TB:บทที่ 304 ท่าไม้ตาย
เฉินหลงตัดสินใจซื้อวิชาพวกนั้นมาให้บอร์แมนและเทียซินได้ฝึกฝน
เมื่อเขาศึกษาวิชาทั้งหมดแล้ว เฉินหลงจึงหาวิชาที่เหมาะสมให้พวกเขาทีละคน ยังไงเขาก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เฉินหลงจึงต้องศึกษาวิชาที่เขาทำการแลกเปลี่ยนมาจากระบบก่อน จากนั้นก็ค่อยนำมันไปสอนบอร์แมนอีกที
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ เฉินหลงกำลังสอนวิชาให้กับลูกน้องของตนอยู่นั้น ทันใดนั้นก็ได้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนเดินเข้ามาหาเขา
“คุณเฉิน? … คุณคงจะเป็นเฉินหลงใช่ไหมครับ?” ชายชาวจีนคนหนึ่งใช่ชุดเหมือนกับวู่เต่าเทียน ส่วนสูงประมาณ 1.8 เมตร รูปร่างสมส่วน เส้นผมหนาที่ถูกจัดทรงให้ตั้งตรง และปาดเป็นแนวเหลี่ยมตรง เสริมให้เขาดูเป็นคนที่มีอำนาจและหล่อเหลาไม่น้อย อีกฝ่ายกำลังมองมาที่เฉินหลงพร้อมกับส่งยิ้มให้
ถัดจากชายคนนั้น คือชายอายุประมาณห้าสิบปี สวมชุดคลุมแบบโบราณ ทำให้เขาดูคล้ายกับนักวิชาการที่มีอายุคนหนึ่ง
“ครับ ผมคือเฉินหลง ไม่ทราบว่าพวกคุณมีธุระอะไรกับผมครับ?” เฉินหลงมองสหายชาวจีนทั้งสองคน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พวกเราทราบมาว่าวู่เต่าเทียนอยู่ที่นี่กับคุณ ผมต้องการให้คุณส่งตัวเขามาให้ผมครับ” ชายหนุ่มตอบ
ทันทีที่รู้ว่าพวกเขากำลังตามหาวู่เต่าเทียนอยู่ เฉินหลงจึงถามพวกเขากลับด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้างั้น พวกคุณเป็นอะไรกับเขาละครับ?”
“เขาเป็นคนในสำนักของเรา และเขาก็ยังไม่ได้ออกจากสำนักเรา แสดงว่าเขายังเป็นคนของเราอยู่ รบกวนคุณช่วยส่งตัวเขามาให้พวกเราด้วยครับ” ในเวลาเดียวกัน ชายอาวุโสจึงเปิดปากตอบคำถามในทันที อีกความหมายของเขาก็คือ ในเมื่อหมอนั่นยังเป็นคนของฉันอยู่ นายก็รีบๆส่งตัวเขามาให้ฉันซะดีๆซะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!
“เหรอครับ? แต่ว่า ตอนนี้เขาเป็นลูกน้องของผมแล้วล่ะครับ ถ้าอย่างงั้น ผมคงต้องรบกวนคุณไล่เขาออกจากสำนักด้วยก็แล้วกันนะครับ” เฉินหลงตอบ ในตอนนี้เขารู้สึกหน่ายเกินกว่าจะมานั่งโต้เถียงกับชายทั้งสองแล้ว
ถ้าจะให้เขาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ถึงเฉินหลงจะไม่ได้รับปากว่าส่งตัวเขาให้ แต่ความคิดของเขาชัดเจนมาก และในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ประสงค์ดีกับเขา ดังนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องปั้นยิ้มให้สักหน่อย แม้ว่าพวกเราจะเป็นคนบ้านเดียวกันก็ตาม
“หึ หนุ่มน้อย นายอย่าอวดดีให้มากนัก พวกเรารู้บ้านเกิดของนายแล้ว เดี๋ยวฉันจะจัดการส่งนายกลับบ้านตอนนี้เลย” ชายอาวุโสกล่าวพลางจ้องตาเฉินหลง
“โอ้ จริงเหรอครับ?” เฉินหลงตอบด้วยสีหน้าเรียบ
“ถ้านายส่งวู่เต่าเทียนให้พวกเรา พวกเราก็จะไม่ยื่นมือไปยุ่งเรื่องของนาย แต่ถ้าไม่ หลังจากนี้ พวกเราคงรับประกันอะไรไม่ได้แล้ว” ชายอาวุโสว่า
“แล้วถ้าคำตอบของผมคือ ‘ไม่’ ล่ะครับ พวกคุณจะทำยังไงกับผมดีล่ะ?” เฉินหลงหันไปถามชายอาวุโสด้วยน้ำเสียงทะเล้น
“ฉันคิดว่านายจะไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆแบบนี้ ขอบอกเอาไว้เลยว่า ฉันไม่มีทางออมมือ เพียงเพราะนายก็เป็นคนจีนเหมือนฉันหรอกนะ” ชายอาวุโสกล่าวโดยไม่แสดงจุดอ่อนใดๆออกมา
เฉินหลงไม่ตอบ เขาเพียงแค่ส่งยิ้มให้เท่านั้น
ความแข็งแกร่งของชายอาวุโสคนนี้นับว่าไม่เลว แต่ถึงอย่างนั้น เฉินหลงก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก แต่เพราะเขาเป็นคนจีนแถมยังเป็นผู้อาวุโส เฉินหลงจะส่งพวกเขาออกไปจากที่นี่อย่างเบามือก็แล้วกัน
“โธ่ คุณลุงครับ พวกเราต่างก็เป็นคนจีนเหมือนกัน พวกเราไม่จำเป็นต้องทำลายมิตรภาพของเราเพราะเรื่องนี้เลยนะครับ ผมว่า เราค่อยๆพูดค่อยจากันดีกว่านะครับ” คนหนุ่มกว่าสบตากับคนที่มีอายุ เฉินหลงไหวไหล่ ถ้าสองคนนี้ยังพูดไม่รู้เรื่อง เห็นที เขาคงต้องใช้กำลังบังคับซะแล้ว
ในขณะเดียวกัน ในสมองของคนอ่อนกว่ารู้สึกคิดไม่ตก ทำไมไอ้แก๊งบ้านี่ถึงได้ปล่อยให้ตาแก่ขี้โมโหมาทวงคนจากเขาได้นะ ปวดหัวชะมัด!
“ไม่เอาน่า ถ้ามีลุงแก่ๆมาพูดกับคุณ เหมือนที่คุณพูดแบบนั้นกับผม พวกคุณลุงเองก็คงจะหงุดหงิดเหมือนกันใช่ไหมละครับ” เฉินหลง หนุ่มอารมณ์ดีถามต่อว่า “เอาเป็นว่า คุณลุงชื่ออะไร แล้วสำนักของคุณลุงชื่ออะไรล่ะครับ?”
“สำนักของฉัน? หนุ่มน้อย ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญว่า คนอย่างนายไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องนี้หรอกนะ สิ่งที่นายต้องทำในตอนนี้คือ ส่งตัววู่เต่าเทียนมาให้พวกเราก็พอ ไม่อย่างนั้น ใบหน้าหล่อๆของนายอาจเสียโฉมได้นะ” เมื่อเห็นว่าเฉินหลงไม่เห็นหัวเขา สีหน้าของชายอาวุโสจึงดูน่ากลัวมากกว่าเก่า
เมื่อได้ยินคำตอบของชายอาวุโส ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ อ่า สถานการณ์ในตอนนี้ มันแย่กว่าที่คิดไปหน่อยแหะ
“เหรอครับ? งั้นผมเองก็จะบอกกับพวกคุณลุงว่า ตอนนี้ชีวิตของวู่เต่าเทียนเป็นของผมแล้ว ถ้าคุณลุงต้องการเอาตัวเขากลับไป เห็นที คงมีแต่ต้องแย่งไปจากผมเท่านั้นแล้วล่ะครับ” เฉินหลงกล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น และน้ำเสียงเย็นชา
“หึ ย่อมได้ ถ้างั้น นายก็ควรหยุดพูดจาไร้สาระ แล้วไปสู้กันสักตั้ง” ฝ่ายชายอาวุโสรู้สึกมีน้ำโหขึ้นมาในทันที เมื่อได้ฟังเฉินหลงกล่าวเช่นนั้น เขาจึงเลือกที่จะท้าสู้อีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
เฉินหลงไม่ตอบ ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากปราสาท
พื้นที่กลางแจ้งด้านนอกมีไว้ให้เขาได้สอนบทเรียนแก่ชายอาวุโสที่คิดว่าตัวเองน่าเกรงขาม จนต้องให้คนอื่นไว้หน้าตัวเอง
ด้านนอกของปราสาท ใบหน้าของชายอาวุโสดูตื่นเต้น เหมือนกับว่าสำหรับเขาแล้ว การประลองฝีมือเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุด
“เข้ามาได้เลยครับ”
เฉินหลงกล่าวกับชายอาวุโสมากกว่าตน
ชายอาวุโสที่ไม่เป็นมิตรคนนี้ ปล่อยหมัดใส่เฉินหลงในทันที
กระบวนท่าที่เขาใช้คือ ‘กระบวนท่าที่หนึ่ง หมัดกระสุนทั้งสาม’ ของวู่เต่าเทียน เพียงแต่ กำหมัดของชายคนนี้แข็งแกร่งมากกว่าหมัดของวู่เต่าเทียน
ในตอนที่วู่เต่าเทียนที่พักอยู่ในปราสาทได้ยินชื่อ “หมัดกระสุนทั้งสาม” เขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่าง และ บนใบหน้าของเขาได้เผยความประหลาดใจออกมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็นั่งลงบนเก้าด้วยท่าทางสบายๆ ต่อให้เป็นหมัดกระสุนทั้งสามหรือคนที่เขารู้จัก ในตอนนี้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่ดี
ทางด้านเฉินหลง ในตอนที่เขาเห็นว่าชายอาวุโสคนนี้ใช้หมัดกระสุนทั้งสาม เขาจึงแสดงสีหน้าเรียบเฉยออกมา เนื่องจากว่าเขาไม่ต้องการหลบหลีกการต่อสู้ จึงเลือกที่จะยืนนิ่งอยู่กับที่แทน
ชายอาวุโสได้โอกาส จึงต่อยเข้าไปที่แผงอกของเฉินหลงในทันที
โดยปกติ มันควรจะมีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ แต่บัดนี้ มันกลับไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของชายชราแสดงสีหน้าตกใจออกมาในทันที
เขารู้สึกว่าร่างกายของเฉินหลงเป็นเหมือนกับช่องว่างแห่งความว่างเปล่า ที่ดูดซับพลังของกำหมัดและเสียงของเขาไป
ทันใดนั้น ชายอาวุโสจึงรีบก้าวถอยห่างออกมา และจ้องมองเฉินหลงอย่างระมัดระวัง
“แม้แต่ปลายเส้นผม คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้ ไม่ทราบว่าเมื่อกี้ คุณทำอะไรผมหรือครับ มดยังกัดเจ็บมากกว่าคุณต่อยผมอีก ฮ่าฮ่า” เฉินหลงจ้องชายอาวุโสด้วยสายตาดูถูก
ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของเฉินหลง ใบหน้าของชายชราก็ดูน่าเกลียดน่ากลัวมากขึ้น แต่เขากลับไม่รู้ว่าจะจัดการเฉินหลงได้ยังไง เพราะเมื่อกี้นี้ หมัดของเขาไม่สามารถทำให้เฉินหลงบาดเจ็บได้เลย
“เข้ามาเลยครับ อ้อ แล้วก็ต้องใช้หลังทั้งหมดที่คุณมีด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้น ถ้าผมสู้กลับขึ้นมา คุณคงไม่มีโอกาสได้ใช้พลังอีกแล้ว” เฉินหลงมองใบหน้าน่าเกลียดของชายอาวุโสและปิดปากเงียบสนิท
ชายอาวุโสไม่ตอบ และทำในสิ่งที่เหมือนกับวู่เต่าเทียนไม่มีผิดเพี้ยน
อีกฝ่ายประสานมือเข้าหากัน ท่องคาถาที่เขาไม่รู้จัก และด้วยความเร็วที่เร็วมากกว่าปกติ ทำให้เขาฟังไม่ทันและไม่เข้าใจความหมายของมัน ดูเหมือนว่าชายอาวุโสคนนี้จะใช้ ‘เสิ่นต้า’
อย่างไรก็ตามวิชาเสิ่นต้าที่วู่เต่าเทียนและชายอาวุโสคนนี้ใช้ นั้นแตกต่างจากที่เฉินหลงได้รับมาจากหว่านซูจื่อ
ยกตัวอย่างเช่น วิธีพวกเขาจะเป็นการประสานมือพร้อมกับการท่องคาถา ส่วนวิธีเฉินหลงคือการใช้ความนึกคิดด้วยจิตวิญญาณเพื่อจุติเทพที่ทรงพลังแทน
ไม่นาน ในสายตาของเฉินหลง ได้ปรากฏร่างเงาของแปดเซียนอรหันต์ จากนั้น ร่างเงาก็ได้หายเข้าไปในร่างของชายตรงหน้า
“หมัดมรณะ” ชายอาวุโสทำท่าโซซัดโซเซราวกับคนเมา และพุ่งตัวเข้าไปหาเฉินหลงทันที
“แปดเซียนอรหันต์! ท่าปราบมาร! … โอ้โห! นี่ถึงขนาดเห็นผมเป็นมารเลยหรอครับ ก็ได้ ถ้างั้น พวกเรามาดูกันว่า แปดเซียนอรหันต์จะปราบผมได้ หรือมารอย่างผมจะโค่นล้มเซียนอย่างคุณได้ก่อนกัน!” เฉินหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่านโยน
ชายหนุ่มรู้สึกตกใจไม่น้อยที่เห็นชายอาวุโสตรงหน้าอัญเชิญแปดเซียนอรหันต์ออกมา
แปดเซียนอรหันต์เป็นเทพเซียนที่ทรงพลังที่สุดที่ชายอาวุโสคนนี้สามารถอัญเชิญมาได้ เฮ้อ คุณลุง อย่าหักโหมนักเลย มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนไหมครับ คุณลุงเองก็อายุมากแล้ว ผมไม่อยากถูกคนอื่นตราหน้าว่ารักแกคนแก่เสียหน่อย
เมื่อลองคิดมาถึงจุดนี้ ชายหนุ่มจึงนึกสงสัยว่า เพราะเหตุใด สำนักของลุงคนนี้ถึงได้ต้องการตัวลูกน้องของเขามากขนาดนี้