ตอนที่ 329 เบียดเสียด (1)

เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก

เฉินเยี่ยนเลยมาที่บ้านเฉิน มีฉือหลิวและเฉินเฟยอยู่เป็นเพื่อน เลยไม่รู้สึกเหงา 

 

 

ตอนที่ซินห้าวโทรศัพท์มาหลังจากที่เธอมาอยู่บ้านเฉินได้สองวันแล้ว เขาโทรไปที่โรงงานกระดาษแจ้งข่าวว่าสบายดี 

 

 

เฉินจงให้คนไปส่งข่าวที่บ้านซินให้พวกเขาสบายใจ กลับมาเขาก็บอกเฉินเยี่ยน เฉินเยี่ยนวางใจขึ้นเยอะ ขอแค่พวกเขาปลอดภัยก็ดีแล้ว 

 

 

แบบนี้เฉินเยี่ยนเลยอาศัยอยู่ที่บ้านเฉิน หลายวันเธอจะกลับไปบ้านซินครั้งหนึ่ง ไปเยี่ยมผู้ใหญ่ที่นั่น ไม่มีเรื่องอะไรเธอก็จะกลับมาบ้านเฉิน 

 

 

แน่นอน เธอยังคงไปที่โรงงานกระดาษทุกวัน เดินไป เธอไม่รีบร้อน ค่อยๆ เดิน ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย 

 

 

ที่เฉินเยี่ยนไปโรงงานกระดาษทุกวัน เพราะเธอกลัวว่าซินห้าวอาจจะโทรศัพท์มา 

 

 

แต่ถึงแม้เธอจะไปตอนกลางวัน ก็ไม่เจอซินห้าวโทรมา 

 

 

ซินห้าวโทรมาครั้งที่สามก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ตอนที่เขาโทรมาเฉินเยี่ยนไม่อยู่ ซินห้าวฝากให้เฉินจงมาบอกว่าอีกสองวันประมาณบ่ายสองโมงเข้าจะโทรมาอีกที 

 

 

ซินห้าวต้องเจอเรื่องอะไรที่อยากจะถามตัวเองแน่ ไม่อย่างนั้นจะไม่นัดเวลา ถึงแม้เขาจะคิดว่าตัวเองก็ช่วยไม่ได้ แต่ตอนนั้นเธอกับซินห้าวตกลงกันแล้ว 

 

 

จะเป็นเรื่องอะไรนะ? 

 

 

เฉินเยี่ยนไม่กล้าคิดมาก เพราะไม่รู้สถานการณ์คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ 

 

 

วันรุ่งขึ้นกินข้าวกลางวันเสร็จเฉินเยี่ยนไปที่โรงงาน ตอนที่ถึงโรงงานเพิ่งบ่ายโมง ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด เฉินเยี่ยนมีอะไรทำ เลยเดินดูรอบๆ 

 

 

เธอไม่ได้เข้าไปดูในไลน์ผลิต กลัวว่าเกิดไปโดนอะไรแล้วล้มลงจะไม่ดี เธอไปที่โล่ง ตรงนั้นมีแต่ขอบกระดาษ 

 

 

พูดถึงขอบกระดาษนั่นเป็นกระดาษส่วนที่เสีย มีโรงงานที่ผลิตขอบกระดาษที่ไม่ใช่แล้ว และมีที่รับกระดาษและหนังสือพวกนี้เช่นกัน ขอแค่เป็นกระดาษก็ได้แล้ว 

 

 

แน่นอนของพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะเอามาใช้ได้เลยทันที เพราะข้างในมีของผสมปนกันไปหมด เช่น ผ้าพลาสติก ถุงทำจากหนังปลา มีหลากหลายอย่าง มาจากคนหรือโรงงานผสมเข้าไปในกระดาษ เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น 

 

 

ของพวกนี้ใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญแยกของที่ใช้ไม่ได้ออกมา นี่เรียกว่าเลือกขอบกระดาษ เลือกแล้วก็สามารถใช้ได้ แล้วเอาไปไว้ที่หนึ่ง ถึงตอนนั้นเทลงไปจนเกิดเป็นเยื่อกระดาษ แล้วเอามาใช้อีก 

 

 

แน่นอน เฉินเยี่ยนก็รู้ว่าคุณภาพของกระดาษชำระที่พวกเขาผลิตตอนนี้เทียบไม่ได้กับกระดาษในยุคหลัง ในแง่สุขลักษณะอาจจะไม่ผ่าน แต่ยุคนี้ทำอะไรไม่ได้ ยุคนี้ก็เป็นแบบนี้ มีกระดาษแบบนี้ให้ใช้ก็ไม่แย่แล้ว 

 

 

ตอนที่เฉินจงเอากลับไปไม่รู้ว่าหวางนิวดีใจมากแค่ไหน เพราะเมื่อก่อนทุกครั้งเวลาหวางนิวประจำเดือนมาจะใช้ผ้าเย็บเอา ข้างในจะใส่พวกขี้เถ้าอะไรพวกนี้ ถ้าใส่ใยฝ้ายได้จะดีที่สุด ตอนที่ไม่มีของพวกนี้ แม้แต่ใบข้าวโพดยังเคยใช้มาแล้ว ตอนนี้มีกระดาษชำระ สำหรับเธอแล้วถือเป็นเรื่องดีจริงๆ 

 

 

อีกอย่างตอนที่สะดวก บางบ้านใช้ก้อนดินเลย ตอนนี้มีกระดาษแล้ว เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนคิดยังคิดไม่ถึงเลย เป็นของฟุ่มเฟือย ใครจะไปคิดว่ากระดาษไม่นิ่มพอ และสุขอนามัยอาจจะไม่ได้มาตรฐาน มีแค่คนอย่างเฉินเยี่ยนที่กลับชาติมาเกิดถึงรู้ว่ามีกระดาษที่ดีกว่านี้ 

 

 

ส่วนพวกคนที่เก็บขอบกระดาษล้วนเป็นคนงานผู้หญิงทั้งหมด เพราะผู้หญิงมีความอดทนสูงกว่า ทำงานก็ละเอียด ดังนั้นเลยใช้คนงานผู้หญิง 

 

 

แล้วคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะแต่งงานแล้ว ปกติอายุประมาณยี่สิบสามปี เพราะคนอายุช่วงนี้จะมีแรงมากกว่า แต่คนเก็บกระดาษที่โรงงานกระดาษของเฉินเยี่ยนกลับเป็นคนที่อายุมากสองคน 

 

 

เฉินเยี่ยนก็รู้ เดิมทีพวกเขาไม่อยากจะหาคนที่อายุมาก เพราะพวกเธอทำงานช้า แรงก็ไม่พอ พวกเธอทำงานทั้งวัน ยังเทียบไม่ได้กับคนอายุน้อยทำครึ่งวันเลย ดังนั้นพวกเขาเลยไม่อยากจ้างคนอายุมาก 

 

 

แต่สถานการณ์ของคุณยายสองคนนี้พิเศษ 

 

 

ปีนี้คุณยายซูอายุหกสิบห้าปี สามีเธอป่วยจากไปตอนที่เธออายุสี่สิบกว่า เธอมีลูกทั้งหมดหกคน ลูกชายสี่คน ลูกสาวสองคน แต่ที่อยู่รอดจนโตมามีสี่คน ลูกชายสามคน ลูกผู้หญิงหนึ่งคน 

 

 

ลูกชายคนโตล้มไปตอนที่ทำงาน ปรากฏว่าเขากลายเป็นอัมพาต ภรรยาเขาทะเลาะกับเขา พอโกรธ เขาเลยดื่มยาเบื่อหนูตาย 

 

 

ครอบครัวเขายังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง ออกเรือนไปแล้ว ไม่ค่อยกลับมา และไม่มีลูกด้วย 

 

 

ลูกชายคนที่สอง ตอนที่ยังเด็กอยู่โดนคนแกล้งแบกไปชนกับต้นไม้ ปรากฏว่าชนโดนผิดที่เลยเป็นโรคขึ้นมา เขาเป็นบ๊องไป ต่อมาวิ่งหนีออกไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย 

 

 

ลูกชายคนที่สามเป็นคนปกติ แต่หลายปีก่อนเพราะว่าภัยแล้งต้องแย่งน้ำในบ่อมารดดิน หมู่บ้านพวกเขาทะเลาะกับอีกหมู่บ้านหนึ่ง เขาโดนคนเอาค้อนทุบเข้าบนศีรษะโดยไม่ได้ตั้งใจ เลยเสียชีวิต 

 

 

เพราะเรื่องนี้ทั้งสองหมู่บ้านเลยทะเลาะกันนานมาก หัวหน้าของสองหมู่บ้าน และเลขาก็โดนโวยวายหนักมาก สุดท้ายให้คนที่ทำเขาตายนั้นชดใช้ น่าเสียดายที่ครอบครัวที่ตีลูกชายคนที่สามตายนั้นก็จนมากเช่นกัน ไม่สามารถชดใช้อะไรได้เลย ทำได้แค่เอาธัญพืชที่บ้านมาชดใช้ให้บ้านคุณยายซู 

 

 

ภรรยาของลูกชายคนที่สามยังอายุน้อยอยู่ พอไม่มีสามีแล้ว ก็ไม่มีหวัง เลยกลับไปบ้านแม่ตัวเอง ต่อมาก็แต่งงานอีกครั้ง แต่ตอนที่เธอไปเธอทิ้งลูกชายที่เพิ่งอายุสองขวบและลูกสาวที่อายุสี่ขวบหนึ่งคนไว้ 

 

 

ส่วนลูกสาวของคุณยายซูออกเรือนไปแล้ว ฐานะทางบ้านสามีก็ธรรมดา ตัวเธอเองก็ไม่ได้อยู่สบาย ไม่สามารถช่วยเหลือที่บ้านได้เลย 

 

 

ที่บ้านเลยเหลือคุณยายซู ลูกชายคนโตที่เป็นอัมพาต หลานชายอายุหกขวบและหลานสาวอายุแปดขวบ 

 

 

ช่วงฤดูของเกษตรกรรม คุณยายซูต้องพาหลานชายและหลานสาวไปเก็บเกี่ยวและหว่านพืชผลด้วย แล้วยังต้องกลับบ้านไปทำอาหารให้คนที่บ้านกิน หลายครั้งที่คุณยายซูนอนร้องไห้กลางดึกอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่เวลากลางวันเธอกลับทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพราะเธอเป็นความหวังของครอบครัว ถ้าเธอล้มลง ลูกชาย หลานชาย หลานสาวจะพึ่งพาอาศัยใคร? 

 

 

จริงๆ ที่หมู่บ้านก็มีหลายคนที่นิสัยดี คอยยื่นมือมาช่วยยามที่พวกเขาลำบาก ถึงจะมีชีวิตแบบนี้แต่ก็ผ่านมาได้ 

 

 

ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด แต่หลานสาวถึงวัยที่ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว หลานชายก็ใกล้แล้วเช่นกัน ลูกชายคนโตก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด ไม่มีเงินซื้อยา ฐานะที่บ้านยิ่งลำบาก ที่ตัวคุณยายซูก็ไม่มีเงิน เธอกังวลใจ รู้ว่าที่นี่มีโรงงานผลิตกระดาษอยู่ เธอเลยมาลองดู 

 

 

เธอก็ไม่รู้ว่าที่โรงงานจะจ้างเธอไหม ถึงแม้ร่างกายเธอจะแข็งแรง แต่พออายุมากแล้ว ยังไงก็เทียบกับคนอายุน้อยไม่ได้ 

 

 

ตอนนั้นคุณยายซูบอกว่าเธอรับค่าจ้างน้อยหน่อยได้ เพราะนอกจากที่นี่แล้ว เธอไม่สามารถไปหางานหาเงินทำที่อื่นได้ 

 

 

เฉินเยี่ยนและพ่อเฉินเห็นเธอน่าสงสาร คิดดูแล้ว เลยจ้างเธอไว้ 

 

 

พวกเขาให้คุณยายซูทำงานได้เท่าไหนก็ทำเท่านั้น ห้ามหักโหม ส่วนค่าจ้างนั้น ย่อมให้คุณยายซูน้อยกว่าคนอายุน้อยอยู่แล้ว เพราะเธอทำงานน้อยกว่า ถ้าให้เท่ากัน คนอื่นจะรู้สึกไม่ยุติธรรม 

 

 

แต่เฉินเยี่ยนและพ่อเฉินมีแอบให้เพิ่มกับคุณยายซูเป็นการส่วนตัว เทศกาลปีใหม่ได้กำไรดีก็มีแอบให้อั่งเปาเธอด้วย หรือส่งของให้คุณยายซู คุณยายซูซาบซึ้งมาก 

 

 

ส่วนอีกคนเป็นคุณยายที่ครั้งนั้นเธอและซินห้าวบังเอิญเจอที่สหกรณ์เธอโดนขโมยเงิน คิดไม่ถึงว่าหลายปีผ่านไป นอกจากเธอดูแก่ขึ้นแล้ว ร่างกายคุณยายยังคงแข็งแรงอยู่เลย 

 

 

ฐานะทางบ้านเธอลำบากมาตลอด เธอก็คิดว่าลองมาดูที่นี่เหมือนกัน ตอนคุยกันเฉินเยี่ยนถามเธอตอนนั้นคุณยายอายุหกสิบเอ็ดปี ปีนี้เธอจะเจ็บสิบแล้ว อายุมากขนาดนี้ร่างกายยังดีอยู่เลย แต่ยังออกมาทำงานทำให้คนอื่นคิดไม่ถึง 

 

 

เธอจำได้ว่าคุณยายคนนี้เคยพูดมาประโยคหนึ่ง: เธอบอกว่าคนจนป่วยไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์และไม่มีทางได้ป่วย คนจนพักผ่อนไม่ได้ เพราะต้องขยันทำงาน 

 

 

แน่นอน นี่ไม่ใช่คำพูดเธอเป๊ะ แต่เธอก็แสดงออกว่าหมายความอย่างนั้น คนจนไม่มีสิทธิ์ป่วย ป่วยก็ไม่มีเงินรักษา อาจจะต้องรอความตาย และไม่สามารถพักได้ ต้องวิ่งทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ 

 

 

เฉินเยี่ยนรู้สึกเสียใจ เลยรับคุณยายคนนี้ไว้ ให้ค่าตอบแทนเหมือนกับคุณยายซู 

 

 

ที่เธอทำอย่างนี้ ก็แค่คิดอยากจะช่วยเหลือ ให้คนแก่สองคนมีเส้นทางชีวิตดำเนินต่อ ให้ครอบครัวของพวกเธออยู่ต่อไปได้ 

 

 

แต่มีอีกหลายคนที่เธอไม่ให้พ่อเฉินรับเข้าทำงาน พวกเขาไม่ได้เปิดมูลนิธิ ถ้าช่วยเหลือกลุ่มคนแก่เข้ามา พวกเธอก็อย่าหวังจะได้ทำอะไรแล้ว ถ้าคนแก่พวกนี้มีเรื่องอะไรขึ้นมา พวกเขาคงดูแลลำบาก 

 

 

“ช้าหน่อย คุณยายซูช้าหน่อยค่ะ ไม่ต้องรีบ ของพวกนี้ให้ลุงหลิวพวกเขามาย้ายก็ได้”