาอะไร นักเทคนิคก็จะได้รับแจ้งผ่านข้อความแล้ว ก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่ม พวกเขายังได้รับหูฟังบลูทูธมาด้วย ถ้าจำเป็นพวกเขาก็สามารถใช้มันได้– ของชิ้นนี้นั้นเป็นหนึ่งในอุปกรณ์จำเป็นสำหรับพนักงานบ้านผีสิง
เสี่ยวกั่วเดินกลับไป และหลี่ป๋อก็เดินมาที่มุมของเขา ทั้งสองคนนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่แทบจะเท่ากัน ในความมืด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปง เสี่ยวกั่วเดินเบามาก เขาระมัดระวังมากในการเดินกลับไปมือแตะไว้บนผนัง ตอนที่เขากำลังจะถึงตรงมุมของตัวเอง ปลายนิ้วของเขาจู่ ๆ ก็แตะถูกมือของคนอื่น!
แขนของเขาหดกลับทันที เขาไม่คิดว่าจะมีคนอื่นมาจากที่ด้านหลังตัวเอง!
“นี่ใครน่ะ?”
“พี่กั่ว?”
หลี่ป๋อเองก็ตกใจเหมือนกันตอนที่มีใครแตะถูกมือเขา
“ทำไมนายถึงมาอยู่ด้านหลังฉันได้?” เสี่ยวกั่วประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาร่วมมือกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้น