GGS:บทที่ 779 ผลิกผัน

 

“อา….” เขารู้สึกเหมือนว่ามีภูเขาลูกมหึมาทับหลังเขาอยู่ แต่พอเขาชำเลืองมองไปข้างหลักก็ไม่เห็นอะไรอยู่ข้างหลังเขา

 

เมื่อเห็นฉากนี้ ชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนแรง และชายหน้าปรุเองก็เปลี่ยนสีหน้าไป

ทันใดนั้นก็ได้มีเงามนุษย์ออกมาจากข้างหลังชายทั้งสอง เงาทั้งสองได้หยิบคันธนูขึ้นมาและทำการยิงธนูเข้าใส่ซูจิ้งที่เร็วยิ่งกว่าลูกกระสุนปืน

มันเหมือนกับว่าแรงต้านทางอากาศไม่มีผลกับลูกธนูนั่นแม้แต่น้อยและลูกธนูทั้งสองได้พุ่งตรงไปยังซูจิ้งอย่างรวดเร็ว

 

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ลูกธนูบินวนไปรอบๆซูจิ้งแทนที่จะพุ่งเข้าใส่โดยตรง

ชายหน้าปรุเองก็ได้หัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะขยับมือขวา

ทันใดนั้นลูกธนูก็ได้เปลี่ยนทิศทางอีกครั้งแล้วพุ่งทิ่มแทงไปยังหลังของซูจิ้งอย่างเต็มแรง

 

“ห้ะ” ซูจิ้งประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะก่อรูปพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาในทันทีทำให้ในขณะที่ลูกธนูกำลังจะถึงตัวเขาเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งและตรงไปยังเงาสัตว์ประหลาดนั่น

 

ชายหน้าปรุเองก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ลูกธนูอีกลูกหนึ่งได้พยายามลองพุ่งไปโจมตีซูจิ้งเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงบางอย่างเป็นเสียงของแหลมเล็กส่งเสียงแหวกอากาศ

ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเจ็บปวดที่มือและเท้า ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ได้ทรุดจนเข่ากระแทกพื้นพร้อมแขนที่อ่อนแรงและเงาของเขาเองก็มีท่าทีไม่ต่างกันทั้งยังร้องโอดครวญจนไม่สามารถยิงลูกธนูได้อีกต่อไป

 

ยังเหลือเงาอีกตนหนึ่ง เงานั้นยังคงพยายามยิงธนูไปซูจิ้งอย่างไม่ลดละ

ยังไม่ทันไรชายร่างอ่อนแรงก็ได้ยินเสียงของแหลมแหวกอากาศเช่นกันพร้อมทั้งความรู้สึกเจ็บปวดและทรุดลงไปแบบเดียวกับชายหน้าปรุ แน่นอนว่ารวมถึงเงาของเขาที่ทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนี้

ซูจิ้งปลดปล่อยพลังจิตออกมาแล้วจับเงาสัตว์ประหลาดนั่นเอาไว้ เขาลุกขึ้นยืนพร้อมเดินไปทางตงเซียวอย่างช้าๆ ทีละก้าวๆ

ในขณะนั้นเองทั้งชายหน้าปรุ ชายท่าทางอ่อนแรง และตงเซียว ต่างก็ทำหน้าที่แสดงถึงความตกใจออกมาอย่างสุดขีด เหมือนพวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะขัดขืนไปแล้ว

พลังของซูจิ้งในตอนนี้เหนือกว่าพวกเขาเกินกว่าจะจินตนาการได้ แม้แต่เหล่าหมอ พยาบาล และนักวิจัยต่างก็หลบอยู่ใต้โต๊ะเพื่อหลบให้พ้นสายตาซูจิ้ง

 

ชายท่าทางอ่อนแรงที่กำลังเห็นซูจิ้งใกล้เข้ามานั้น เขากัดฟันและตะโกนออกไปว่า “ไป ตาย ซะ”

เงาของเขาก็ได้พุ่งไปหาซูจิ้งทั้งในสภาพนั้นและไปอยู่เหนือหัวพร้อมยื่นมือไปบนหัวทั้งสองข้าง

ทันใดนั้นก็ได้ปรากฎเตียงออกมาจากความว่างเปล่าแล้วฟาดไปที่ซูจิ้งอย่างเต็มแรง

อย่างไรก็ตามดูเหมือนกับว่ามีแรงอะไรบางอย่างอยู่ อย่าว่าแต่เตียงจะไม่โดนตัวซูจิ้งเลยซักนิด แม้แต่เงานั่นเองก็โดนกดลงพื้นด้วยแรงที่มองไม่เห็น

 

ซูจิ้งจ้องไปยังชายท่าทางอ่อนแรงคนนั้น เขาได้ปลดปล่อยกระแสพลังจิตถาโถมไปยังสมองเพื่อสะกดจิตในทันทีจนทำให้ชายคนนั้นตาเหลือกและแน่นิ่งไป

ด้วยการที่สภาพร่างกายของเขาอ่อนแอ แถมสแตนด์ยังบาดเจ็บอีก ซูจิ้งแทบไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่น้อย

 

ซูจิ้งยังคงเดินต่อไปหาตงเซียวพร้อมถามว่า “ดูเหมือนว่านายจะไม่มีความสามารถอะไรนะ”

 

ตาของตงเซียวลนลานทันทีเมื่อได้ยินพร้อมถามกลับไปว่า “แกเป็นใครกันแน่”

 

ซูจิ้งยิ้มก่อนจะพูดออกมาว่า “ตอบคำถามมาก่อนแล้วกัน ก่อนหน้านี้ในเหตุการณ์ที่แล็บวิจัยของลู่ยิหมิงถูกขโมยงานวิจัย เหตุการณ์กองโจรเกล็ดงู และก็การตายของไคจิ้ง และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเสริมร่างกายนี่ทุกอย่างมีนายอยู่เบื้องหลังงั้นรึ”

 

ตงเซียวยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมตอบว่า “ใช่แล้ว”

ซูจิ้งที่ปล่อยพลังจิตของเขาออกมาโดยรอบอยู่แล้วได้ตรวจจับออร่าของตงเซียวก็พบว่าเขาไม่ได้โกหก ตงเซียวสมควรรู้สถานการณ์ที่ประสบในตอนนี้ว่าไม่ควรพูดโกหกอะไรทั้งสิ้นหรือก่อเรื่องใดๆทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นเขาตายในทันทีแน่นอน

 

ซูจิ้งยิ้มพึงพอใจกับคำตอบก่อนพูดต่อว่า “ดีมาก นี่ช่วยให้ฉันกำจัดปัญหาไปหลายอย่างเลย”

 

ในขณะเดียวกันในห้องวิจัยที่อยู่ข้างๆ ขวดแก้วขวดหนึ่งก็ได้ลอยทะลุออกไปทางประตูและได้มุ่งมาหาที่ซูจิ้ง เมื่อเขามองไปที่มันก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเศษธนูอย่างแน่นอน เขานำเศษลูกธนูออกมาจากขวดแก้วแล้วหยิบมันใส่กระเป๋า ซึ่งแน่นอนว่ามันคือกระเป๋ามิติ

 

หลังจากเห็นซูจิ้งทำเรื่องดังกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว ตงเซียวถึงกับกระตุกมุมปากในทันที

 

ซูจิ้งพูดออกมาว่า “เดิมทีสิ่งนี้เป็นของฉันอยู่แล้ว นายไม่ต้องทำเป็นรู้สึกเจ็บปวดจนออกนอกหน้านักหรอก”

 

ตงเซียวที่ได้ยินดังนั้นถึงกับขมวดคิ้วพลางถามออกมาว่า “คุณจะบอกว่าทั้งสองอย่างนั้นเป็นของคุณงั้นรึ พวกมันมาจากไหนกัน”

 

“นายยังไม่คู่ควรที่จะรู้หรอก” ซูจิ้งยิ้มออกมา เขานั้นอยู่ในสภาพที่อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

ใครจะไปคิดว่าแค่ต้องการจัดการเรื่องเล็กๆจะเป็นกลายจัดการปัญหาใหญ่ทั้งสองในคราวเดียวกัน

ทั้งเรื่องฮอร์โมนเสริมร่างกายและเศษหัวธนูนั้นเป็นปัญหาที่ฝังใจเขาอยู่ซึ่งตามที่จริงควรจะแก้ได้ยากยิ่ง

โดยเฉพาะเศษลูกธนูนี่ถ้าไม่รีบจัดการบอกได้เลยว่าจะกลายเป็นหายนะอย่างแน่นอน นี่ถือได้ว่ายิงธนูนัดเดียวได้มังกรสองตัวเลยจริงๆ

 

ซูจิ้งไม่ได้คิดจะคุยกับตงเซียวอีกต่อไป เขาสะกดจิตตงเซียวในทันที และสั่งให้เขาเรียกทุกคนในองค์กร ทุกส่วนงานให้มารวมตัวกันที่นี่ในทันที

หลังจากที่คนพวกนั้นมารวมตัวกันแล้วซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตทุกคนยกเว้น ตงเซียว ชายอ่อนแรง ชายหน้าปรุ และเงาสัตว์ประหลาด

โดยเขาสะกดจิตคนพวกนั้นให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด

พร้อมทั้งให้ตงเซียวจัดการเคลียทุกร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้น รวมถึงคนที่บาดเจ็บสาหัสทั้งหมด

ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีคนตายในเหตุการณ์นี้เพราะซูจิ้งไม่ฆ่าคนหากไม่จำเป็น

 

ไม่นานนักร่างต้นของเจ้าของเงาสัตว์ประหลาดก็ได้เดินเข้ามา

เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี แต่งตัวเหมือนอันธพาลข้างถนน ที่เขายอมมานี่ไม่ใช่อะไรอื่นหากไม่ใช่เหระเงาของเขาโดนจับตัวไว้เขาจะไม่ยอมกลับลนหาที่อย่างแน่นอน

 

ในห้องลับห้องหนึ่ง ตอนนี้เหลือแต่ซูจิ้ง ตงเซียว ชายหน้าปรุ ชายอ่อนแรง และหนุ่มนักเลง

ในตอนนั้นซูจิ้งได้ยกมือขึ้นมาทันใดนั้นไป๋ฮิตูก็ปรากฎต่อหน้าทุกคน ไป๋ฮิตูสีหน้าในตอนนี้เปลี่ยนสีตลอดเวลา เขายังรู้สึกสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นจนกวาดตามองไปทั่ว

คนอื่นๆเองเมื่อเห็นไป๋ฮิตูปรากฎตัวจากอากาศก็ได้แต่ทำใบหน้ากระตุกเหมือนไม่อยากยอมรับสิ่งที่เห็น

พวกเขาไม่อาจคาดได้เลยว่าซูจิ้งมีทักษะหรือความสามารถอยู่กับตัวเท่าไหร่กันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อซูจิ้งกล้าที่จะแสดงพลังพวกนี้ให้พวกเขาเห็น ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปแน่นอนแล้ว

“ยังมีคนอื่นที่มีความสามารถนี้อยู่อีกรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา

“ไม่มีแล้ว พวกเราเพิ่งจะปลุกพลังได้เพียงหกคนเท่านั้น สองคนได้ตายไปแล้ว พวกเราคือพวกที่เหลือรอดมาได้ทั้งหมด”

“ตายไปสอง นอกจากหยางเฉียนรุยที่ควบคุมความรู้สึกคนได้แล้วยังมีใครอีก”

“ยังมีอันธพาลกระจอกอีกคนหนึ่ง หลังจากหมอนั่นปลุกพลังได้แล้วแต่เขาไม่สามารถปรับสภาพกับพลังที่ตื่นขึ้นได้ เขาก็เลยตายแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัว พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีความสามารถอะไรกันแน่ นอกจากนี้ ไป๋ไทฮองเองสภาพก็ไม่ต่างกันนัก เขาก็เริ่มอ่อนแอลงทุกวัน ถ้าพวกเรายังหาสาเหตุไม่พบ เขาน่าจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นานนัก” ตงเซียวตอบอย่างตรงไปตรงมา

 

ซูจิ้งหันไปมองที่ชายท่าทางอ่อนแอ เขาสมควรจะเป็นไป๋ไทฮองพ่อของไป๋ฮิตู เพราะตอนที่เขาบุกเข้ามาก็พบว่าพลังใจของเขาอ่อนแออย่างมาก

 

“ดี ลองบอกฉันหน่อยว่านายมีความสามารถอะไรแล้ววิธีการใช้งานต้องทำยังไงบ้าง”

ซูจิ้งสั่งออกมาถึงแม้พวกนี้จะพ่ายแพ้ต่อเขาแต่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าความสามารถของสแตนด์แต่ละคนทำอะไรได้บ้าง

ต่อให้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาตรวจสอบดูก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้ครบทุกอย่าง และแน่นอนว่าต้องถูกสแตนด์ต่อต้านอย่างแน่นอน

 

“…..ตกลง” ถึงแม้ตงเซียวจะไม่ใช่คนดีอะไรนักแต่ในฐานะผู้นำเขาย่อมรู้คุณสมบัติของคนในสังกัดแต่ละคนเป็นอย่างดี และเขายอมอธิบายอย่างละเอียดแต่โดยดี