ความประหม่าของหลิน ชูจิ่ว นั้นชัดเจนมาก แต่… …

       เสี่ยวเทียนเหยา จะปล่อยหลิน ชูจิ่ว ไปเพราะเธอประหม่าหรือ?

       แน่นอนคำตอบคือไม่

“เจ้าจะชินกับมัน อย่าลืมพวกเราคือสามีภรรยา” เสี่ยวเทียนเหยา ถอดรองเท้าแล้วนอนลงไปบนเตียง ด้วยความแข็งแกร่งที่เต็มเปี่ยมเขาจึงกอดหลิน ชูจิ่วเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาได้อย่างง่ายดาย“ไม่ต้องหลบซ่อน”

       เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมบุตรขุนนางอย่างหลิน ชูจิ่ว จึงได้นอนหลับเหมือนเม่นและม้วนตัวเหมือนลูกบอล

“ ถ้าท่านกอดข้าไว้แบบนี้ ข้าจะได้หลับได้อย่างไร” อากาศกำลังอุ่นขึ้นเธอไม่ต้องการเครื่องทำความร้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของเธอเลย มันร้อนเกินไป

“เจ้าจะไม่หลับได้อย่างไรในเมื่อเจ้าง่วง เปิ่นอย่างยังเคยนอนหลับอยู่ข้างๆ จากกองศพเลย”

“ ฮือ?” ประโยคสุดท้ายของเขาน่ากลัวมาก

       ร่างกายของหลิน ชูจิ่ว แข็งทื่อขึ้น เธอไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

“ผ่อนคลาย” หลังจากเสี่ยวเทียนเหยาพูดจบ เขาก็หลับตาและตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็นอีก แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำอะไรกับหลิน ชูจิ่วด้วยเช่นดันดังนั้นหลิน ชูจิ่ว จึงวางใจได้

       ผ่อนคลายหรือ?

       หลิน ชูจิ่ว ต้องการผ่อนคลาย แต่เธอไม่สามารถผ่อนคลายได้!

       ด้านในของห้องมืดสนิท คนสองคนที่อยู่ใกล้กัน กำลังนอนอยู่บนเตียง แสงจันทร์นอกเรือนก็ถูกปิดด้วยกั้นเช่นกัน หลิน ชูจิ่ว จ้องมองไปที่กำแพงอยู่เป็นเวลานาน

       หลังจากนั้นไม่นาน เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเสี่ยวเทียนเหยาก็ดังขึ้น…

       ร่างกายของหลิน ชูจิ่วก็ ผ่อนคลายขึ้นในพริบตา แต่เธอก็ยังไม่ง่วง หลิน ชูจิ่ว คิดว่าคืนนี้จะกลายเป็นคืนที่นอนไม่หลับ แต่เธอก็เพอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

       เมื่อหลิน ชูจิ่วหลับไปแล้ว เสี่ยวเทียนเหยาคนที่ควรจะหลับใหลกลับลืมตาขึ้นมาและมองไปที่หญิงสาวแสนสวยในอ้อมแขนของเขา ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยทำให้เขาพึงพอใจ

       แต่ถึงแม้ว่านางจะไม่ฉลาดและไม่แข็งแรงพอ เขาก็สบายใจยามที่ได้อยู่กับนาง

       หลังจากหลับตาลงและดมกลิ่นผมของหลิน ชูจิ่ว เสี่ยวเทียนเหยาก็ทิ้งความระมัดระวังของเขาลงและนอนหลับไป

       ในเช้าวันต่อมา หลิน ชูจิ่ว ผู้ที่ตื่นครึ่งไม่ตื่นครึ่ง ยังคงคิดว่าจะเผชิญหน้ากับ เสี่ยวเทียนเหยาได้อย่างไร แต่เธอก็พบว่าเสี่ยวเทียนเหยาไม่ได้อยู่ข้างๆ เธออีกต่อไปแล้ว

       ข้างๆ เธอผ้าห่มนั้นเย็นแล้ว หลิน ชูจิ่วกลับช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ เธอนั่งอยู่บนเตียงและไม่ขยับเป็นเวลานาน

       เมื่อซุนฉีและฉิวฉี ได้ยินเสียงข้างใน พวกนางก็เรียกหลิน ชูจิ่วอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้น พวกนางก็ไม่รออนุญาตและเข้าไปทันที

       อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกนางเข้ามาข้างใน พวกนางก็พบว่าหลิน ชูจิ่วกำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยความงุนงง ทั้งสองช่วยไม่ได้ที่จะตกตะลึง แต่ฉิวฉี ก็เปิดปากถามขึ้น“ หวางเฟย ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าค่ะ”

       เมื่อหลิน ชูจิ่ว ค้นพบว่าซุนฉีและฉิวฉี เข้ามาข้างใน เธอก็ยังลังเลที่จะเคลื่อนไหว แต่เมื่อเธอได้ยินคำถามของฉิวฉี หลิน ชูจิ่วก็ส่ายหัวและยืนขึ้น

       ซุนฉีและฉิวฉี รู้ว่าหลิน ชูจิ่ว ไม่ต้องการพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นพวกนางจึงไม่กล้าถามอีก พวกนางจึงคอยรับใช้หลิน ชูจิ่ว อย่างระมัดระวังมากกว่าปกติ

       และก็เหมือนเมื่อก่อน มีชามข้าวต้มพร้อมเกี๊ยวและเครื่องเคียงอีกสี่อย่างบนโต๊ะ แต่วันนี้หลิน ชูจิ่วก็กินได้เพียงครึ่งเดียว

“ หวางเฟย ท่านควรรับอาหารเพิ่มอีกหน่อยนะเจ้าค่ะ วันนี้ท่านก็ต้องออกไปข้างนอกอีกครั้งไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ” ฉิวฉี รู้ว่าหลิน ชูจิ่ว ยุ่งแค่ไหน นางจึงเป็นห่วงว่า หลิน ชูจิ่ว จะไม่สามารถทนได้ ดังนั้นนางจึงพยายามเกลี้ยกล่อมนางขึ้น

“ข้ากินอะไรไม่ลงแล้ว เพียงแค่เตรียมของขบเคี้ยวไปด้วย ถ้าข้าหิวข้าจะกินเอง”หลิน ชูจิ่วยอมรับว่าเธออยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีเพราะเสี่ยวเทียนเหยาจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย

       แม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับมันแล้ว แต่แน่นอนว่าสิ่งต่าง ๆ ในคืนที่ผ่านมาไม่เหมือนเดิม..!

       หลิน ชูจิ่ว รู้สึกเสมอว่าในสายตาของเสี่ยวเทียนเหยา เธอเป็นเหมือนลูกแมวหรือลูกสุนัข หากเสี่ยวเทียนเหยา มีความสุขเขาจะหยอกล้อเธอ แต่เมื่อเขาไม่มีความสุขเขาจะทิ้งเธอไว้ข้างหลัง

       มันช่างน่าหดหู่เหลือเกินที่จะคิดถึงมัน