เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง หันไปมองปลอกนิ้วมังกรที่อยู่ในมือของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก
สักพักต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอค่อยแค่นเสียง จัดการให้ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกดูแลมัน เพื่อไม่ให้มันดิ้นหลุด
จากนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายคลึงเสาระเบียงวังเทพที่หดเล็กลงอยู่ในลักษณะกระบองหิน ส่วนมือขวาถือกระบี่สั้น พลางสาวเท้าเข้าไปด้านในวังที่ดูธรรมดาแต่กลับน่าอัศจรรย์
วังนั้นสร้างจากก้อนหิน เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าหินที่ใช้สร้างวังเป็นชนิดเดียวกับหินโสโครกที่อยู่ในโพรงหินด้านนอก
คล้ายกันจนถึงขั้นแยกจากกันไม่ได้ เหมือนกับว่าอาคารหิน ‘เติบโต’ ขึ้นมาจากในโพรงหิน
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในวัง เสาระเบียงวังเทพที่อยู่ในมือซ้ายพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง
…คล้ายกับมีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดมันอยู่
เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นคานที่อยู่เหนือเสาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
เป็นเพราะวัสดุของคานนั้นแตกต่างกับวัสดุของตัววัง มิได้เกิดจากโพรงหิน ดูไปไม่ใช่หิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่ไม้ ทำให้คนแยกแยะไม่ออก
คานเปล่งประกายหลากสีสัน แสงสว่างอันลี้ลับหลายสายห้อยย้อยลงมาเหมือนกับเชือกผ้าไหมหลายเส้น
เยี่ยนจ้าวเกอมองคานนี้ พลันยิ้มขึ้นในทันใด
ผิวคานปรากฏลวดลายเปล่งแสงระยิบระยับหลายสาย ด้านในมีจิตของหลักการอันน่าอัศจรรย์ไหลออกมา
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้น ‘เป็นคานของวังเทพในอดีตจริงๆ มิน่าเสาระเบียงวังเทพถึงได้มีปฏิกิริยา’
คานนั้นคล้ายกับได้รับผลกระทบจากเสาระเบียงวังเทพ เริ่มสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายกำลังดึงดูดซึ่งกันและกัน
เขากระโดดมาอยู่ใต้คาน เพื่อสำรวจอย่างละเอียด ในใจค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาบ้าง
‘ที่แท้วังทั้งวังเกิดจากคานวังเทพนี้’
เยี่ยนจ้าวเกอพลันเข้าใจ คานวังเทพหายมาอยู่ที่นี่ เนื่องจากพลังชีวิตของมัน หลังจากค่อยๆ หลอมรวมกับสภาพแวดล้อม ก็รวบรวมดินและก้อนหินที่อยู่รอบๆ มาประกอบกันกลายเป็นวังหินที่เรียบง่ายโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง
วังแห่งนี้ไม่เคยเปรอะเปื้อนด้วยมือคน เนื่องจากผู้ที่สร้างมันขึ้นก็คือคานนี้เอง
ชายหนุ่มมองคานวัง แล้วมองเสาระเบียงวังเทพในมือ ในใจรำพึงรำพันมากมาย
ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนเหมือนกับลอยอยู่บนกระแสธารของเวลาอันยาวนาน กลับไปสู่ยุคก่อนมหาภัยพิบัติอีกครั้ง
นี่เป็นการสัมผัสทางจิตใจ ความคิดของเขาเหมือนกำลังได้รับผลกระทบจากเวลา
เขาระบายลมหายใจออกยาวๆ เพื่อสงบจิตใจของตัวเอง ให้ความตั้งมั่นสลัดหลุดออกมาจากสิ่งแวดล้อมที่สับสน
หลังจากตรวจสอบคานวังเทพอย่างละเอียด เขาเห็นแสงสว่างหลายสายที่กระจายออกมาจากผิวของมันค่อยๆ ประกอบกันกลายเป็นลวดลายอันวิจิตร
ลวดลายนั้นดูไปลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง ยากจะทำความเข้าใจนัก แต่หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอสำรวจมันสักพัก ในใจก็มั่นใจ ‘ใช้เคลื่อนย้ายมิติระยะสั้น’
เมื่อเข้าใจแล้วว่าเป็นอะไร ชายหนุ่มก็อดถอนใจไม่ได้
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเหตุใดปฏิกิริยาของกระบี่หยกถึงได้เบาบางลง นั่นเป็นเพราะตำแหน่งของสือจวินกับตนออกห่างกันอย่างรวดเร็ว
สือจวินน่าจะพบสถานที่แห่งนี้เช่นกัน ทว่ากระทบถูกค่ายกลขณะที่ตรวจสอบคานวังเทพนี้ จากนั้นก็ถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายไป
เยี่ยนจ้าวเกองอนิ้วดีดใส่คานไม้เบาๆ จากนั้นก็ยื่นนิ้วออกมาจิ้มใส่ลวดลายค่ายกลนั้น
แสงสว่างมากมายพลันรวมตัวกัน ม้วนเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไป เขตแดนของมิติในตอนนี้เหมือนกำลังถูกลบทิ้ง
เขาพลันยิ้ม แทงเสาระเบียงวังเทพที่เหมือนกับกระบองสั้นหลังจากหดเล็กลงใส่คานนั้น
เสาระเบียงกับคานพลันสั่นไหวพร้อมกัน
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกฉวยโอกาสออกแรง มือข้างหนึ่งจับปลอกนิ้วมังกร อีกข้างหนึ่งจับคานเอาไว้
คานสั่นสะเทือนเลือนลั่น แยกออกจากวังหิน หล่นลงในมือของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก
เมื่อค่ายกลที่ใช้เคลื่อนย้ายมิติสูญเสียคานที่เป็นฐานไป ก็พลันปั่นป่วนขึ้นมา แต่เยี่ยนจ้าวเกอฉวนโอกาสนี้พาร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกหายไปกลางแสงสว่าง อาศัยการแสดงพลังครั้งสุดท้ายของค่ายกล ออกจากโพรงหินก้นทะเล
เพียงแต่ระหว่างที่เลื่อนย้ายมิติ ปราณวิญญาณหลายสายก็กระเพื่อมขึ้น พรั่งพรูออกมาจากคานหลังจากเสาระเบียงวังเทพสัมผัสเข้า
ในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอพลันปรากฏภาพเงาแสงมากมาย
คล้ายกันกับตอนที่ตนเก็บเสาระเบียงวังเทพ ภาพเหล่านี้เหมือนกับบันทึกวันเวลาอันยาวนานที่คานวังเทพนี้ได้พบผ่านหลังจากวังเทพถูกทำลาย กลายเป็นเศษซาก หล่นลงจากท้องฟ้าในหายะครั้งนั้น
ภาพส่วนใหญ่เหมือนเดิม เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่าคานของวังเทพถูกฝังอยู่ใต้ก้นทะเลตาข่ายดาวบนโลกผืนสมุทร หลังจากพลังวิญญาณค่อยๆ เพิ่มขึ้น ก็เหนี่ยวนำให้พื้นดินรอบๆ เปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็ก่อสร้างวังหินขึ้นโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง
นั่นเป็นกระบวนการที่ยาวนานนัก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใช้เวลาทุกหยาดหยด ทุกนาที ทุกวินาที
ในช่วงแรกเริ่ม ลักษณะของวังเทพยังหยาบกร้านกว่าตอนนี้นัก หลังจากเวลาผ่านไป ยิ่งมาก็ยิ่งวิจิตรขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อว่า ถ้าหากวันนี้ตนไม่นำคานนี้ไป อีกหลายสิบปี หลายร้อยปี วังหินก้นทะเลแห่งนั้นจะงดงามกว่าเดิม พื้นผิวเหมือนกับมีช่างแกะสลักจำนวนนับไม่ถ้วนสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจ
ในภาพมากมายที่บันทึกอยู่ในคานวังเทพนั้น ภาพที่ดึงดูดความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอคือ เมื่อหลายปีก่อนมีคนเคยมายังด้านในโพรงหินก้นทะเลแล้ว
ทว่านั่นมิใช่สตรีที่เกี่ยวข้องกับมงกุฎจันทรา แต่เป็นบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีดำผู้หนึ่ง
ผิวของเขาซีดขาว สีหน้าเย็นชา พลังฝึกปรือมิได้ล้ำลึกเหมือนสตรีนางนั้น ดูแล้วยังไม่ได้สำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ หรือไม่ก็เป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมโดยประมาณ
ครั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นี้เห็นคานวังเทพแล้ว เขาพลันรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็เหม่อลอย
เขาคิดจะเก็บคานวังเทพ แต่ว่ากลับไม่สำเร็จ
บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์ดำสายตากระจ่างชัดขึ้นหลายส่วน พึมพำกับตัวเอง “ต้องใช่แน่ ต้องใช่แน่…นี่คือของวิเศษก่อนมหาภัยพิบัติ! ทั้งยังเป็นของวิเศษที่เยี่ยมยอดมาก! เป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับวังเทพสวรรค์ในตำนานแห่งนั้น!”
“ไม่แน่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวังเทพสวรรค์! เสียดาย เสียดายนัก จะเอามันไปจากที่นี่ได้อย่างไร?”
เขาหยุดอยู่ที่นี่หลายวัน ทว่ายังคงจนปัญญา ไม่อาจนำคานวังเทพไปได้ สุดท้ายได้แต่ปล่อยวางอย่างหมดหนทาง
กระนั้นสีหน้าของเขาไม่เศร้าโศกแม้แต่น้อย “ช่างเถอะ ข้าไปตามหาแดนฝังกระดูกของฝูงมังกรลอดวารี ถ้าหากได้อะไรจากที่นั่นมาเพิ่มพลังตนเองได้มากพอ บางทีอาจจะกลับมาเอาคานไม้นี้ไปได้”
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าโลกผืนสมุทรเล็กๆ แห่งนี้จะมีโชควาสนาและของล้ำค่ามากมายเช่นนี้ ไม่เสียทีที่ข้าดั้นด้นลงมาถึง”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ บุรุษชุดดำหมุนกายออกจากโพรงหิน ภาพที่เกี่ยวข้องกับเขาจบลงเท่านี้
คนผู้นี้จากไปแล้วไม่กลับมา หลังจากนั้นก็มิได้ปรากฏตัวขึ้นอีก
เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพนี้อย่างเงียบๆ สมองทำงานดุจสายฟ้า เกิดเป็นความคิดมากมายในชั่วพริบตา