เสวี่ยเอ๋อร์มองดูร่างที่โดดเดี่ยวนั้น ดวงตาของนางฉายแววเศร้าและจนใจ แต่แล้วก็กลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางยิ้มสดใสออกมาขณะเดินตรงไปยังร่างนั้น
ร่างนั้นยังคงยืนอยู่จุดเดิม ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปอยู่ข้างๆ นางก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ บนใบหน้าของนางสวมหน้ากากทองแดงเอาไว้ หน้ากากคลุมปิดทั้งใบหน้าของนาง เผยให้เห็นแค่ดวงตาที่นิ่งสงบและเฝ้ารอคอย
“ศิษย์พี่ ชีวิตตอนนี้ดีมากเลย ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเราจะสามารถอยู่แบบนี้ได้ หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตข้า” เสวี่ยเอ๋อร์มองตามสายตาของหญิงสาวอีกคนที่มองไกลออกไป ใบหน้ากลมเล็กอมชมพูของนางดูเหมือนแอปเปิ้ลมาก
หญิงสาวสวมหน้ากากหันหน้ามามองเสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังยิ้มอย่างน่ารักราวดอกไม้ผลิบาน จากนั้นนางก็พยักหน้าเล็กน้อย
เสวี่ยเอ๋อร์พูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ ท่านว่าที่ท่านประมุขพูดเป็นความจริงรึเปล่า? ผู้มีพระคุณของเรากำลังกลับมาจริงๆหรือ?”
ดวงตาของหญิงสาวสวมหน้ากากเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วแววตาระยิบระยับนั้นก็ลดระดับลงเป็นความเศร้าเสียใจ
“ถ้าท่านเย่เม่ยพูดกับท่านประมุขเช่นนั้น มันก็คงเป็นความจริงนั่นแหละ” หญิงสาวสวมหน้ากากตอบ
“มิน่าท่านประมุขถึงได้เร่งให้เราจัดระเบียบสาขาต่างๆให้เรียบร้อย ท่านประมุขคงอยากให้ผู้มีพระคุณของเราได้เห็นดินแดนที่เกิดใหม่นี้ล่ะมั้ง?” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวพร้อมหัวเราะ
ทั่วทั้งวิหารหยกวิญญาณ การที่ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกนางที่โลภมากอยากได้อะไรจากพวกชาวบ้านนั้น ไม่ใช่แค่เพราะประมุขวิหารหยกวิญญาณออกคำสั่งอย่างเข้มงวดเท่านั้น แต่เป็นเพราะพวกนางตระหนักดีว่าทุกสิ่งที่พวกนางได้รับในวันนี้มาจากไหน
พวกนางไม่ใช่คนที่ล้มล้างสิบสองวิหาร รางวัลเหล่านี้ไม่ควรเป็นของพวกนาง พวกนางแค่จัดการสิ่งต่างๆแทนคนผู้นั้น แม้ว่าประมุขวิหารหยกวิญญาณจะไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกนางก็รู้ดีว่าทุกอย่างที่ประมุขวิหารหยกวิญญาณกำลังทำอยู่คือการพยายามชำระล้างดินแดนสกปรกเหล่านี้เพื่อส่งคืนให้กับคนผู้นั้น
ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางควรได้รับ
วิหารหยกวิญญาณไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของสิบสองวิหาร สิ่งที่พวกนางแสวงหามาโดยตลอดไม่ใช่อำนาจสูงสุด แต่เป็นลมหายใจแห่งอิสรภาพ
“อืม” หญิงสาวสวมหน้ากากตอบเบาๆ ดวงตายังคงมองไกลออกไป ครั้งนี้แววตาของนางแฝงความเศร้าและสับสน
มันมีทั้งความคาดหวังเฝ้ารอ และดูเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง novel-lucky
ทันใดนั้น ที่เส้นขอบฟ้าซึ่งสวรรค์และแผ่นดินมาบรรจบกัน มีจุดสีดำสองจุดปรากฏขึ้นและค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นภายใต้แสงตะวัน
ดวงตาของหญิงสาวสวมหน้ากากเบิกกว้าง ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้น ร่างสามร่างพลันปรากฏขึ้นข้างๆนางและเสวี่ยเอ๋อร์ คนทั้งสามที่สวมชุดสีดำคือเย่ฉา เย่กู และเย่เม่ย ดวงตาของชายทั้งสามสว่างไสวราวคบไฟขณะที่มองดูจุดสีดำทั้งสองค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ความตื่นเต้นกระวนกระวายปรากฏขึ้นในแววตาของพวกเขา
พวกเขายืนอยู่ที่นั่นแค่ชั่วพริบตา แล้วทันใดนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปหาร่างทั้งสองนั้น!
เสวี่ยเอ๋อร์จับมือของหญิงสาวสวมหน้ากากอย่างประหม่าและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ศิษย์พี่!! ศิษย์พี่!! นั่น…… นั่น……”
“นางกลับมาแล้ว” หญิงสาวสวมหน้ากากหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เสวี่ยเอ๋อร์จ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง มองดูเงาร่างทั้งสองที่ค่อยๆชัดเจนขึ้น
บนหลังม้าสีขาวอันสง่างาม หญิงสาวผู้งดงามไร้ที่ติและชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนกำลังขี่ม้าเคียงคู่กัน สายลมแรงพัดผมของพวกเขาปลิวไสวอยู่ด้านหลัง ดูเหมือนร่างทั้งสองได้ทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังในที่ที่พวกเขาผ่านไป
เย่ฉาและอีกสองคนเร่งความเร็วไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับพวกเขา ทันทีที่พวกเขากำลังจะถึงร่างทั้งสอง ทั้งสามคนก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน!
“ข้าน้อย เย่ฉา (เย่เม่ย, เย่กู) ขอต้อนรับการกลับมาของนายท่านเจว๋และคุณหนูขอรับ!”