ตอนที่ 660 ต่างมุมมอง

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 660

ต่างมุมมอง

“อาทู้….”พอได้ยินอาทู้พูดเช่นนั้นคนอื่นๆต่างก็มีท่าทีลำบากใจทันที หากนางรับไม่ได้การเป็นศิษย์อาจารย์ระหว่างหลินเฟยกับนางก็อาจจะจบลงเอาตอนนี้เลยก็เป็นได้

“พี่อาทู้ อาจารย์เคยทำพลาดแต่ก็สำนึกผิดแล้ว พี่อย่าต่อว่าอาจารย์แบบนั้นเลยนะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางโน้มตัวเข้าไปหาอาทู้หมายจะปลอบใจนาง

“เปล่า…ข้าไม่ได้หมายถึงอาจารย์หรอก”อาทู้ส่ายหน้าพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย หากนางไม่ได้ต่อว่าอาจารย์ของนางแล้วคำว่า น่ารังเกียจ นั้นนางหมายถึงใครกัน

“อาทู้ งั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร”หลินเฟยถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย หากอาทู้จะด่ามันแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่นางหลุดปากมาเมื่อครู่กลับไม่ได้หมายถึงตนเองเสียอย่างนั้น

“ข้าหมายถึงตัวข้าเองเจ้าค่ะ ทั้งๆที่ข้าควรจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงพวกนั้นแท้ๆ แต่ข้ากลับไม่โกรธอาจารย์เลย”อาทู้ว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ แม้จะได้ยินเรื่องที่หลินเฟยเล่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะหลินเฟยคืออาจารย์ของนาง หรือเพราะหลินเฟยเคยช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้เคยดึงนางออกมาจากที่ที่นางไม่อยากจะอยู่ก็ตาม แต่นางไม่ควรรู้สึกเห็นดีเห็นงามกับคนที่ทำเหมือนกับที่นางเคยโดนกระทำไม่ใช่หรือ แม้หลินเฟยจะไม่ได้บังคับข่มเหงหญิงสาวพวกนั้นแบบที่เจ้าสำนักหมู่ดาวเคยทำ หรือไม่ได้เอาความลับของหญิงสาวพวกนั้นมาเป็นข้อต่อรองกักขังตัวพวกนางเอาไว้ก็ตาม

“ข้ามันน่ารังเกียจ”อาทู้ตัดพ้อพลางกอดร่างตนเองเอาไว้แน่น หากหญิงสาวที่โดนหลินเฟยหลอกให้รักรู้ว่านางคิดอย่างไรคงโดนหญิงสาวพวกนั้นเล่นงานแน่ๆ

“เจ้าเห็นหลินเฟยตอนกลับตัวกลับใจแล้ว จะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก อย่าต่อว่าตัวเองอย่างนั้นเลย”อู๋หมิงตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ

“นับว่าเจ้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ พวกลูกศิษย์ถึงมองเจ้าในแง่ดีอย่างนี้ โชคดีจริงๆที่เจ้ากลับตัวได้”อู๋หมิงปลอบใจอาทู้ก่อนจะหันมามองหลินเฟยด้วยท่าทีโล่งอก เรื่องชู้สาวของหลินเฟยโด่งดังไปถึงอาณาจักรอู๋ เพราะลูกสาวคนใหญ่คนโตของอาณาจักรอู๋ก็ติดกับหลินเฟยเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะเรื่องก่อนหน้านี้ทำหลินเฟยสำนึกได้ ป่านนี้คงวุ่นวายกว่าที่เป็นอยู่ไปแล้ว

“เพราะข้าได้เห็นหรือเจ้าคะ”อาทู้กะพริบตาปริบๆพลางมองไปทางหลินเฟย แน่นอนที่นางไม่มีทางโกรธหลินเฟยแทนพวกผู้หญิงเหล่านั้นได้เพราะนางได้สัมผัสหลินเฟยคนที่ไม่ทำเรื่องแบบนั้นแล้ว ในสายตานางไม่ว่าจะอย่างไรหลินเฟยก็เป็นชายหนุ่มผู้มีความสุภาพและไม่ทำเรื่องเสียมารยาทกับผู้หญิง ตรงกันข้ามหลินเฟยยังเป็นผู้ชายที่เข้าใจและให้เกียรติผู้หญิงที่สุดคนหนึ่งเท่าที่นางได้รู้จักในอาณาจักรซานเลยก็ว่าได้

“อาจารย์ ข้าขอยืมตัวจางจินหน่อยได้หรือเปล่าเจ้าคะ”อาทู้อยู่ๆก็ลุกพรวดเข้าไปหาจางจินที่นั่งเล่นอยู่รอบนอก ทำเอาตัวจางจินหันมามองหลินเฟยด้วยท่าทีงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วหลินเฟยจะยอมหรือไม่

“เจ้าคิดจะทำอะไรงั้นหรือ”หลินเฟยถามพลางขมวดคิ้วสงสัย อยู่ๆอาทู้จะเอาตัวจางจินไปทำอะไร

“ข้าจะไปหาพี่หลู่เซียงแล้วไปเล่ามุมมองของข้าให้พี่หลู่เซียงกับท่านผิงป๋อได้ฟัง”อาทู้ตอบด้วยท่าทีตั้งใจอย่างมาก ผิงป๋อยังโกรธหลินเฟยอยู่ หลู่เซียงก็มองหลินเฟยแย่ลง แต่พวกนางเป็นเช่นนั้นเพราะได้ทราบความเป็นมาของหลินเฟยช่วงที่ทำตัวเลวร้ายอยู่ แต่พวกนางยังไม่รู้ว่าหลังจากหลินเฟยรับผิดแล้วหลินเฟยทำตัวเช่นไรต่อ

“ไม่ต้องหรอก ต่อให้เล่าไปนางก็ไม่หายโกรธข้าหรอก”หลินเฟยส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา แบบนั้นก็เหมือนหลินเฟยส่งอาทู้ไปแก้ตัวนะสิ

“ไม่หรอก ถ้าข้าอธิบายให้พวกพี่หลู่เซียงเข้าใจ พวกนางต้องมองอาจารย์ใหม่แน่ๆ ได้โปรดอาจารย์ ให้ข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”อาทู้ส่ายหน้าพลางยืนยันอย่างหนักแน่น นางไม่อยากให้ทั้งสองมองอาจารย์ของนางในแง่ลบอยู่แบบนี้ นางยังคงจะยืนยัยตามที่นางเคยบอกหลู่เซียงเอาไว้ ว่านางรู้จักชายผู้หนึ่ง ชายคนนั้นเป็นชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่นางรู้จักเลย

“หลินเฟย ให้นางไปเถอะ”อู๋หมิงว่าพลางมองอาทู้ด้วยท่าทีเห็นด้วย แม้จะดูเหมือนการแก้ตัว แต่การให้อาทู้ไปเล่ามุมมองของนางอาจจะดีกว่าปล่อยให้พวกหลู่เซียงและผิงป๋อเข้าใจผิดอยู่แบบนี้ต่อไปก็ได้

“………ก็ได้ จางจินเจ้าพาอาทู้ไปส่งที”หลินเฟยพยักหน้าช้าๆก่อนจะบอกให้จางจินยอมไปกับอาทู้ตามที่นางหวัง

เมื่อได้รับคำอนุญาตจางจินก็เปลี่ยนร่างเป็นมังกรพาอาทู้บินหายไปบนท้องฟ้าทันที แม้จางจินจะพึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองของหลู่เซียงก็ตาม แต่มันก็เป็นถึงอสูรระดับสูงแต่เดินทางไปกลับรอบเดียวไม่สร้างความเหนื่อยให้มันเลยแม้แต่น้อย แถมมันยังบินเร็วขึ้นเพราะมีอาทู้โดยสารอยู่คนเดียวอีกต่างหาก

วูบ…..

ร่างของจางจินตรงเข้าไปที่บ้านตระกูลหลู่ในทันที แน่นอนว่าพวกยามเฝ้าประตูย่อมรู้ว่ามังกรตนนี้เป็นของใครเพราะพวกหลินเฟยพึ่งใช้มันเดินทางกลับไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ทำให้ยามเฝ้าประตูรีบไปตามหลู่เซียงและผิงป๋อที่ยังพักอยู่ในบ้านตระกูลหลู่ออกมารับหน้าทันที

“พี่หลู่เซียง ท่านผิงป๋อ”อาทู้เห็นทั้งสองออกมาก็รีบกระโดดลงจากร่างของจางจินทันที ดูเหมือนพวกนางจะโล่งใจที่หลินเฟยไม่ได้มาด้วยอยู่ไม่น้อยเลย

“อาทู้ เจ้ามาทำอะไรงั้นหรือ”หลู่เซียงถามพลางมองอาทู้ที่เข้ามาหาพวกตนด้วยท่าทีสงสัย เรื่องก่อนหน้านี้ทำให้นางมองหลินเฟยแย่ลงก็จริง แต่น้องสาวที่เข้ามาช่วยอย่างอาทู้นั้นนางยังคงมองเป็นน้องสาวคนหนึ่งเหมือนเดิม

“ข้ามีเรื่องต้องให้พวกท่านได้ฟังเจ้าค่ะ”อาทู้ตอบพลางเข้าไปหาทั้งสองด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก เมื่อทราบแล้วว่าอาทู้มาทำอะไร หลู่เซียงก็พาอาทู้และผิงป๋อไปนั่งคุยกันในห้องรับแขกโดยไม่ให้ใครเข้ามารบกวน โดยเรื่องที่อาทู้เล่านั้นคือเรื่องตอนที่หลินเฟยยื่นมือเข้ามาช่วยนาง และการวางตัวของหลินเฟยตั้งแต่ได้รู้จักกัน หลินเฟยตอนนี้ไม่ได้คบหาใครทั้งนั้น และปรับปรุงตัวเองแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็หวังว่าความแค้นในใจของผิงป๋อจะลดลงบ้าง

.

.

ตุบ….

อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของอาณาจักรซาน ในที่สุดไป๋จูล่งก็เดินทางร่วมกับตงฟางม้าขาวคู่กายมาจนถึงเมืองแห่งหนึ่งตามข่าวลือที่ตนหามาได้แล้ว การตามหาผู้ชายคนเดียวจากคนทั้งอาณาจักรนั้นยากเย็นไม่น้อย แต่ดูเหมือนไป๋จูล่งจะโชคดีอยู่บ้างที่พอได้ทราบข่าวลือมาจากคนภายในเมือง

“พี่ชาย เมืองนี้ล่ะขอรับที่ข้าเล่าให้ฟัง”ชายคนหนึ่งที่นั่งรถม้าตามจูล่งมาตอบพลางลงมาจากรถม้าพร้อมกับจูล่ง

“ดีจัง ข้านึกว่าจะต้องตามหาอีกพักใหญ่แล้วเสียอีก”จูล่งตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีโล่งอก ดูเหมือนที่เมืองนี้จะมีข่าวลือเรื่องชายคนหนึ่งที่มีพลังพิเศษแตกต่างจากคนปกติ แถมยังว่ากันว่าชายคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับอสูรอีกต่างหากทำให้จูล่งรีบตามข่าวลือมาตรวจสอบให้แน่ใจทันที

“พี่สาว ข้ามีเรื่องอยากจะถามหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”หลังจากเข้ามาในเมือง จูล่งก็ตรงเข้าไปหาชาวเมืองที่อยู่ใกล้ๆทันที

“เอ๊ะ คุณชายไม่ทราบมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”หญิงสาวถามพลางถอยห่างจูล่งเล็กน้อย ยามนี้จูล่งก็ยังคงสวมเสื้อผ้าที่พวกท่านน้าทำให้ หรือก็คือชุดที่สร้างจากวัสดุของอสูรนั่นเอง แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็ยังมองออกได้ทันทีว่าชุดของจูล่งพิเศษมาก อาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นขุนนางเลยก็ได้

“ข้ากำลังตามหาชายผู้หนึ่งที่มีความสามารถแปลกประหลาดอยู่ขอรับ”จูล่งตอบพลางยิ้มกว้างด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามหญิงสาวกลับมีท่าทีหวาดกลัวออกมาเสียอย่างนั้น

“ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านไปถามคนอื่นเถอะ”หญิงสาวตอบพลางปลีกตัวหนีไปทางอื่นทันที แต่จูล่งกลับไม่ได้มองว่าท่าทีของนางแปลกประหลาดอะไร แถมยังเดินไปถามคนในเมืองต่อ แต่ไม่ว่าจะถามใครก็ไม่มีคนไหนกล้าตอบเลย

“แปลกจัง….”จูล่งถอนหายใจออกมาระหว่างเดินไล่ถามคนในเมืองไปเรื่อยๆ ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จักหรือไม่รู้เรื่อง แต่กลับมีท่าทีไม่ยอมตอบเสียมากกว่า หรือว่าคนที่จูล่งถามถึงจะน่ากลัวมากกันแน่

“พี่ชายท่านนั้น ไม่ทราบว่าข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่าขอรับ”จูล่งเดินยิ้มเข้าไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหาจูล่งทันที เพียงแต่ชายคนนี้มีท่าทีต่างออกไป มันยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆด้วยท่าทีขำๆ

“ได้สิ ถามมาเลยน้องชาย”ชายคนนั้นว่าพลางจับไปที่ดาบข้างเอวของตนเอง เรื่องที่มีคนมาถามหาชายมีความสามารถแปลกประหลาดได้ยินไปทั้งเมืองแล้ว ทำให้ชายผู้นี้ออกมาดูว่าใครกันแน่ที่มาถาม ไม่นึกว่าคนที่มาสืบเรื่องนี้จะไม่ระวังตัวเดินเข้ามาถามซื่อๆแบบนี้

“ข้ากำลังตามหาชายคนหนึ่งขอรับ ได้ยินว่าชายคนนั้นมีความสามารถพิเศษแปลกประหลาดมากขอรับ”จูล่งถามคำถามเดิมด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้สนใจมือที่จับไปที่ดาบของฝ่ายตรงข้ามเลย

“งั้นเหรอ มีอะไรสังเกตได้มากกว่านี้หรือเปล่า”ชายหนุ่มถามพลางกำด้ามดาบอย่างโจ่งแจ้ง

“ข้าได้ยินว่าชายคนนั้นเกี่ยวข้องกับอสูรด้วยขอรับ”จูล่งตอบตามข่าวลือที่ได้ยินมา ผู้มีพลังดึงดูดเหล่าอสูรย่อมมีความเกี่ยวข้องกับอสูรอยู่แล้ว

“งั้นก็คงเป็นคนเดียวกันกับที่ข้ารู้จักแล้ว เจ้าตามหาคนพวกนั้นต้องการอะไรงั้นหรือ”ชายหนุ่มถามด้วยท่าทียิ้มแย้ม แต่ตัวมันกลับเผลอปล่อยจิตสังหารออกมาเสียอย่างนั้น

“ข้าคิดว่ามันเป็นญาติห่างๆของข้าขอรับ ข้าอยากจะพบมันเสียหน่อย”จูล่งยังคงตอบคำถามโดยไม่สนจิตสังหารเล็กกระจ้อยร้อยของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่ระแวงก็ได้ที่มาถามหาคนรู้จักของมัน

“เหรอ เจ้าเป็นญาติมันสินะ…”พูดจบชายหนุ่มก็ดึงดาบออกมาจากฝักก่อนจะเหวี่ยงเข้าใส่ไป๋จูล่งในทันที

“……….”จูล่งกะพริบตาปริบๆมองดาบที่พุ่งเข้ามาหาตัวเองด้วยดวงตาสีแดง มันเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายต้องโจมตีมันด้วย ระหว่างกำลังตัดสินใจว่าจะตอบโต้หรือปล่อยผ่านดีจูล่งก็ใช้ดวงตาสีม่วงเพื่อตรวจสอบพลังวิญญาณของอีกฝ่าย และใช้ดวงตาสีทองเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของดาบ เมื่อเห็นว่าพลังวิญญาณของอีกฝ่ายอยู่ระดับไหนและดาบของอีกฝ่ายเป็นของเช่นไร จูล่งก็ไม่ใส่ใจที่จะหลบอีกต่อไป

เคร๊ง!!