ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 534 ขั้นรูปญาณระยะกลาง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ถึงแม้จะเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่คำพูดของบุรุษในอาภรณ์ดำผู้นี้ก็มีหลายส่วนที่ทิ้งภาพจำอันล้ำลึกไว้ให้เยี่ยนจ้าวเกอ

แดนฝังกระดูกของฝูงมังกรลอดวารี

ดั้นด้นมาถึงโลกผืนสมุทรเล็กๆ

เมื่อพูดถึงแดนฝังกระดูกของฝูงมังกรลอดวารี เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกตกตะลึง คล้ายกับรู้สึกว่าลมปราณอันยิ่งใหญ่ในร่างของตัวเองสั่นไหวเล็กน้อย

ลมปราณของมังกรน้ำแข็งที่อยู่ในจุดลมปราณยังไม่ถูกหลอมรวมจนหมด

หลังจากเวลาผ่านไปหลายวัน ตนเองเหยียบเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ ลมปราณที่ดูดซับมาจากซากมังกรน้ำแข็งยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

ภาพที่ตนเข้าไปยังที่อยู่เดิมของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งและได้ซากมังกรน้ำแข็งมา เหมือนกับปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

‘ในโลกผืนสมุทรก็มีตำนานฝูงมังกรลอดวารีหรือ? หรือว่าแดนฝังกระดูกของฝูงมังกรลอดวารีจะมีเบาะแสให้เสาะหา?’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาสนใจกว่าก็คือ ประโยคสุดท้ายก่อนที่บุรุษในอาภรณ์สีดำผู้นั้นจะจากไป

‘ลงมา?’ เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา ‘ไม่ใช่แค่มาถึงธรรมดา แต่เป็นการลงจาก ‘ที่สูง’ มายัง ‘ที่ต่ำ’ เขาลงมาจากที่ใดกัน?’

ชายหนุ่มรู้แล้วว่ามีโลกซ้อนโลกอยู่ และรู้แล้วว่ามารดาของตนมาจากที่นั่น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาใหนหัว ย้อมเป็นบุรุษชุดดำผู้นั้นอาจจะมาจากโลกซ้อนโลกเช่นเดียวกัน

พลังฝึกปรือของคนผู้นี้ อย่าว่าแต่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สี่เลย ขนาดจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ถึง

เขาออกจากโลกซ้อนโลก มายังโลกผืนสมุทร เพราะต้องการอาศัยอยู่ที่นี่หรือ?

ถ้าหากไม่ใช่ เช่นนั้นเขากลับโลกซ้อนโลกได้อย่างไร?

ในมือครอบครองของวิเศษที่สามารถทำให้รอยแตกของเขตแดนเสถียรได้ ตามคำกล่าวของเสวี่ยชูฉิงหรือไม่?

ตอนนี้บุรุษชุดดำอยู่ที่ใด? กลับโลกซ้อนโลกไปแล้วหรือ?

‘ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดหวัง ก็น่าจะกลับไปยังโพรงหินก้นทะเลแห่งนั้น เพื่อตามหาคานวังเทพอีกครั้ง’ เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าช้าๆ ‘ไม่ว่าเขาจะได้อะไรจากแดนฝังกระดูฝูงมังกรหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะเลื่อนระดับพลังของเขาได้หรือไม่ หลังจากจัดการเรื่องนั้นเสร็จ ก็น่าจะกลับมาทดลองที่นี่’

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ ‘ดูจากเหตุการณ์ที่บันทึกอยู่ในเงาแสงนั่นแล้ว การไปถึงโพรงหินก้นทะเลของเขาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมาก เกรงว่าอาจจะผ่านไปหลายร้อยปีแล้วด้วยซ้ำ…’

หลังจากเวลาผ่านไป ภาพเงาแสงที่ส่งมาจากคานวังเทพก็เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

การดูภาพเหตุการณ์ซึ่งบันทึกอยู่ในคานวังเทพเหมือนใช้เวลายาวนาน แต่ความจริงเป็นเวลาแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น

ชายหนุ่มรู้สึกว่าเบื้องหน้าตนมีโอกาสที่ยากจะพบพานยิ่ง

เนื่องจากการเชื่อมต่อกันระหว่างเสาระเบียงวังเทพและคานวังเทพ ระหว่างทั้งสองจึงเกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งขึ้น คล้ายกับประกอบกันเป็นสภาพแวดล้อมที่มีเอกลักษณ์ ไหลทวนกระแสเวลา เปลี่ยนเวลาชั่วพริบตาให้ยาวนานขึ้น

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจเจอได้เพราะแค่สัมผัสเสาระเบียงวังเทพหรือคานวังเทพ

ถึงจะเป็นการพบกันระหว่างเสาระเบียงวังเทพและคานวังเทพ ก็เป็นการรวมตัวกันครั้งแรก เมื่อครู่จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งดูภาพในเงาแสงที่ถูกบันทึกไว้ในคานวังเทพ ทางหนึ่งกลั้นหายใจใช้ลมปราณอย่างเงียบเชียบ

เขามีวรยุทธ์และทรัพยากรมากมาย สิ่งที่ขาดมีเพียงเวลาและการสั่งสมเท่านั้น

ในสถานการณ์ที่ชั่วพริบตาเดียวยาวนานไร้สิ้นสุดเช่นนี้ สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้วเป็นโอกาสที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะปรับลมหายใจ อาคมจริงแท้อันเป็นญาณวรยุทธ์หนึ่งก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็มีอันที่สอง และอันที่สาม

ส่วนเหตุการณ์ที่บันทึกอยู่ในคานวังเทพ หลังจากบุรุษอาภรณ์ดำหายไปแล้ว ก็ไม่มีใครมาเยือนโพรงหินใต้ทะเลอีก จนกระทั่งเงาร่างทั้งสองปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

เยี่ยนจ้าวเกอกระตือรือร้นขึ้นมา เพราะคนหนุ่มหนึ่งในสองคนนั้น ก็คือสือจวินที่เติบโตขึ้นแล้ว

ถึงจะไม่เคยพบหน้ากันตรงๆ แต่ว่าสวีเฟยเคยมอบภาพเงาแสงของสือจวินให้เขาดูแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ชายหนุ่มจึงพอจะจำอีกฝ่ายได้

ทว่าเมื่อมาถึงโพรงหินก้นทะเล สือจวินมีบาดแผลติดตัวมาด้วย

ก่อนหน้านี้เขาใช้กระแสน้ำแสงดาวกลบฝังจอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิต ถึงแม้จะหนีลงใต้ดิน แต่ก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

คนที่อยู่กับสือจวินยังมีสตรีอายุน้อยนางหนึ่ง มีใบหน้าโดดเด่น ดูอ่อนโยนและงดงาม

นางประคองสือจวินเข้ามาในวังหินแห่งนั้น

ขณะมองเหตุการณ์นี้ มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอก็โค้งขึ้นเล็กน้อย ‘โอ้ แขนขาสัมผัสกันปกติเช่นนี้หรือ? เด็กน้อยผู้นี้ ไม่เลวๆ”

สตรีนางนี้น่าจะเป็นธิดาของท่านสำนักมังกรโลหิตเฉินซื่อเฉิง เฉินอิ๋ง

เฉินอิ๋งประคองสือจวินนั่งลง ถามอย่างเป็นห่วง “พี่สือ ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”

สือจวินโบกมือ “ไม่เป็นไร เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านปกป้องข้าไว้ ข้าจึงไม่เป็นไร” เฉินอิ๋งกล่าว

เขามองเฉินอิ๋งแวบหนึ่ง “เมื่อครู่ข้าจนตรอกเต็มที ไม่เช่นนั้นคงรับมือศัตรูจำนวนมากได้ เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าศิษย์ร่วมสำนักของเจ้าไม่น่าจะรอด”

เฉินอิ๋งถอนใจเบาๆ สีหน้ากลายเป็นเศร้าสร้อย “พวกเขาคิดสังหารท่าน ท่านย่อมต้องปกป้องตัวเอง แต่ใจข้าอดกลั้นไม่ได้ ถึงอย่างไรต่างเป็นศิษย์ร่วมสำนักของข้า”

“จะว่าไปเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะข้า ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยข้าจากเหนียนเหว่ย ท่านคงไม่ต้องขัดแย้งกับคนในสำนักข้า”

สือจวินเอ่ยว่า “นอกจากเจ้าแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่ค่อยถูกกับคนในสำนักมังกรโลหิตอยู่แล้ว”

“ใบไม้ไข่มุกนั่นข้าเป็นคนเจอก่อนแท้ๆ ศิษย์ร่วมสำนักของเจ้ากลับอาศัยคนหมู่มากแย่งไป ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหยุดไว้ ตอนนั้นข้าคงลงมือกับพวกเขาไปแล้ว”

“แต่ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบพวกเหนียนเหว่ย อย่างไรพวกเจ้าก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ตามเหตุผลแล้วข้าไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างลูกศิษย์ของสำนักมังกรโลหิต เพียงแต่เขาคิดจะเล่นสกปรกกับเจ้า ข้าไม่อาจทนมองการกระทำเข่นนั้นได้ สุดท้ายได้แต่ต้องลงมือ”

เฉินอิ๋งเงยหน้าขึ้น มองสือจวินอย่างเป็นห่วง

ฝ่ายชายยิ้มเล็กน้อย “เมื่อครู่นี้เหนียนเหว่ยถูกข้าคิดบัญชีด้วยมือตัวเอง”

“ข้าทราบว่าเจ้ามีท่านตาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักมังกรโลหิต ทั้งยังถูกจัดเป็นยอดฝีมืออันดับแรกๆ ของโลกผืนสมุทร แต่สำหรับการสังหารคนขี้แพ้อย่างเช่นเหนียนเหว่ย ข้าไม่เสียใจ”

สือจวินกล่าวพลางเม้มปากเล็กน้อย “คนเรากล้าทำกล้ารับ ท่านตาของเหนียนเหว่ยคิดสังหารข้าแก้แค้นให้หลาน ข้าไม่เกรงกลัว เพียงเป็นห่วงว่าจะพัวพันไปถึงท่านอาจารย์กับเขาหงส์วิเศษ”

เฉินอิ๋งขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ

เขามิใช่คนมองโลกในแง่ร้าย หลังจากปรับลมหายใจแล้ว เขารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บไม่เป็นปัญหา จึงยืนขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ชอบบอกเสมอว่าข้าใจร้อน ตอนนี้ตัวข้าเองมีความรู้สึกเช่นนี้ บอกตามตรงว่าเมื่อเรื่องมาถึงตอนนี้ ข้าเองก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ไม่เสียใจเด็ดขาด”

“ถ้ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ข้าจะยังช่วยเหลือเจ้า เพียงข้าอาจจะอดทนอีกหน่อย พยายามไม่ฆ่าคน แต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น อาจเป็นข้าที่ตายด้วยน้ำมือศิษย์ร่วมสำนักของเจ้า”

“ท่านพี่สือ…” เฉินอิ๋งเอ่ยเรียกเสียงเบา

สือจวินปรบมือ กล่าวว่า “คนที่ร่วมทางกับพวกเหนียนเหว่ยอาจจะคนออกไปแจ้งข่าวแล้ว อีกไม่นานน่าจะมีคนไล่ล่าตามมา”

“เรื่องต่อจากนี้ค่อยกว่ากันทีหลัง พวกเราลองสำรวจที่นี่ดูก่อนเถอะ”

เฉินอิ๋งพยักหน้า “ตกลง”

สือจวินมองดูคานที่แตกต่างกับส่วนอื่นของวังหินไปพลาง หยิบกระบี่หยกออกมาจากในอกไปพลาง ‘ท่านอาจารย์หรือ? หรือว่าเป็นอาจารย์อาเสี่ยวเยี่ยน?’

ภาพที่เกิดขึ้นต่อไปก็คือพวกเขาสัมผัสคาน ทำให้ค่ายกลทำงานโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ถูกส่งออกไป

ภาพเงาแสงมากมายที่ปรากฏในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอหยุดลงแค่นี้

เขานวดขมับของตัวเองเบาๆ

ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์มากมายที่ได้เห็นเมื่อครู่ สุดท้ายแล้วภาพหยุดลงที่สือจวินสัมผัสคานวังเทพ โดยมีร่างของเฉินอิ๋งที่อยู่ด้านหลัง

ความกระจ่างหายไปจากใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ รอยยิ้มสลายไป เขาเอาแต่เงียบงันไม่พูดจา

เขารู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะดึงสติกลับมา พบว่าการเคลื่อนย้ายได้จบลงแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอสลัดความคิด ตวาดเสียงเบา มีรูปญาณอยู่เหนือศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะกลายเป็นค่ายกลขนาดยักษ์ในขณะที่ลอยอยู่!