บทที่ 2443 ลอบสังหาร
ตี้ฝูอีเอนตัวพิงโต๊ะเล็กอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ล้อกันเล่นแล้ว เรื่องอะไรพวกเราต้องให้เจ้าดูล่ะ? เจ้าพึ่งดวงหรือไง?”
อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกเลย
ดูเหมือนเขาไม่คาดเลยว่าตี้ฝูอีจะปฏิเสธออกมาตรงๆ เช่นนี้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย น้ำเสียงก็เย็นเยียบลง
“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ ตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกัน! ต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านถึงจะถูก ตอนนี้พวกเราถูกค้างคาวโลหิตโจมตีอยู่เนืองๆ เห็นได้ชัดว่ามาเพราะของวิเศษบนร่างของพวกเจ้า เพื่อความปลอดภัย พวกเจ้าเอาของออกมาเถอะ พวกเราจะได้หารือวางแผนร่วมกัน…”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันมาเพราะของวิเศษอันใด?”
ตี้ฝูอีโพล่งถามออกมาประโยคหนึ่ง
“ค้างคาวโลหิตไวต่อแหล่งพลังวิญญาณเป็นพิเศษ พวกมันจะไล่ล่าขุมพลังวิญญาณเท่านั้น! ก่อนหน้านี้มันก็มาที่รถม้าของพวกเจ้า เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าครอบครองขุมพลังวิญญาณไว้…”
แววตาตี้ฝูอีทอประกายเฉียบคมรางๆ
“ที่แท้ค้างคาวโลหิตก็ไล่ล่าขุมพลังวิญญาณนี่เอง เช่นนั้นที่พวกมันพยายามโจมตีเมืองต่างๆ ในวันพิรุณโลหิต ก็เป็นเพราะในเมืองเหล่านี้มีขุมพลังวิญญาณกระมัง?”
อวิ๋นเยียนหลีหน้าเปลี่ยนสีนิดๆ เขาพลั้งปากไปแล้ว!
เรื่องที่ค้างคาวโลหิตไล่ลาขุมพลังวิญญาณเป็นความลับ คนที่รู้ความลับนี้มีน้อยยิ่ง…
แค่เขากับอวิ๋นชิงหลัวเท่านั้น
แม้แต่ลูกน้องที่เขาไว้ใจที่สุดก็ยังไม่รู้เลย ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะหลุดปากออกมาที่นี่ได้ง่ายๆ…
นี่เขาโดนวิชามารหรือไง?!
ตี้ฝูอีผู้นี้มีสายเลือดของเทพมาร วิชายุทธ์ที่ใช้ได้จึงสลับซับซ้อนยิ่งนักเช่นกัน ในบรรดานั้นมีวิชาสะกดจิตที่ทำให้คนหลุดปากพูดออกมาง่ายๆ ด้วยกระมัง?!
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีย่ำแย่ยิ่งนัก! มือที่อยู่ในแขนเสื้อพลันกำแน่น
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ มองดูเขา
“คุณชายอวิ๋นทราบเรื่องราวมากเหลือเกิน ค้างคาวโลหิตยังมีลักษณะพิเศษอันใดอีก? คุณชายพูดออกมาให้หมดเถอะ พวกเราจะได้หารือวางแผนรับมือพวกมันด้วยกัน”
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีย่ำแย่กว่าเดิม
“ตอนนี้เป็นข้าที่ถามพวกเจ้าก่อน!”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว
“ใครกำหนดกันว่าถามก่อนแล้วต้องได้รับคำตอบก่อน? คุณชายอวิ๋น เจ้าพูดเองนี่ ตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้ว ต้องแบ่งปันข้อมูลกัน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน เอาเช่นนี้เถอะ เจ้าพูดความลับเหล่านั้นของค้างคาวโลหิตมาก่อน แล้วข้าค่อยนำของวิเศษที่ดึงดูดค้างคาวโลหิตก่อนหน้านี้ออกมา ถึงแม้เช่นนี้ข้าจะค่อนข้างเสียเปรียบ แต่ตัวข้าผู้นี้ใจกว้างเสมอมา ไม่ถือสาหาความกับผู้เยาว์หรอก…”
อวิ๋นเยียนหลีกำมือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อแน่นแล้วแน่นอีก กำแล้วกำอีก อยากจะซัดฝ่ามือใส่ตี้ฝูอีให้เละเป็นเนื้อบดยิ่งนัก!
ปลายนิ้วเขากระดิกเล็กน้อย คล้ายว่าคิดจะทำอะไร พลันเห็นสิ่งที่ตี้ฝูอีกำลังเล่นอยู่ในมือ เขาแข็งทื่อไปทันที นิ่งงัน
ตี้ฝูอีกำลังเล่นแหวนวงหนึ่งอยู่ในมือ อัญมณีบนหัวแหวนส่องแสงรุ้งเลื่อมพรายตามมือที่เคลื่อนไหวของเขา และตี้ฝูอีกำลังใช้เล็บมือนิ้วหนึ่งแกะสลักตัวแหวนอยู่ เดิมทีตัวแหวนเป็นทรงครึ่งวงกลมที่มีเหลี่ยมมุม แต่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นรูปดอกกุหลายภายใต้การแกะสลักด้วยปลายเล็บของตี้ฝูอี ทุกกลีบบุปผาล้วนงดงามสมจริง
อวิ๋นเยียนหลีรู้จักวัสดุของตัวแหวนวงนั้น เป็นเพชรที่แข็งที่สุดในโลก!
แกะสลักเพชรด้วยมือเปล่า!
ต่อให้เป็นเขา ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีความสามารถเช่นนี้!
นิ้วมือที่กระดกขึ้นของอวิ๋นเยียนหลีปล่อยลงไปอย่างเงียบเชียบ
ความวู่วามเพียงน้อยอาจทำให้การใหญ่วุ่นวายได้ ตอนนี้เขายังไม่มีความมั่นใจว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้ในกระบวนท่าเดียว ยังคงอย่าผลีผลามดีกว่า
อย่างไรภายหน้าก็ยังมีโอกาสอยู่ เขาได้จัดเตรียม ‘งานเลี้ยงใหญ่’ ไว้ในเมืองแล้ว
แน่นอน ความเคลื่อนไหวภายในจิตใจเขาเหล่านี้เป็นเวลาแวบเดียวเท่านั้น เขายิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง เสมือนไม่ได้ข่มเจตนาสังหารไว้เลย
“เท่าที่ข้าทราบค้างคาวโลหิตพวกนี้ พิษร้ายกระหายเลือด ชอบไล่ล่าขุมพลังวิญญาณ พวกมันจะรวมตัวกันในบริเวณที่มีขุมพลังวิญญาณเสมอ…”
“เช่นนั้นทุกเมืองก็มีขุมพลังวิญญาณที่กล้าแกร่งยิ่งนักสินะ?” กู้ซีจิ่วถาม
————————————————————————————-
บทที่ 2444 ลอบสังหาร 2
อวิ๋นเยียนหลีคุยกับกู้ซีจิ่วอย่างสุภาพนัก
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ซีจิ่ว ผลึกวิญญาณเหล่านั้นที่พวกเราได้มาจากการสังหารจูผอหลงก็คือขุมพลังวิญญาณ และผลึกวิญญาณก็เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเขตแดนคุ้มเมือง…”
กู้ซีจิ่วนึกถึงผลึกวิญญาณของเมืองซุ่ยเย่ที่เธอกวาดมาจนเกลี้ยง พยักหน้ารับเงียบๆ ทราบว่าประโยคนี้ของอวิ๋นเยียนหลีมิใช่คำโป้ปด
เพียงแต่เธอยังมีคำถามอยู่
“ในเมืองมีผลึกวิญญาณอยู่ในเมือง เช่นนั้นเหตุใดค้างคาวโลหิตถึงไม่เข้าโจมตีทุกวันล่ะ? ทำไมถึงโจมตีทุกสิบวัน? หรือว่าระยะเวลาสิบวันเป็นวงจรการรั่วไหลของผลึกวิญญาณ? ช่วงอื่นล้วนถูกเขตแดนอันใดครอบคลุมไว้ ค้างคาวโลหิตจึงไม่ได้กลิ่นสินะ?”
คำถามนี้ของกู้ซีจิ่วถามเข้าตรงจุดสำคัญพอดี อวิ๋นเยียนหลีเงียบไปพักหนึ่งแล้วทอดถอนใจ
“ประมาณนั้น ข้าเล่าภาพรวมอย่างละเอียดไม่ได้ ซีจิ่ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้านะ แต่นี่คือความลับของเมือง ก่อนข้าจะรับช่วงตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากอดีตเจ้าเมืองได้ปฏิญาณแล้วว่าจะไม่แพร่งพราย ดังนั้นจึงทำได้เพียงกล่าวขออภัยแล้ว”
กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่งไม่พูดอะไร
เสแสร้ง! เจ้าเสแสร้งต่อสิ!
เจ้าเมืองพวกนั้นก็เป็นเจ้าที่แต่งตั้ง เจ้าเขี่ยทิ้งไปสักคนแล้วนั่งตำแหน่งเจ้าเมืองเองยังต้องปฏิญาณอันใดอีก? ไปหลอกคนโง่เถอะ!
แต่อย่างไรก็ตาม กู้ซีจิ่วได้เข้าใจความจริงของเรื่องราวผ่านการสนทนาครั้งนี้คร่าวๆ แล้ว ไว้เธอค่อยไปตรวจสอบส่วนที่เหลือเอา…
“เอาล่ะ สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดหมดแล้ว ซีจิ่ว มิใช่ว่าพวกเจ้าควรนำขุมพลังวิญญาณก่อนหน้านี้ออกมาบ้างหรือ?”
อวิ๋นเยียนหลียังไม่ลืมเรื่องนี้
เมื่อก่อนตอนที่ผลึกวิญญาณของเมืองซุ่ยเย่ถูกปล้นไป เขาหาตัวคนร้ายไม่พบมาโดยตลอด ตอนนี้เขาค่อนข้างสงสัยแล้วว่าเป็นตี้ฝูอีที่ขโมยไป…
เนื่องจากมีเพียงตอนที่ผลึกวิญญาณจำนวนมากปรากฏออกมาถึงจะดึงดูดค้างคาวโลหิตได้…
ตี้ฝูอีค่อยๆ หยิบอุ้งเท้านกข้างหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของ
“บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไรหรอก เมื่อครู่ข้ากินสิ่งนี้ ตอนนี้เหลือแค่เท้าข้างเดียวแล้ว”
อุ้งเท้านกข้างนั้นมีขนาดครึ่งหนึ่งของนิ้วก้อยมนุษย์เท่านั้น และมองไม่ออกว่าเป็นอุ้งเท้าของสัตว์ใด
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีย่ำแย่นัก
“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่คิดจะหลอกลวงข้าหรือ? พลังวิญญาณจากร่างนกที่ไหนจะก่อตัวเป็นขุมพลังวิญญาณได้?”
“หงส์คราม”
ตี้ฝูอีเพียงเอ่ยสองคำนี้ออกมา
อวิ๋นเยียนหลีตกตะลึง
เขาไม่เคยเห็นหงส์คราม แต่เคยได้ยินมา ทราบว่าสิ่งนี้คือสัตว์วิเศษ ยังไม่เคยมีผู้ใดกินมัน
พลังวิญญาณบนร่างสัตว์วิเศษย่อมน่าตกตะลึง หากว่านี่คืออุ้งเท้าของหงส์ครามจริงๆ ล่ะก็…
อวิ๋นเยียนหลีรับอุ้งเท้านกข้างนั้นมา จ่อปลายจมูกแล้วสูดดม สัมผัสถึงพลังวิญญาณที่เหนือธรรมดาได้…
เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“สิ่งนี้ ท่านได้มาจากไหน?”
ตี้ฝูอียกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“นี่เป็นคำถามที่สองของเจ้าแล้ว มีอะไรมาแลกล่ะ?”
อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกเลย
ท้ายที่สุดแล้ว อวิ๋นเยียนหลีก็ถามต้นสายปลายเหตุออกมาไม่ได้เลย เขาจากไปด้วยความหงุดหงิด
ภายในห้องโดยสาร กู้ซีจิ่วพินิจพิเคราะห์อุ้งเท้านกอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่คืออุ้งเท้าหงส์ครามจริงๆ หรือ?”
ตี้ฝูอีตอบอืมคราหนึ่ง หยิบอุ้งเท้าข้างนั้นไปจากมือนาง พลางทำลายทิ้ง เห็นกู้ซีจิ่วมองเขาอยู่ เขาจึงเอ่ยไปประโยคหนึ่ง
“สกปรกแล้ว”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า
“ต่อให้เป็นขนหางเส้นหนึ่งของเจ้าสิ่งนี้ก็ยังล้ำค่าไร้ใดเทียม บนอุ้งเท้าก็มีพลังวิญญาณกล้าแกร่งยิ่งนัก ทิ้งไปก็น่าเสียดาย”
ตี้ฝูอีหยิบนกครึ่งตัวออกมาจากมิติเก็บของ
“ตรงนี้ยังมีอีก”
กู้ซีจิ่วตาลุกวาวแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับไว้
“ครึ่งนี้ให้เจ้ากินก็พอแล้ว ตอนนี้เจ้ากำลังอ่อนแอ ต้องบำรุงร่างกายอยู่พอดี”
ตี้ฝูอีชะงักไปเล็กน้อย มองนางอย่างยิ้มมิเชิงยิ้มแวบหนึ่ง
“ที่แท้เจ้าก็รังเกียจที่ข้าอ่อนแอ…”
รอยยิ้มของเขาทำให้สัญญาณเตือนภัยในใจกู้ซีจิ่วดังขึ้นมา รีบเบี่ยงหัวข้อไปทันที
“ตอนนี้พลังวิญญาณของเจ้าฟื้นฟูกลับมาไม่เลวแล้วกระมัง? ข้าเห็นเจ้าใช้ปลายเล็บสลักเพชรได้…”