การถ่ายทำละครถูกเริ่มขึ้นหลังจากเกิดข่าวฉาวได้ไม่นานนัก และเนื่องจากว่าเป็นข่าวฉาวที่เกิดขึ้นก่อนนักแสดงหญิงหน้าใหม่ไม่เป็นที่รู้จักจะเริ่มแสดง สายตาของเหล่าทีมงานที่มองยูมินจึงไม่เป็นมิตรนัก
แต่ยูมินก็มาถึงสถานที่ถ่ายทำก่อนเวลาสแตนด์บายหนึ่งชั่วโมงเสมอ ทั้งยังเล่นฉากอันตรายที่ควรใช้สตั๊นด้วยตัวเองอย่างไม่มีที่ติ ด้วยเหตุนั้นทำให้บรรยากาศอึมครึมในกองถ่ายตั้งแต่ช่วงแรกค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละนิด เว้นเสียแต่คนสองคนที่ควรอ่อนโยนต่อกัน
“หลังเลิกงานกลับรถผมนะ ผมเอารถมา”
อึยชานรออยู่หน้าห้องแต่งตัวนักแสดงหญิงเป็นฝ่ายเปิดสนทนา นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดในรอบหลายวันหลังจากลังเลแล้วลังเลอีก แต่คำตอบที่ได้รับกลับเย็นชาเป็นอย่างมาก
“ไว้คราวหลังนะคะ วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี”
“เมื่อกี้ยังเห็นเดินว่อนไปทั่วอยู่เลย”
“ค่ะ เพราะมัวแต่ว่อนไปว่อนมาก็เลยเหนื่อย”
จิ๊ๆ จาฮอนเดาะลิ้นใส่คนโดนทิ้งด้วยความสงสาร ยูมินคว้าแขนชองอูตรงไปที่รถตู้ของตัวเองด้วยความเร็วและดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของอึยชานขณะมองตามแผ่นหลังของทั้งสองบึ้งตึงจนดูน่าสงสาร
“พี่ พูดแบบนั้นอะ เป็นผม ผมก็หนีเหมือนกันครับ”
ไม่ใช่อย่างนั้น อึยชานอยากโต้แย้ง แต่ไม่รู้ทำไมสิ่งที่ออกจากปากถึงมีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง
“งั้นต้องทำยังไงเล่า”
อะแฮ่ม จาฮอนปรับโทนเสียงเลียนแบบเสียงทุ้มต่ำและไม่มีความนุ่มนวลของอีกฝ่าย
“กลับด้วยกันหรือทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ พี่ต้องถามแบบนี้สิ”
“ฉันก็หมายถึงอย่างนั้นนิ ทั้งกลับด้วยกัน กินข้าวเย็นด้วยกัน”
“ดูก็รู้เลยว่าไม่เคยมีแฟน ถ้าถามแบบนี้ อีกฝ่ายก็จะต้องเลือกทางใดทางหนึ่งอัตโนมัติไงครับ”
พอได้ฟังแล้วก็ถูกของจาฮอน กลับด้วยกันไหมครับ หรือไม่ก็ทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ อึยชานทวนประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับท่องคาถา แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกความจริงสำคัญขึ้นมาได้
“แต่นายเองก็ไม่ค่อยได้มีแฟนเหมือนกันหนิ”
“ผมจะมีก็ได้ แต่เพราะพี่นั่นแหละ ผมเลยยุ่งจนไม่มีแฟน”
ถึงจะดูไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือ แต่พอคิดๆ ดูมันก็เป็นความคิดทีใช้ได้ทีเดียว เพราะจาฮอนที่เคยฝันอยากจะเป็นนักแสดง แต่ก็ล้มเหลวไปกลางคันเพราะขาดความสามารถในการแสดงจึงเปลี่ยนสายมาเป็นงานจัดการต่างๆ แทนก็หน้าตาดีไม่ใช่เล่น อีกฝ่ายเคยทำให้โลกโซเชียลร้อนแรงด้วยรูปที่โดนถ่ายตามงานแจกลายเซ็น หรือไม่ก็งานทักทายบนเวทีต่างๆ ของเขามาแล้วหลายครั้ง
“ถ้าไม่ได้ผล นายต้องรับผิดชอบ”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”
วันต่อมาหลังจากทั้งสองคนกลับบ้านพร้อมโต้เถียงกันอย่างไร้สาระ
ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าจากการถ่ายทำต่อเนื่องตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึกติดต่อกันหลายวัน นอกจากเสื้อผ้าจะบางและใช้ร่างกายหนักเป็นพิเศษแล้ว ยูมินที่มีบทเยอะก็ต้องทำงานหนักเป็นพิเศษขึ้นอีก ที่เธอพูดเมื่อคืนว่าเหนื่อยเป็นความจริง เพียงแต่ไม่แสดงออกให้เห็นภายนอกเท่านั้น ดังนั้นสีหน้าของหญิงสาวที่ไม่ได้มีนิสัยอ่อนหวานอยู่แล้วจึงดูเย็นชา จนแม้กระทั่งผู้กำกับก็ไม่กล้าเริ่มชวนคุยก่อน
“โอเค คัท!”
หลังจากได้รับสัญญาณโอเค ยูมินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย การแสดงของเธอยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เพราะเวลาไล่เข้ามาแล้ว ผู้กำกับจึงสั่งคัททั้งอย่างนั้น
“ฉันจะขอเช็คมอนิเตอร์หน่อยค่ะผู้กำกับ”
“มันก็โอเคแล้วหนิ”
“ขอเช็คมอนิเตอร์หน่อยค่ะ”
“มันโอเคแล้ว”
“ขอเช็คมอนิเตอร์หน่อยค่ะ”
ผู้กำกับแพไม่ซ่อนสายตาเบื่อหน่ายและยอมให้เธอดูมอนิเตอร์ฉากเมื่อครู่ ยูมินจ้องมองหน้าจอด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถอดเสื้อโค้ทที่โคดี้สวมให้ออก
“ฉันขออีกรอบค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
“คุณยูมิน เวลาเราไม่พอแล้วนะ”
“ไม่ทั้งหมดก็ได้ค่ะ แค่ส่วนนี้”
จิตใจของคนเราช่างกลับกลอก หากเป็นนักแสดงระดับตัวเอกมาขอก็คงจะให้ถ่ายใหม่โดยไม่คัดค้าน แต่พอเป็นนักแสดงประกอบ สายตาเขม่นจึงพุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ อึยชานที่คอยมองอยู่ข้างๆ ก็ประเจิดประเจ้อซะจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน มีหรือที่ยูมินจะไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้แสดงส่วนที่ตัวเองไม่พอใจจนออกมาสมบูรณ์แบบ ส่วนอึยชานก็รู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์นั้นและรู้สึกนับถือเธอเช่นกัน
“พี่ เปลี่ยนชุดค่ะ”
โคดี้ของอึยชานเอ่ยพร้อมกับหอบเสื้อผ้าหนักๆ มาด้วย เขาเดินตามหลังเธอตรงไปยังห้องแต่งตัว แต่ยังไม่ทันถึงก็เปลี่ยนทิศทางไปด้านขวา เพราะดูเหมือนว่ารถกาแฟที่เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่จะเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ซอยูมินนี่น่ารำคาญจริงๆ เลยว่าไหม”
ไหนๆ ก็มาแล้ว เอาของคุณยูมินไปด้วยดีกว่า ฝีเท้าของอึยชานที่กำลังมีความสุขอยู่คนเดียวหยุดชะงักกึก เพราะบทสนทนาของทีมงานสองคนที่มาถึงก่อนและกำลังรอกาแฟอยู่
“พอคบกับอีอึยชานก็คิดว่าตัวเองอยู่ระดับเดียวกันสินะ”
“นั่นสิ แต่มันน่าจะจบแล้วแหละ”
“ทำไมล่ะ”
ทีมงานคนนั้นเป่าแล้วดื่มกาแฟที่มีควันลอยฟุ้ง ก่อนจะตีไหล่ของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนานจนน่าขนลุก
“ก็สองคนนั้นเลิกกันแล้วไง ไม่เห็นบรรยากาศช่วงนี้เหรอ”
“จริงเหรอ เลิกกันแล้วใช่ไหม ก็ว่าอยู่”
“ยังไม่เลิกกันครับ”
“โอ๊ย!”
ทีมงานตกใจเพราะจู่ๆ อึยชานก็ปรากฏตัวขึ้นจากข้างหลังจนทำแก้วกาแฟหล่น กาแฟกระเด็นไปทั่วทุกทิศทางเปื้อนทั้งกางเกงของทีมงาน ล้อรถกาแฟ รวมถึงชุดราคาแพงที่อึยชานใส่อยู่ด้วย
“ตายจริง ทำไงดี!”
“คุณอีอึยชานเป็นอะไรไหมคะ ขอโทษนะคะ!”
ใบหน้าพวกเธอซีดเผือดขณะรีบเช็ดกาแฟออกอย่างไร้สติ เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำถึงขนาดนี้นะ แม้ว่าอึยชานจะคิดว่าตัวเองใจแคบ แต่ก็อดจะรู้สึกพึงพอใจไม่ได้ พร้อมกับแสดงออกอย่างไม่สมกับเป็นเขาเล็กน้อย ด้วยการยิ้มเยาะ
“ผมไม่เป็นไรครับ แต่จะทำยังไงกับชุดดีล่ะ”
“ถ้า… ถ้าถอดออกมา เดี๋ยวฉันจะเอาไปซักให้ค่ะ”
“อันนี้มันซักได้หรือเปล่านะ ผมต้องไปเปลี่ยนชุดอยู่พอดี เดี๋ยวถามโคดี้ให้นะครับ พวกคุณอยู่ทีมไหนเหรอครับ”
หากเป็นอึยชานตอนปกติก็คงจะบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่อยากทำเช่นนั้น หลังจากซักถามตั้งแต่ชื่อจนถึงสังกัดของทีมงานอย่างไม่ลดละด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาก็เข้าห้องแต่งตัวและเปลี่ยนชุดอย่างไม่สะทกสะท้าน
“นี่มันอะไรกันคะพี่!”
โคดี้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาหลังจากแขวนชุดกับไม้แขวนเสื้อ เพราะเพิ่งเห็นรอยเปื้อนกาแฟเต็มชายเสื้อ
“มีคนทำกาแฟหกใส่ทั้งแก้วน่ะ มันซักได้ไหม”
“กะ กาแฟเหรอคะ”
โคดี้หน้าซีดและพูดตะกุกตะกัก และจู่ๆ ใต้ตาสีคล้ำก็ดูยาวลงมาจนถึงใต้คางอีกด้วย
“ผ้านี่มัน… เฮ้อ ก่อนอื่นต้องลองเอาไปให้ร้านก่อน ปกติแล้วจะใช้เวลาซักสามวันขึ้นไป ถ้าไม่ออกก็คงต้องตัดใหม่ค่ะ ใครทำกาแฟหกคะ”
หลังจากบอกชื่อและสังกัดทีมงานที่ท่องจำมาอย่างใจเย็น อึยชานก็คิดได้ว่าตัวเองทำตัวเป็นเด็กจริงๆ และแน่นอนว่าสาเหตุที่ทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ก็คือยูมิน
เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้นที่เคยบอกว่าไม่ชอบ เขาชอบและอยากได้จนแทบบ้าแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอสวมชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าและเหวี่ยงมอเตอร์ไซค์ไปที่ต้นไม้ข้างถนน
* * *