บันทึกที่ถูกวางเอาไว้บนแท่นบรรยายเพื่อหลอกผู้เข้าชมกลายเป็นไกด์บุ๊คให้เฉินเกอสำรวจบ้านผีสิง เขาเก็บสมุดบันทึกเข้าในกระเป๋าสะพายหลังแล้วเดินไปทางฉากที่สองที่บรรยายไว้ในสมุดบันทึก

ในฐานะบ้านผีสิงที่โด่งดังที่สุดในซินไห่ ขนาดของสถาบันฝันร้ายนั้นใหญ่กว่าที่เฉินเกอคาดคิดเอาไว้ ฉากของโรงเรียนผีสิงนั้นได้รับการดูแลรักษามาตั้งแต่ต้น และมันก็ครอบคลุมเรื่องผีในโรงเรียนเกือบทั้งหมด “ทั้งหมดมีหกชั้น วันนี้ต้องสนุกแน่”

สถานที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เป็นเรื่องดีสำหรับเฉินเกอ เขาสามารถสำรวจได้จนกว่าจะพอใจและถ้ามีโอกาส เขาก็จะรับทั้งตึกมาเป็นบ้านผีสิงของเขา

ฉากผีปากกานั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องเรียนที่ใช้จัดพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ มองภาพวาดที่บนกำแพงซึ่งลอกหลุด เฉินเกอเดินไปตามทางเดินจนกระทั่งไปถึงประตูเก่าคร่ำคร่าบานหนึ่ง บนประตูนั้นมีป้ายติดไว้อ่านได้ว่า ‘ห้องเก็บของ’

“ในบันทึก เด็กหญิงที่ชื่อเตี๋ยนั้นว่ากันว่าเล่นเกมผีปากกาอยู่ในห้องเก็บของ”

ผลักเปิดประตูแล้วก่อนที่เฉินเกอจะก้าวเท้าเข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังร้องไห้ เสียงร้องไห้นั้นมาไวไปไว– มันเร็วเกินกว่าที่เฉินเกอจะบอกได้ว่ามันมาจากไหน

“มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” มีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างบ้านผีสิงของเฉินเกอกับสถาบันฝันร้ายอยู่อย่างหนึ่ง บ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นอนุญาตให้ผู้เข้าชมสำรวจได้อย่างอิสระ ไม่มีการนำทางหรือความช่วยเหลือระหว่างทางขณะที่บ้านผีสิงส่วนใหญ่ในท้องตลาดนั้นมีเส้นทางกeหนดการเยี่ยมชมเอาไว้

ตอนนี้ที่เขาเดินเข้ามาในฉากบ้านผีสิงโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า เขาจึงเป็นห่วงมากว่านักแสดงจะยังไม่พร้อม และมันอาจจะส่งผลต่อการสัมผัสประสบการณ์โดยรวมของเขาเอง หลังจากเขาพูดออกไปเสียงดัง เสียงร้องไห้ก็เบาลงและเฉินเกอก็หยุดเท้าเพื่อตรวจดูรอบตัว

กำแพงในห้องเก็บของนั้นจงใจทำให้ดูเก่ากว่าที่มันเป็น ชั้นวางของในห้องนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชั้นและที่ตรงมุมยังมีของต่าง ๆ กองเอาไว้เป็นตั้งสูง แสงที่ในห้องนั้นสลัว และบางครั้งก็ยังมีเสียงหนูวิ่งผ่านไป

“บันทึกบอกไว้แค่ว่าเตี๋ยเล่นเกมผีปากกาในนี้ แต่ว่าไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับห้องเก็บของเลยสักนิด ดังนั้น สันนิษฐานจากการเกิดอุบัติเหตุบางอย่างตอนที่เตี๋ยเล่นเกมผีปากกา ฉันอาจจะเจอผีหนึ่งหรือสองตัวที่นี่ หนึ่งคือเตี๋ย และอีกหนึ่งอาจจะเป็นผีปากกา”

ตอนที่เฉินเกอเดินผ่านชั้นวางของแถวแรก เสียงร้องของหนูก็ดังมาจากตรงแถว ๆ ขาซ้ายของเขาและเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างวิ่งผ่านข้อเท้าของเขาไป เวลาเกิดอะไรแบบนี้กับคนทั่วไป พวกเขามักจะกระโดดหรือร้องออกมาอย่างตกใจ แต่ว่าเฉินเกอนั้นไม่สะเทือน กลับกัน เหมือนเด็กชายที่สงสัยในทุก ๆ อย่าง เขานั่งลงและมองดูให้ชัด ๆ

“มีเชือกวางเอาไว้ระหว่างชั้นวางของสองแถวนี้ เมื่อผู้เข้าชมเหยียบเชือก หนูปลอมก็ที่ถูกมัดเอาไว้ก็จะเลื่อนออกมา” เฉินเกอเกาคาง “อันที่จริง บางคนก็อาจจะตกใจกับเรื่องพวกนี้ นี่ค่อนข้างน่าสนใจ บ้านผีสิงอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผีหรือว่าปิศาจเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างสามารถทำให้กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่าสยองขวัญได้ นี่สามารถเติมเต็มความต้องการหลากหลายของผู้เข้าชม และยังเข้ากับจุดมุ่งหมายของฉันที่จะออกแบบบ้านผีสิงที่หลากหลาย”

เฉินเกอจดจำกลเม็ดเล็ก ๆ เหล่านี้เอาไว้ เขาวางแผนที่จะค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเมื่อกลับไปและใช้พวกมันเป็นพื้นฐานในการสร้างบางอย่างที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุก เฉินเกอลุกขึ้นและเดินต่อไปข้างหน้าจนถึงระหว่างแถวที่หนึ่งและสอง

ทางเดินแคบมาก เฉินเกอมองเห็นว่ามีโถแก้วที่บนชั้นวางแถวที่สองกำลังจะตกแล้ว เขายื่นมือออกไปผลักโถเบา ๆ ให้ขยับลึกเข้าไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ตอนที่เขากำลังผลักมันเข้าไป เขาก็เห็นใบหน้าซีด ๆ ใบหน้าหนึ่งแอบอยู่ด้านหลังโถแก้ว

“เขาอยู่อีกด้านของชั้นวางเหรอ? ไม่สิ น่าจะเบียดอยู่ระหว่างชั้น” เฉินเกอมองใบหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคว้าโถแก้วแล้ววางลงที่พื้น เขาเอื้อมมือไป ปลายนิ้วของเขาจิ้มเข้าที่แก้มของใบหน้านั่นและเขาก็บีบอยู่ครู่หนึ่ง “ยางสังเคราะห์? หน้ากาก?”

เฉินเกอขยับของบนชั้นออกไปและในที่สุดก็เห็นว่ามันคืออะไร มันคือหน้ากากหน้าคนที่ติดไว้บนลูกบาสเกตบอล “กะโหลกปลอม? ถ้ามีคนเป็น ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงมันจะน่ากลัวกว่ามาก แต่ฉันก็เห็นปัญหาอยู่แหละว่าที่ตรงนี้มันเล็กเกินกว่าที่คนเป็น ๆ จะเบียดเข้ามาได้”

ข้ามแถวที่สองไปเฉินเกอมุ่งหน้าสู่แถวที่สาม คราวนี้ เขาก็เจอกับโถแก้วที่กำลังจะตกอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ แทนที่จะเป็นแค่ใบเดียว กลับมีถึงห้าใบ

“พวกเขาไม่กลัวว่าทำโถแก้วแตกแล้วจะบังเอิญทำให้ผู้เข้าชมได้รับบาดเจ็บหรือไง? หรือว่าพวกเขาใช้แก้วเสริมแรงที่ไม่แตกกันง่าย ๆ?”

ตอนที่เฉินเกอเดินผ่านโถพวกนั้นไปเขาก็พบว่าแต่ละใบนั้นมีของต่างชนิดกันใส่เอาไว้ ของเหลวที่ด้านในนั้นเป็นสีเข้ม และวัตถุด้านในก็ทำให้เขานึกถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ “โถทั้งห้าใบนี่หมายถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ห้าชนิด?”

เฉินเกอหยิบโถแต่ละใบขึ้นมาดูก่อนจะวางกลับลงไป ตอนที่เขาดูถึงใบที่สี่ แขนผอม ๆ ข้างหนึ่งจู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากด้านหลังชั้นวางแล้วก็กำรอบข้อมือของเขาเอาไว้!

มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากโดยไม่มีทีท่ามาก่อนจนเฉินเกอชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนที่จะตื่นตัวขึ้นมา เขากำมือแน่นแล้วก็บิดข้อมือหมุนไปจับแขนข้างนั้นเอาไว้แทน เขาดึงแขนนั่นและไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปขณะที่เอนตัวเข้าไปดูด้านหลังชั้นวาง เด็กหญิงคนหนึ่งในเครื่องแบบสถาบันฝันร้ายนั้นติดอยู่ระหว่างชั้นวาง เธอกำลังกัดฟันสะกดความเจ็บเอาไว้

“ปะ… ปล่อยนะ!” นั่นเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เด็กหญิงควรจะพูด

“ผมขอโทษที ผมตกใจไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอ” เฉินเกอปล่อยเด็กหญิงช้า ๆ ตอนที่เขามองไปที่ด้านหลังชั้นวางอีกครั้งเด็กคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว “เธอไปไหนแล้วล่ะ?”

เสียงร้องไห้กลับมา เฉินเกอเดินวนรอบชั้นและไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของห้องเก็บของ ท่ามกลางกองของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ระเกะระกะ เด็กหญิงร่างบอบบางคนหนึ่งซบอยู่กับโต๊ะร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ผมขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย ผมคงจะดึงแรงไปเพราะว่าตกใจมากเลย” เฉินเกอนั่งลงที่ข้าง ๆ โต๊ะ เขากลับว่าเด็กหญิงนั้นจะร้องไห้เพราะว่าเขาทำร้ายเธอเข้า

“หนูรู้สึกไม่ดี หัวใจของหนูเหมือนถูกมีดคม ๆ กรีดเป็นชิ้น ๆ”

“ผมแค่จับข้อมือเธอแรงกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น เธอคงจะไม่เอาเรื่องนั้นมาต่อว่าผมหรอกใช่ไหม?” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ

เด็กหญิงมองรอยนิ้วมือแดง ๆ รอบข้อมือตัวเอง ถึงแม้ว่าปฏิกริยาของผู้เข้าชมคนนี้จะต่างไปจากที่เธอคาดไว้เล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คือนักแสดงมืออาชีพที่บ้านผีสิงนี่ และเธอก็เข้าสู่บทบาทได้อย่างง่ายดาย “หนูตกหลุมรักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง แต่หลังจากถามผีปากกาแล้ว หนูพบว่าเขาไม่ได้สนใจหนูเลยสักนิด หนูใช้วิธีการที่ผีปากกาสอนทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ว่าหนูบังเอิญทำให้เขาตาย หนูเสียใจมาก ดังนั้นจึงกลับมาที่นี่ถามผีปากกาอีกครั้งดูว่าจะมีหนทางไหนเปลี่ยนเรื่องพวกนี้ได้”

“เธอจะเปลี่ยนเรื่องเหล่านี้ได้ยังไงในเมื่อคนผู้นั้นก็ตายไปแล้ว?”

“ผีปากกาต้องรู้วิธีแน่ ๆ!” จู่ ๆ เด็กสาวก็ร้องเสียงดังดวงตาของเธอแดงก่ำชุ่มน้ำตา

“ใช่ ใช่ แต่ถึงอย่างนั้น ในเหล่าวิญญาณทั้งหลาย ผีปากกาน่ะไม่ได้ทรงพลังที่สุด ดังนั้นผมขอแนะนำให้เธออย่าได้คาดหวังมากเกินไป”

“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องลองดูสักครั้ง” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมา เครื่องสำอางบนหน้าของเธอนั้นทั้งหนาและเข้ม มันดูค่อนข้างประหลาดเมื่อมาอยู่ในห้องเก็บของรกร้างนี่ “คุณช่วยหนูได้ไหม? มันต้องมีอย่างน้อยที่สุดสองคนเพื่อเล่นเกมผีปากกา ปกติแล้วคนไม่ค่อยมาที่ห้องเก็บของนี่ หนูต้องการอีกคนมาช่วยเพื่อเริ่มเกม”

“ไม่มีปัญหา” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เฉินเกอก็อ้าปากถาม “เธอพูดว่าเธอต้องมีสองคนถึงจะเริ่มเกมผีปากกาได้ อย่างนั้นใครเป็นคนที่สองที่เธอเล่นด้วยครั้งแรกที่เธอมาถามผีปากกา?”

เด็กสาวเลือกไม่สนใจคำถามนั้น และเสียงของเธอก็เปลี่ยนเป็นแหลมสูง “นั่งลงตรงข้ามหนูนี่ และพวกเราสองคนก็จะจับปากกาไว้แบบนี้ จากนั้นคุณก็ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่หนูเอง”

“ได้” เฉินเกอมองว่าตัวเองนั้นเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นและทำตามที่เด็กหญิงบอก เขาขยับไปที่อีกด้านของโต๊ะและหยิบปากกาขึ้นมา มันเป็นปากกาหมึกซึมสีขาวเงิน มันมีขนาดเกือบสองเท่าของปากกาทั่วไปและยังมีลวดลายตกแต่งเป็นวงรอบ ๆ

“นี่เป็นปากกาที่ดูดีทีเดียว” นิ้วหัวแม่มือของเขากดลงที่ด้านบนปากกาและเขาก็ทิ้งพื้นที่ระหว่างนิ้วทั้งสี่เอาไว้มากพอ เกมผีปากกานั้นเป็นเกมสำหรับสองคน ดังนั้นเฉินเกอจึงเว้นที่เอาไว้ให้เด็กหญิงวางมือของเธอ “อย่างนี้หรือเปล่า?”

ท่าทางของเฉินเกอนั้นถูกต้องและไม่จำเป็นต้องให้เด็กหญิงแนะนำเลยสักนิด ถึงตอนนี้ ก็มีความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจเด็กหญิง คนผู้นี้ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะเล่นเกมผีปากกาบ่อย แต่ว่าคนธรรมดาทำไมถึงเล่นเกมผีปากกาที่บ้านอยู่บ่อย ๆ ได้เล่า?

เด็กหญิงพยักหน้าและนั่งลงตรงข้ามเฉินเกอ “หลังจากเริ่มเกม คุณไม่ต้องพูดหรือว่าทำอะไร แค่นั่งอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ ก็พอ”

“เข้าใจแล้ว”

“เมื่อเกมเริ่ม ก็จะไม่สามารถหยุดกลางคันได้ ถ้าคุณเรียกผีปากกามาแต่ว่าไม่ส่งเธอกลับ ผลที่ตามมาจะย่ำแย่มาก” เด็กหญิงเตือนอย่างจริงจัง

“ผมเข้าใจทั้งหมดแล้ว เธอเริ่มได้เลย” เฉินเกอมองไปรอบ ๆ เล่นเกมผีปากกาในห้องเก็บของร้างนั้นเป็นประสบการณ์น่าสนใจ สถาบันฝันร้ายนั้นควบคุมบรรยากาศได้ดีมาก ร่วมกับผลของแสงและเพลงประกอบ หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นแล้วทั้งที่แค่นั่งอยู่ตรงนี้

หลังจากเด็กหญิงนั่งลงและเอื้อมมือออกไปจับปากกาเอาไว้ คิ้วของเธอก็ขมวดเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แปลกจัง ทำไมมือของคนคนนี้ถึงเย็นกว่ามือฉันอีก?

“พวกเราเริ่มเลยไหม?”

“โอ้ ได้ค่ะ” เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก เธอกำปากกาเอาไว้ด้วยมือเดียวแล้วสอดอีกมือเข้าไปใต้โต๊ะ เธอเริ่มท่องบทอัญเชิญ “ผีปากกา ผีปากกา คุณบอกฉันได้ไหมว่าฉันจะเห็นคนที่ฉันรักอีกครั้งได้ยังไง?”

หลังจากนั้น ดวงตาของเธอก็จ้องเป๋งอยู่กับปากกาที่บนโต๊ะ และดวงตาแดงของเธอก็ดูค่อนข้างน่ากลัวในความมืด พวกเขารออยู่นาน แต่ว่าปากกาที่พวกเขากำเอาไว้นั้นไม่ขยับ มันนิ่งอยู่เหนือกระดาษ

“ผีปากกา ผีปากกา ได้โปรดตอบฉัน! ฉันทำตามที่คุณแนะนำแล้ว! ฉันทำทุกอย่างที่คุณบอกให้ฉันทำ แต่ทำไมเขาก็ยังตาย? ฉันรักเขา ไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณนี่!”

การควบคุมอารมณ์ของเธอค่อย ๆ หมดไป และม่านตาของเธอก็เริ่มเป็นสีแดงก่ำ มีเพียงแค่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ระหว่างเด็กหญิงกับเฉินเกอ เพราะระยะห่างเพียงไม่มากของพวกเขา ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความบ้าคลั่งจึงสามารถรู้สึกได้ชัดเจนมาก

“ผีปากกา ผีปากกา ฉันไม่อยากให้เขาตาย! ได้โปรดตอบฉัน! ผีปากกา ตอบฉัน!” เด็กหญิงเริ่มกรีดร้องเหมือนเสียสติไปแล้ว เสียงกรีดร้องของเธอก้องอยู่ในห้องเก็บของ “บอกฉันว่าฉันต้องทำยังไง– ฉันยอมแลกกับอะไรก็ได้! ฉันรู้ว่าคุณที่นี่! ผีปากกา ฉันรู้ว่าคุณยังอยู่ที่นี่!”

ตอนที่เด็กหญิงกรีดร้องประโยคสุดท้าย ปากกาในมือเธอก็บิดเบา ๆ

“ผีปากกา นั่นคุณเหรอ? ได้โปรดบอกฉัน ฉันจะทำให้เขาได้ยินเสียงฉันอีกครั้งได้ยังไง?” เด็กหญิงกรีดร้องเหมือนเธอกำลังขอให้ใครสักคนช่วยชีวิตเธอหน่อย ดวงตาทั้งคู่ของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนจะมีเลือดหยดออกมาได้

ภายใต้เสียงตะโกนอย่างกระวนกระวายของเธอ ปากกาที่ลอยอยู่เหนือกระดาษในที่สุดก็ขยับ เฉินเกอรู้สึกได้ว่าตัวปากกานั้นขยับด้วยตัวเอง และนี่ก็ทำให้เขาประหลาดใจ เขากับเด็กหญิงทั้งคู่จับปากกาอยู่ และเขาก็รู้แน่ว่าไม่มีใครเป็นคนขยับปากกาทั้งนั้น ปากกาขยับด้วยตัวเองจริง ๆ

ผีปากกามาแล้ว? ไม่ ปากกาหมึกซึมด้ามนี้หนักอย่างไม่ควรเป็น ดังนั้นน่าจะมีกลไกบางอย่างติดตั้งไว้ด้านใน โต๊ะนี่ยังมีผ้าปูโต๊ะเก่าขาดคลุมเอาไว้ และมันก็ปิดบังทุกอย่างที่ด้านใต้เอาไว้ไม่ให้เห็น แต่ว่า จากสัมผัส โต๊ะนี้ทำจากเหล็ก มันเป็นไปได้ไหมที่เธอจะใช้แม่เหล็กสักอย่าง?

เสียงของเด็กหญิงดังขึ้น บางทีอาจจะเพราะเธอเห็นสีหน้าตกใจบนใบหน้าของเฉินเกอ เธอถามคำถามซ้ำ ๆ ปากกาเขียนลงที่บนกระดาษขาว “จะได้บางอย่างมาย่อมต้องสูญเสียบางอย่าง คราวนี้เธอเตรียมอะไรไว้ให้ฉัน?”

เห็นประโยคนี้บนกระดาษ เด็กหญิงก็ยิ่งตื่นเต้นอย่างประหลาด “เธอต้องการอะไร? ฉันจะให้!”

“เหมือนก่อนหน้า”

ปากกาที่พวกเขาถือเอาไว้จู่ ๆ ก็หยุดขยับ เด็กหญิงดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์บางอย่างขณะที่มองประโยคบนกระดาษเงียบ ๆ “เหมือนก่อนหน้า?”

น้ำเสียงของเด็กหญิงค่อนข้างจริงจัง มันเหมือนเธอกำลังพูดกับตัวเอง และมันก็ทำให้เธอดูเหมือนถูกอะไรสิง สำหรับคนนอก เธอเหมือนกำลังพูดคุยกับบางอย่างที่มีตัวตนแค่ในจิตใจของเธอ

เธอถามคำถามนั้นซ้ำ ๆ จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองมาที่เฉินเกอช้า ๆ ถึงตอนนี้ ปากกาที่พวกเขาทั้งคู่ถือเอาไว้ก็เริ่มขยับอีกครั้ง “ใช่แล้ว เหมือนก่อนหน้านี้ เธอสละอวัยวะทั้งห้าของเพื่อนสนิทของเธอ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันมอบความภักดีตลอดกาลจากคนรักของเธอให้เธอ ตอนนี้ ถ้าเธอต้องการให้คนรักของเธอกลับมา ก็มอบชีวิตอื่นให้ฉันเป็นการแลกเปลี่ยน!”

เครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอนั้นเปื้อนเปรอะไปหมด สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนไปเป็นชั่วร้าย มือที่เธอซ่อนไว้ใต้โต๊ะนั้นพุ่งตรงไป และที่ในมือของเธอก็เป็นมีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่ง!

“เดี๋ยวก่อน!” เฉินเกอนั่งอยู่กับที่และไม่ขยับตัวเลยสักนิด เขามองสองสามประโยคที่บนกระดาษและคิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ก็คลายออกช้า ๆ เขาหันไปหาเด็กหญิงและพูด “อย่าได้ทำอะไรวู่วาม ผีปากกากำลังโกหกเธอ ต่อให้เธอฆ่าผม ผีปากกาก็ไม่ได้จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเธอ”

เด็กหญิงอยู่ท่าเดิม แต่ว่าใบหน้านั้นกระตุกเล็กน้อย นี่นายไม่เห็นมีดเรอะไง? ทำไมถึงยังพูดกับฉันอย่างนี้ได้อีก?

“พลังอำนาจหลักของผีปากกาคือการบอกอนาคต สิ่งที่เรียกว่าเติมเต็มความปรารถนาของเธอน่ะเป็นกับดัก ผมหมายความว่า ลองคิดถึงการตกลงกันครั้งก่อนของเธอสิ

“เธอมอบชีวิตของคนผู้หนึ่งให้ผีปากกา แต่ว่าผีปากกาเล่นคำกับเธอ ผีปากกาใช้โอกาสนี้ฆ่าคนรักของเธอและโกหกเธอ บอกว่านั่นเป็นเพราะว่าผีปากกาช่วยให้เธอได้รับความภักดีไม่สิ้นสุดจากคนรักของเธอ

“ผมคิดว่าผมเข้าใจเรื่องของเธอแล้วตอนนี้ เธออาจจะเจอเข้ากับผีปากกาของปลอมแล้ว แน่นอนว่า มันยังมีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีผีปากกาอยู่ตั้งแต่เริ่มและสิ่งที่เรียกว่าผีปากกาก็คือตัวเธอเอง

“เธออาจจะริษยาที่เพื่อนสนิทของเธอกับคนที่เธอตกหลุมรักนั้นสนิทกันและเธอก็ใช้ชื่อของผีปากกาฆ่าพวกเขาทั้งคู่อย่างเลือดเย็น!”

เฉินเกอวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นและนั่นก็ทำให้เด็กหญิงสับสน ทำไมผู้เข้าชมคนนี้ถึงได้แต่งเรื่องเพิ่มขึ้นมาเองกันล่ะนี่?

“เด็กน้อย วางมีดในมือของเธอลงเถอะ นั่นไม่ใช่วิธีการที่เธอจะเล่นเกมผีปากกา สิ่งที่เธออัญเชิญมานั้นไม่ใช่ผีปากกาแต่ว่าเป็นปิศาจในใจตัวเธอเอง” เฉินเกอกำข้อมือของเด็กหญิงเอาไว้อย่างระมัดระวังแต่ว่ามั่นคง เขาดึงมีดออกจากมือของเธอและวางมันลงที่ข้างตัวของเขาเองก่อนที่จะดึงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งที่มีเทปใสพันเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ผีปากกาที่แท้จริงนั้นไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ สิ่งเดียวที่ให้เธอทำเรื่องแบบนั้นคือจิตใจของมนุษย์” เสียงของเฉินเกอดูเหมือนจะมีพลังเวทมนต์บางอย่าง เขาจับมือของเด็กหญิงเอาไว้แล้วนำเธอไปกำรอบปากกาลูกลื่นด้วยกัน “ไม่ต้องกลัว ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักผีปากกาที่แท้จริง”

พวกเขาทั้งคู่กลับไปนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะ เฉินเกอและเด็กหญิงกำปากกาที่มีรอยแตกเอาไว้ด้วยกัน

“ทำจิตใจให้ว่างเปล่าและถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเธอ” ดวงตาของเฉินเกออ่อนโยน น้ำเสียงของเขานุ่มนวล “มา พูดตามผม ผีปากกา ผีปากกา เธอคือจิตวิญญาณของฉันจากชีวิตก่อน และฉันก็คือจิตวิญญาณของเธอในชีวิตนี้ เธอช่วยบอกฉันได้ไหมว่าใครคือคนที่รักฉันที่สุด?”