นกพิราบกลุ่มใหญ่ที่มีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ผูกติดอยู่ที่ขา มันโบยบินอยู่ท่ามกลางหุบเขา ข้ามผ่านหุบเขาแถบนี้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากอยู่แล้ว แล้วยังมีพวกนกอินทรีและนกเหยี่ยวที่หิวโหยของดินแดนแห่งนี้ พวกมันบินได้สูงและเร็วกว่านกพิราบ เท้า กรงเล็บ และจะงอยปากก็มีแรงมากกว่า ในฐานะเจ้าแห่งน่านฟ้า สิ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้าล้วนแต่เป็นอาหารของพวกมัน
แล้วนกพิราบจะรอดไปได้อย่างไร เพียงเพราะในตอนที่เจ้าแห่งน่านฟ้าล่าอาหารนั้น พวกมันจะไม่สนใจสิ่งที่ผูกติดอยู่กับขาของเหยื่อ รู้สึกเพียงว่ามันเกะกะ จึงจิกกัดกระบอกไม้ไผ่แล้วปล่อยให้มันร่วงลงไปในหุบเขาด้านล่างเท้า
เพื่อที่จะกลับบ้าน นกพิราบกระพือปีกบินกลับไปในเมืองที่มีสัตว์สองขาจำนวนมากแทน เมื่อพวกมันเห็นกำแพงเมือง นกพิราบสิบหกตัวก็เหลืออยู่เพียงแค่สามตัวเท่านั้น สองตัวบินเข้าไปในเมือง อีกตัวหนึ่งบินตรงกลับไปที่บ้านของตระกูลอวิ๋น
เหล่าเฉียนที่สีหน้าเศร้าหมอง ชี้ออกคำสั่งพวกคนรับใช้ให้เก็บเสบียงที่เอาออกมาตากแห้งกลับเข้าไป แล้วยังเงยหน้าขึ้นด่าท้องฟ้าที่เศร้าหมองเหมือนกับสีหน้าของเขาเป็นครั้งคราว
นกพิราบสีน้ำฟ้าตัวหนึ่งบินเซลงมาจากท้องฟ้า บินลงบนในกองเสบียงและจิกกินโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด สายตาของเหล่าเฉียนเป็นประกายขึ้นมาทันที จับนกพิราบตัวนั้นเอาไว้ ดึงกระบอกไม้ไผ่ออกจากขาของมัน หยิบแถบผ้าที่อยู่ข้างในออกมา มือไม้สั่น นกพิราบตกลงไปบนกองเสบียงอีกครั้ง คนรับใช้กำลังจะไล่นกพิราบออกไป สัตว์ชนิดนี้กินไปด้วยขี้ไปด้วย ทำให้เสบียงสกปรก แต่เหล่าเฉียนกลับตะโกนขึ้นมาว่า “ปล่อยให้มันกิน ปล่อยให้มันกิน ให้มันกินให้อิ่ม เตรียมน้ำสะอาดมาให้มันด้วย”
พูดเสร็จก็วิ่งไปร้องไห้โหยหวนเข้าไปข้างใน
“ท่านโหวมีข่าวคราวแล้ว ท่านโหวมีข่าวคราวแล้ว พระเจ้าช่วย ในที่สุดก็มีข่าวคราวสักที”
ที่ลานด้านใน ซินเย่วกำลังสั่งสอนน่ารื่อมู่ไม่ให้นางกินแต่เนื้อ ให้กินผักเยอะๆ พอได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าเฉียน ได้ยินชัดเจนว่าเขาพูดว่าอะไร นางก็ขาอ่อนล้มลงกับพื้น
สามีไม่พูดลาสักคำก็หายออกจากบ้านไปกว่าสี่เดือน บอกแค่ว่าจะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ซินเย่วไม่เคยเชื่อ ผู้ชายของตัวเอง ตัวเองรู้จักเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่จริงๆ ก็จะต้องเชิญพวกเขามาที่บ้านก่อน ให้คนในครอบครัวได้รู้จัก จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงจะออกเดินทาง ไม่มีวันที่จะทิ้งครอบครัวและออกไปเพียงลำพัง
นอกจากจะเจอกับอันตราย อันตรายที่รุนแรงเท่านั้น ถึงจะทำเช่นนี้ ซินเย่วไม่ค่อยรู้เรื่องข้างนอกของสามีตัวเองสักเท่าไหร่นัก และถึงแม้ว่าจะรู้ ก็รู้แค่เรื่องดีๆ สามีไม่เคยพูดถึงเรื่องอันตรายและความลำบาก ซินเย่วเองก็ไม่กล้าถาม ถึงแม้ว่านางจะดื้อมากแค่ไหนก็ไม่กล้าถามในเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมบอก
ช่วงเวลาที่ผ่านมาซินเย่วให้แม่นมสองคนเป็นคนดูแลลูก ตัวเองดูแลเรื่องในจวนอวิ๋นด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าสามีจะไม่กลับมา นางก็จะต้องดูแลจวนนี้ให้สะอาดสะอ้าน เพื่อเตรียมส่งมอบให้แก่ลูกชายที่โตเป็นผู้เป็นคนแล้ว ถึงจะไปเจอกับสามีของตัวเอง
น่ารื่อมู่โยนถ้วยที่เต็มไปด้วยผักลงบนโต๊ะ อุ้มท้องที่กำลังป่องออกมาข้างนอก อวิ๋นเยี่ยยังไม่รู้เรื่องที่นางตั้งท้อง มันทำให้นางเสียใจเป็นอย่างมาก วันนี้มีข่าวคราวของเขา นางย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
แย่งแถบผ้าออกมาจากมือของเหล่าเฉียน มองดูอยู่นานถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่รู้จักตัวหนังสือ เอาแถบผ้าไปให้ซินเย่ว เบิกตามองซินเย่วรอให้นางบอกตัวเอง
ซินเย่วกลับมามีท่าทีของฮูหยินอีกครั้ง หยิบแถบผ้ามา เห็นว่ามันเขียนว่า “แคว้นหนานจ้าววุ่นวาย โต้วเยี่ยนซานก่อกบฏ เกิดการทำสงคราม ตอนนี้อวิ๋นโหวกำลังล่องแพหลบหนี”
ซินเย่วเข้าใจสาเหตุและผลที่ตามมาของเรื่องนี้ทันที สามีตกอยู่ในน้ำมือของโต้วเยี่ยนซาน ตอนนี้กำลังล่องแพไม้ไผ่หนีออกมา
นึกถึงสงครามที่ดุเดือด อวิ๋นเยี่ยกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด น้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลลงมา เจ็บปวดหัวใจราวกับโดนมีดแทง น่ารื่อมู่รีบดึงมือของนางอย่างกระวนกระวาย อยากรู้ว่าสามีอยู่ที่แห่งไหนกันแน่
เช็ดน้ำตาแล้วพูดกับน่ารื่อมู่ว่า “ท่านพี่อยู่ที่แคว้นหนานจ้าว กำลังทำภารกิจ ภารกิจเสร็จสิ้นก็จะกลับมา เขาบอกให้เจ้าเป็นเด็กดีฟังความ ไปทานผักในถ้วยให้หมดซะ”
สำหรับเรื่องของอวิ๋นเยี่ย น่ารื่อมู่ไม่แปลกใจ ผู้ชายที่ฉ่าวหยวนออกจากบ้านไปเป็นปีเป็นเรื่องปกติ ขอแค่กลับมาอย่างปลอดภัย ดูแลตัวเองให้ดี ถึงตอนนั้นคลอดลูกชายอ้วนท้วมให้เขา เขาจะต้องชอบเป็นแน่ คิดเช่นนี้ก็หยิบถ้วยผักขึ้นมากินอย่างมีความสุข
ซินเย่วเหลือบมองเหล่าเฉียน เหล่าเฉียนพยักหน้า โค้งคำนับและเดินออกไปทันที
ซินเย่วถือแถบผ้ามาที่ห้องพระ ตั้งแต่สามีหายตัวไป ท่านย่าก็เอาแต่คุกเข่าท่องคัมภีร์อยู่ที่ห้องพระทั้งวันทั้งคืน คัมภีร์บทหนึ่งท่องกว่าร้อยรอบ
ทันทีที่มาถึงประตูห้องพระก็ได้ยินเสียงของท่านย่าพูดว่า “เยี่ยเอ๋อร์มีข่าวคราวแล้วหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ เขาอยู่ที่แคว้นหนานจ้าว”
“บอกข้ามาให้หมด ย่าสูญเสียไปแล้วทั้งสามีทั้งลูกชาย รับรู้ถึงความโศกเศร้ามาแล้วมากมาย ข่าวร้ายข้าก็ทนฟังได้ บอกมาเลยอย่าปิดบัง”
“ท่านย่า ท่านพี่ตกอยู่ในน้ำมือของโต้วเยี่ยนซาน ถือโอกาสตอนที่แคว้นหนานจ้าวเกิดสงครามจึงได้หลบหนีออกมา เวลานี้กำลังล่องแพอยู่ในแม่น้ำ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวอันใดเจ้าค่ะ”
ซินเย่วยื่นแถบผ้าให้ท่านย่า ท่านย่าหยิบมาดู มือที่ถือลูกปัดอยู่สั่นระริก แต่ก็กลับมาเป็นปกติในไม่ช้า พูดกับซินเย่วว่า “เยี่ยเอ๋อร์ไม่อยู่ เจ้าก็กลายเป็นเสาหลังของครอบครัว น่ารื่อมู่กำลังตั้งท้อง อย่าให้นางเป็นกังวล มีเรื่องอะไรเจ้าแบกรับไว้ก็พอ”
พูดเสร็จก็หลับตาท่องคัมภีร์ต่อ
หลี่ซื่อหมินเห็นแถบผ้า ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เอาแถบผ้านั้นวางลงบนโต๊ะ แต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ หลี่เฉิงเฉียนที่อยู่ข้างๆ อยากจะเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้าถาม แม้จะรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“เย็นไว้ เจ้าเป็นรัชทายาท อย่าแสดงสีหน้าให้มันมากนัก อวิ๋นเยี่ยยังมีชีวิตรอด และออกมาจากน้ำมือของโต้วเยี่ยนซานได้แล้ว ไอ้เจ้านี่ทำได้ถึงเพียงนี้ ข้าต้องพูดว่าเขาทำได้ดี คิดไม่ถึงว่าเขาสามารถรอดออกมาจากแคว้นหนานจ้าวได้ พวกแคว้นหนานจ้าวสู้รบกับโต้วเยี่ยนซานอย่างสุดชีวิต ทั้งสองฝ่ายอำนาจเท่าเทียมกันไม่มีใครเหนือกว่าใคร ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากัน เพียงแต่อวิ๋นเยี่ยหลบหนีออกมาทางแม่น้ำเพียงลำพัง เป็นตายไม่อาจรู้ ไอ้เจ้านี่นี่นะจะอดทนอีกสักสองสามวันไม่ได้หรือไง เมื่อพวกโต้วเยี่ยนซานชนะสงคราม กองทัพของเขาก็จะกระจัดกระจาย ถึงตอนนั้นก็จะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
หลี่ซื่อหมินตบๆ ที่ฎีกาและพูดอย่างช้าๆ
“ฝ่าบาท โต้วเยี่ยนซานไม่ยอมฆ่าอวิ๋นเยี่ย มันจะต้องมีอะไรเป็นแน่ ในเมื่อเขาจับคนของเราได้แล้ว แต่กลับปล่อยให้หลบหนีออกมา เห็นได้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก เขาทนอยู่ต่อไม่ไหว”
จั่งซุนเดินออกมาจากหลังม่าน ถือแถบผ้าอยู่ในมือ แต่บนแถบผ้าเขียนตัวหนังสือเต็มไปหมด ไม่เหมือนกับแถบผ้าของตระกูลอวิ๋นที่มีแค่ไม่กี่ตัวหนังสือ
“ฮองเฮาพูดถูก อวิ๋นเยี่ยมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากแล้ว หากเราตกอยู่ในน้ำมือของโต้วเยี่ยนซาน เห็นหน้าเขาเราคงจะไม่พูดอะไรสักคำ รีบตัดหัวตัวเองออกจากบ่าก่อนเลย”
จั่งซุนปิดปากหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “ไม่แปลกหรอกเพคะ ใครๆ ก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่หาได้ยาก จะฆ่าเขาก็ต้องคิดให้ดีก่อน หากอวิ๋นเยี่ยมีอายุมากขึ้น เจอกับเขาตอนที่ท่านกำลังจะครอบครองโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะโกรธแค้นเขามากเพียงใด ท่านก็คงจะหาโอกาสโน้มน้าวใจเขา ท่านดูพวกขุนนางของท่าน มีสักกี่คนที่ติดตามท่านมาจากจิ้นหยาง ท่านก็เก็บตามข้างทางมาตลอด โต้วเยี่ยนซานกำลังทำตามท่านอยู่”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ผ่านไปสักพักถึงได้หยุดหัวเราะแล้วพูดกับรัชทายาทว่า “เจ้าดูสิ โต้วเยี่ยนซานเป็นคนทะเยอทะยาน อยากจะก่อตั้งประเทศของตัวเองในแคว้นหนานจ้าว เขามีจิตใจมุ่งมั่นมากกว่าพ่อและปู่ของเขา แต่น่าเสียดายที่ได้มาเจอกับอวิ๋นเยี่ย หากเขาสามารถสงบสติอารมณ์ ใช้เวลาสิบปีในการวางรากฐาน เขาอาจจะประสบความสำเร็จ น่าเสียดายที่ไปหลงใหลในเหมืองทองคำของอวิ๋นเยี่ย เหมืองทองคำเหมืองนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่กลับเป็นการฝืนกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ รวดเร็วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
เฉิงเฉียน เจ้าจงจำเอาไว้ ตอนนี้ต้าถังต้องการความมั่นใจ ไม่จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การเกิดสงครามทุกครั้งจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่างเช่นครั้งนี้ เป้าหมายของเราคือการบุกเบิกช่องทางการค้าขาย ทำให้ต้าถังได้ติดต่อกับประเทศที่อยู่ห่างไกล แผนที่ของอวิ๋นเยี่ยนั้นแม่นยำ แม่นยำมาก อย่างน้อยพื้นที่ในต้าถังก็แม่นยำ พ่อค้าชาวเปอร์เซียพวกนั้นยังยืนยันความถูกต้องที่ตั้งของภูมิภาคตะวันตก โลกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เราดูถูกวีรบุรุษบนโลกใบนี้เกินไป
ที่แท้ยังมีภูเขาอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ยังมีทะเลอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเล เราเอาแต่ให้ความสำคัญกับที่ราบตอนกลาง ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ในเมื่อสายตาของเราเปลี่ยนไปแล้ว เฉิงเฉียน จิตใจก็ต้องตามให้ทัน ในเมื่อมีดินแดนไร้ขอบเขตให้เราได้ครอบครอง เราก็ต้องกวาดล้างดินแดนอันกว้างใหญ่ไว้ให้คนรุ่นหลัง
ตอนนี้หม่าโจวมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หลี่กังไล่เขาออกไปจากสำนักศึกษา แล้วยังเผาบัตรศิษย์สำนักศึกษาของเขา คิดว่าเขาเป็นความอัปยศของสำนักศึกษา เขาป่าวประกาศว่าถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วก็จะตามไปสาปเขาในนรก
ได้ยินมาว่าหม่าโจวคุกเข่าที่หน้าประตูสำนักศึกษาสามวัน ไม่กินไม่นอน สุดท้ายก็เป็นลม แต่สำนักศึกษาก็ไม่ให้อภัย ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการให้ราชสำนักยุติการยึดครองที่ดิน ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัว แค่เพียงขาดความรู้ รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากเราถึงทำให้เขาต้องตกสู่ความตาย เจ้าออกไปรบครั้งนี้พาเขาไปด้วย ชีวิตนี้เขาคงจะกลับมาที่ราบตอนกลางไม่ได้อีกแล้ว ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเล็กน้อยจากราชวงศ์”
หลี่ซื่อหมินไม่ค่อยได้พูดกับหลี่เฉิงเฉียนมากเช่นนี้ มักจะเล่าข่าวคราวสั้นๆ ให้หลี่เฉิงเฉียนฟังเท่านั้น
พ่อกับลูกชาย คนหนึ่งอบรบสั่งสอน อีกคนหนึ่งตั้งใจฟัง จั่งซุนนั่งอยู่ข้างๆ มองไปยังหลี่ซื่อหมินแล้วก็มองไปยังเฉิงเฉียน สายตาของนางเต็มไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ
“คำสั่งสอนของเสด็จพ่อ ลูกจะจดจำไว้ในใจ เปิดตาเปิดใจให้กว้าง เรียนรู้ทักษะให้มาก การออกไปรบครั้งนี้ ลูกจะมองให้มาก ฟังให้มาก ลงมือทำให้มาก พูดให้น้อย ตั้งใจเรียนรู้ความสามารถของพวกแม่ทัพ เรียนรู้ให้เชี่ยวชาญ เรียนรู้อย่างละเอียด ครั้งนี้ได้รับการตักเตือนจากหลี่จิ้งผู้งดงามแล้ว ทำให้ลูกรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง ลูกมีความภาคภูมิใจและความมั่นใจในตนเองอย่างแน่นอน แต่ลูกออกไปรบอย่างน้อยก็ปีกว่าถึงจะได้กลับมา เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะต้องดูแลสุขภาพให้ดี กินข้าวให้ตรงเวลา เมื่อเข้าฤดูหนาวต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ อย่าให้ลูกที่ทางไกลกังวลใจเป็นห่วง”
หลี่เฉิงเฉียนคุกเข่าลงบนพื้น โค้งคำนับให้หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนด้วยความเคารพ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากพระราชวัง
ตอนนี้คนของตระกูลอวิ๋นจะต้องกังวลมากเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องส่งข่าวเรื่องความปลอดภัยของอวิ๋นเยี่ยให้ตระกูลอวิ๋นรู้ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะขัดขืนคำสั่งเมื่อสองเดือนก่อนของเสด็จพ่อก็ตาม