บทที่ 546 พวกนายแน่ใจ

The king of War

สีหน้าของหลินเทียนเจ๋อไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เป็นเจ้าบ้านในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูเหมือนกัน แต่อวี๋เหวินเกาหยางข่มขู่เขา

ก่อนหน้านี้ ถึงเย่ม่านกับหลินเทียนเจ๋อจะมีปากเสียงกัน จนถึงจะสู้กัน แต่ทั้งสองฝ่ายยังยับยั้งชั่งใจ จึงไม่ได้ลงไม้ลงมือ

แต่ทว่าอวี๋เหวินเกาหยาง เอ่ยปากว่าจะช่วยตระกูลเย่ทำลายตระกูลหลิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หลินเทียนเจ๋อ โมโหขนาดไหน

“อวี๋เหวินเกาหยาง นายคิดว่าฉันเป็นคนอ่อนแอหรือไง ทำลายตระกูลหลินเหรอ ตระกูลอวี๋เหวินมีปัญญาหรือเปล่าล่ะ”

หลินเทียนเจ๋อพูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

ไม่รอให้อวี๋เหวินเกาหยางเอ่ยปาก เย่ม่านชิงพูดก่อน “ถ้าตระกูลหลินยังไม่ไสหัวออกจากตระกูลเย่ ฉันยินดีร่วมมือกับเจ้าบ้านตระกูลอวี๋เหวิน ทำให้แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู เหลือเพียงเจ็ดตระกูล!”

ข่มขู่!

นี่มันข่มขู่กันชัดๆ!

อวี๋เหวินเกาหยางเป็นเจ้าบ้านตระกูลอวี๋เหวินมาหลายปี แต่เย่ม่านเพิ่งจะเป็นเจ้าบ้านเมื่อคืนนี้ แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย

การที่ตระกูลหลินร่วมมือกับตระกูลซุน กดดันตระกูลเย่ เพราะพวกเขาดูถูกเย่ม่าน คิดว่าถ้าสองตระกูลร่วมมือกัน จะกดดันตระกูลเย่ให้ยอมจำนนได้

แต่ทว่าตอนนี้ อวี๋เหวินเกาหยางช่วยตระกูลเย่ ข่มขู่ว่าจะทำลายตระกูลหลิน หลังจากที่ตระกูลอวี๋เหวินปรากฏตัว ซุนซวี่ เจ้าบ้านตระกูลซุน ถึงกับเงียบไป

ตอนนี้ หลินเทียนเจ๋อรู้สึกขี่หลังเสือแล้วลงยาก

ถ้าซุนซวี่ช่วยเขาอย่างไม่ลังเล เขาคงมีความกล้าเผชิญหน้ากับตระกูลอวี๋เหวิน แต่นี่ซุนซวี่เงียบ สีหน้ามีความลังเล อย่างเห็นได้ชัด

“หยูเหวินโจว พ่อของนาย อยู่ต่อหน้าฉัน ยังต้องเห็นแก่หน้าฉัน นายกล้าข่มขู่ตระกูลหลินต่อหน้าฉัน คิดว่าตระกูลหลินรังแกได้ง่ายงั้นเหรอ”

ขณะนั้น หลินเป้าเดินถือไม้เท้าเข้ามา และพูดด้วยน้ำเสียงโมโห

อวี๋เหวินเกาหยางยิ้มบางๆ “ที่แท้ลุงหลินก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ!”

ฟังแล้วดูเหมือนอวี๋เหวินเกาหยางกำลังขอโทษ แต่น้ำเสียงและสีหน้า ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย

รอยยิ้มยังแฝงไปด้วยความยียวน

หลินเป้าโมโหจนตัวสั่น อวี๋เหวินเกาหยางพูดต่อ “ลุงหลิน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงๆ ตอนที่พ่อผมออกจากตำแหน่ง เขาเคยพูดว่า ในเมื่อผมเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ต่อไปไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร งั้นวันนี้ผมไม่ไว้หน้าลุงหลินแล้วกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป้าเบิกตาโต เขาจ้องอวี๋เหวินเกาหยางเขม็ง จากนั้นจึงพูดอย่างโหดเหี้ยม “ไอ้หนุ่ม วันนี้แกตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม ที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลหลิน”

“ลุงหลิน ผมไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับตระกูลหลิน แต่ตระกูลหลินต้องการเป็นศัตรูกับผมต่างหาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเย่เป็นพันธมิตรกับตระกูลอวี๋เหวิน ใครทำร้ายตระกูลเย่ อย่าหาว่าตระกูลอวี๋เหวินไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

อวี๋เหวินเกาหยางยังคงยิ้มบางๆ คนที่ไม่รู้ คงเข้าใจว่าเขาพูดล้อเล่นกับตระกูลหลิน

หลินเป้าเข้าใจแล้ว วันนี้จะลงมือกับตระกูลเย่ คงลำบากมาก

ตอนนี้ตระกูลหลินเป็นฝ่ายหาเรื่องตระกูลเย่ คงโดนตระกูลเย่แค้นอย่างแน่นอน ถ้าตระกูลซุนไม่ช่วยขึ้นมา ตระกูลอวี๋เหวินกับตระกูลเย่ ต้องร่วมมือกันจัดการตระกูลหลินไม่ช้าก็เร็ว

หลินเทียนเจ๋อก็คิดเช่นนี้ เขารีบหันไปมองซุนซวี่

คนที่อยู่ในนี้ ล้วนเป็นเจ้าบ้านตระกูลใหญ่ ทุกคนฉลาดหลักแหลม ซุนซวี่กำลังวิเคราะห์ ถ้าร่วมมือกับตระกูลหลิน เขาจะได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด

“พี่ซุน ได้ข่าวว่าช่วงที่ตระกูลซุนกำลังบุกเบิกตลาดในต่างแดน พบอุปสรรคนิดหน่อยใช่ไหม”

หลินเทียนเจ๋อมองซุนซวี่และเอ่ยขึ้น “พี่ซุนก็รู้ หลายปีมานี้ตระกูลหลินทุ่มเทพัฒนาธุรกิจด้านบันเทิง มีเส้นสายในต่างแดนไม่น้อย ถ้าพี่ซุนต้องการ รีบบอกมาได้เลย ถ้าตระกูลหลินช่วยได้ เราต่างเป็นเจ้าบ้านเหมือนกัน ตระกูลหลินไม่นิ่งดูดายแน่นอน”

ซุนซวี่ไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับดีใจแทบบ้า

ตามข้อตกลงของทั้งสองคนก่อนหน้านี้ ไม่มีเรื่องที่จะช่วยตระกูลซุน บุกเบิกตลาดในต่างแดน อยู่ในข้อตกลง

การที่เขาเงียบ ตั้งแต่อวี๋เหวินเกาหยางปรากฏตัว เพราะต้องการเรียกผลประโยชน์เพิ่ม

การร่วมมือระหว่างสองตระกูลใหญ่ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเงินและอำนาจ

ตลาดในต่างแดนของตระกูลซุน อ่อนแอมาตลอด แต่ตลาดในต่างแดนของตระกูลหลิน พัฒนาได้เป็นอย่างดี

ถ้าตระกูลหลินยอมช่วยตระกูลซุนจริง กำลังของตระกูลซุนจะพุ่งสูงขนาดไหน

แต่ทว่าซุนซวี่ไม่ได้ตอบหลินเทียนเจ๋อทันที เขาเพียงแค่ยิ้มบางๆ

เพราะเขารู้ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ยังมีผลประโยชน์ให้เขาได้มากกว่านี้ เพราะยังมีตระกูลเย่กับตระกูลอวี๋เหวิน

ถ้าตระกูลเย่กับตระกูลอวี๋เหวิน ยอมให้ผลประโยชน์ที่มากกว่านี้ล่ะ

อวี๋เหวินเกาหยางกับเย่ม่าน สังเกตเห็นแววตาของซุนซวี่ เขามองมาที่ทั้งสองคนแบบแปลกๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ซุนซวี่ผิดหวัง ก็คือไม่ว่าจะเป็นเย่ม่าน หรืออวี๋เหวินเกาหยาง ต่างก็ไม่มีปฏิกิริยาใด

ตอนที่เขามองไปยังทั้งสองคน เขาเห็นความดูถูก อยู่ในแววตาของอวี๋เหวินเกาหยาง

ในแววตาของเย่ม่าน ก็มีเพียงความเย็นชา

เห็นได้ชัดว่า คงหมดหวังแล้ว ที่จะหา ‘ผลประโยชน์’ เพิ่ม จากอวี๋เหวินเกาหยางกับเย่ม่าน

อวี๋เหวินเกาหยางรู้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างหยางเฉินกับตระกูลเย่ จากฐานะของหยางเฉินในตอนนี้ อย่าว่าแต่ทำลายตระกูลหลินกับตระกูลซุนเลย ถึงทำลายแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู มันจะไปยากอะไรล่ะ

เรียกได้ว่า ขอแค่หยางเฉินมีชีวิตอยู่ ตระกูลเย่ไม่มีวันล้มแน่นอน

ซุนซวี่หวังจะหาผลประโยชน์เพิ่มอย่างนั้นเหรอ

ฝันไปเถอะ!

“ในเมื่อพี่หลินพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าผมไม่ทำให้พี่หลินผิดหวัง”

ในที่สุด ซุนซวี่ก็ตอบหลินเทียนเจ๋อ

หลินเทียนเจ๋อแอบด่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ในใจ แต่ความกระวนกระวายใจ หายไปในพริบตา

“เย่ม่าน พ่อฉันเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ กับตระกูลเย่ ถึงมาเคารพศพด้วยตัวเอง แต่เธอกลับแข็งข้อต่อหน้าทุกคน ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป พ่อฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

เมื่อได้รับความร่วมมือจากซุนซวี่ หลินเทียนเจ๋อจึงไม่สนใจอะไรอีก เขาพูดอย่างเย็นชา “เธอต้องขอโทษอย่างเป็นทางการ!”

“นอกจากนี้ หลินซงลูกชายฉัน เขาเป็นหลานคนแรก ในบรรดาหลานของตระกูลหลิน แต่กลับโดนคนตระกูลเย่ตบจนสลบ ต่อหน้าทุกคน เรื่องนี้คนเป็นเจ้าบ้านอย่างเธอ ก็ต้องขอโทษลูกชายฉันอย่างเป็นทางการด้วย”

“และต้องส่งตัวคนที่ทำร้ายลูกฉัน มาให้ตระกูลหลินจัดการด้วย!”

หลินเจ๋อเทียนจะให้รับผิดชอบสองเรื่องนี้อีกครั้ง ตระกูลหลินเป็นฝ่ายหาเรื่องแท้ๆ แต่เขากลับพูดว่าเป็นความผิดของตระกูลเย่

“ในเมื่อคุณพูดสองเรื่องนี้ขึ้นมา งั้นฉันก็จะคิดบัญชีกับคุณ!”

เย่ม่านพูดอย่างเย็นชา “พ่อคุณดูถูกฉันต่อหน้าทุกคน อีกทั้งยังบีบบังคับให้ฉันแต่งเข้าตระกูลหลิน เจ้าบ้านผู้ยิ่งใหญ่อย่างฉัน โดนดูถูกถึงในตระกูลเช่นนี้ พ่อคุณ ก็ต้องขอโทษฉันอย่างเป็นทางการเหมือนกันใช่ไหม”

“แล้วเรื่องที่ลูกชายคุณโดนตบ เขาเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน อย่าว่าแต่โดนตบจนสลบเลย ถึงโดนฆ่าตาย ก็สมควรแล้ว!”

เย่ม่านสบตาพูดอย่างเดือดดาล คนเป็นเจ้าบ้านตระกูลเย่อย่างเธอ ถ้าขอโทษอย่างเป็นทางการ ก็เท่ากับป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ตระกูลเย่ยอมก้มหัวให้ตระกูลหลินไม่ใช่หรือไง

เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ใช่แค่เธอที่เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งตระกูลเย่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย

“แค่ผู้หญิงปากดี เรื่องขอโทษค่อยว่ากันก็ได้ แต่วันนี้ฉันต้องเอาตัวคนที่ตบลูกชายฉันจนสลบไปให้ได้!”

หลินเทียนเจ๋อหรี่ตาลง และเอ่ยขึ้น

“ฉันเป็นคนตบเขาเอง แต่แกแน่ใจเหรอ เรื่องที่จะเอาตัวฉันไปน่ะ”

ขณะนั้น น้ำเสียงยียวนดังขึ้น จากนั้นชายหนุ่มร่างบึกบึน เดินออกมาช้าๆ เขายิ้มและเอ่ยถามหลินเทียนเจ๋อ