บทที่ 1939 - กระบวนท่าเดียว ทักษะเบิกเนตรสวรรค์

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

ใบหน้าของผู้อาวุโสซือกงเริ่มบิดเบี้ยวผิวหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ในชีวิตของเขาไม่เคยมีใครกล้าแสดงความดูถูกต่อหน้าเขาแบบนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำดูถูกเหล่านี้ ยังเป็นการกระทำต่อหน้าฝูงชน บรรดาฝูงชนที่ทรงอิทธิพล มันจึงทำให้ชายชราโกรธจัดจนชี้หน้าชิงสุ่ย
  ในขณะเดียวกันชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างผู้อาวุโสซือกงก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า”ท่านพ่อ ท่านไม่เห็นต้องโกรธเด็กน้อยไร้มารยาทคนนี้เลย ข้าขอสอนบทเรียนให้มันจดจำใส่สมองแทนท่านเอง”
  ชายคนนี้ก็คือซือกงฟ่านบุตรคนสุดท้องของผู้อาวุโสซือกง เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและยังเป็นหนึ่งในเด็กอัจฉริยะ เขาได้ถูกวางตัวเอาไว้ในตำแหน่งสำคัญของตระกูล และยังเป็นคนที่ทุกคนเชื่อมั่นว่าเขาจะพาตระกูลไปไกลที่สุด และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตระกูลซือกง
  ซือกงฟ่านเริ่มฝึกฝนกระบี่ตั้งแต่3 ปี เพราะอายุย่างเข้า 7 ปีประกายแสงแห่งพรสวรรค์ก็ปรากฏในตัวของชายคนนี้ ทำให้อายุ 12 ปีเขาก็บรรลุระดับเทวะเซียนเทียน และเมื่ออายุย่างเข้า 16 ปี เขาก็ไปถึงระดับอาณาจักรพลังปราณเทวะกษัตริย์ ปัจจุบัน เขาเป็นหนึ่งในคนที่ยังอายุไม่ถึง 100 ปี แต่ก็สามารถบรรลุไปถึงระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้ จึงทำให้บรรดาคนในตระกูลต่างยกย่องสรรเสริญ เชื่อว่าเขาจะกลายเป็นคนที่ผิดชะตากรรมของตระกูลให้เจริญรุ่งเรือง
  ตระกูลซือกงสืบทอดมาจากตระกูลราชวงศ์ซือกงซึ่งเป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ซึ่งมันทำให้พวกเขากลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจติด 1 ใน 3 ราชวงศ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในมหาจักรวรรดิ
  และด้วยอำนาจในการกดขี่บรรดาจักรวรรดิที่อยู่ภายใต้สังกัดมันทำให้พวกเขาได้แต่รอโอกาส แทบอดใจไม่ไหวที่จะแย่งชิงตำแหน่งว่างของผู้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งองค์จักรพรรดิ ทรัพยากรต่างๆภายในมหาจักรวรรดิก็ตกอยู่ในมือพวกเขากว่าครึ่ง มันยิ่งทำให้รากฐานของตระกูลในระยะยาวมีพลังอำนาจเกินกว่าที่หลายๆตระกูลจินตนาการเอาไว้
  ภายในพริบตาซือกงฟ่านก็ไปปรากฏตัวขึ้นบนลานราชกิจสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร
  บรรพบุรุษอาวุโสตระกูลเซี่ยยังคงยิ้มและไม่พูดอะไรทั้งสิ้นสถานการณ์ทั้งหมดดูปกติมากเกินไป มากจนน่าแปลก
  ”เจ้าคือชิงสุ่ยสินะดูเหมือนจะมีฉายาว่าหมอปาฏิหาริย์ชิง ทำไมเจ้าไม่ตรวจสอบร่างกายและสมองของตัวเองก่อน ตรวจสอบดูว่ามันสมควรได้รับการบำบัดรักษาบ้างหรือไม่” ซือกงฟ่านหัวเราะเยาะ ในสายตาของเขา เขาเชื่อว่าข่าวลือในตัวหมอคนนี้มันเป็นเรื่องเกินจริง จึงทำให้เขาไม่สนใจ  ชิงสุ่ยยิ้มและจ้องมองซือกงฟ่านชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากกล่าวประโยคสั้นๆว่า”ข้าว่าคนที่ต้องการรักษามันคือเจ้ามากกว่า การที่มังกรน้อยของเจ้าไม่สามารถผงาดได้ มันทำให้เจ้าเป็นทุกข์ร้อนใจมาโดยตลอดใช่หรือไม่?”
  บรรดาผู้ชมที่อยู่รอบๆลานราชกิจสวรรค์เผลอส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
  ”ซือกงฟ่านเป็นคนพิการหรือนี่ข้าว่าแล้วว่าทำไม ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ถึงได้ครองความโสดแล้วไม่ยอมมีลูก”
  ”ซือกงฟ่านเรื่องจริงหรอเนี่ย!!”
  ”อย่าล้อเล่นหนาา พวกเจ้าก็แค่พูดจาทับถมอีกฝ่าย”
  สีหน้าของผู้อาวุโสซือกงแปรเปลี่ยนไปทันทีแต่ก็กลับคืนสู่สีหน้าปกติภายในชั่วพริบตา
  ”กร๊อกกกก!!!”ซือกงฟ่านกัดฟัน”อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ!!”   ”ฮ่าฮ่า ฮ่า เกิดเป็นชายชาตรีก็ควรยอมรับในความพิการของตัวเอง อย่าได้เขินอายไปเลย”ชิงสุ่ยยิ้ม
  ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังระเบิดเสียงหัวเราะกันอย่างต่อเนื่องซึ่งมันยิ่งทำให้ซือกงฟ่านโกรธจัดจนตัวสั่น มันก็เลยกลายเป็นเครื่องยืนยันว่าความเจ็บป่วยนี้ มันอาจมีเค้าความจริง
  ”เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!!”
  ซือกงฟ่านจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความโกรธตอนนี้ชายที่เคยสง่างามกำลังสูญเสียภาพลักษณ์ของตนเองไปหมดสิ้น ซึ่งในที่สุดเขาก็พยายามสงบสติลง แต่ดวงตาที่เฝ้ามองเขาอยู่โดยรอบมันทำให้เขากังวล เขารู้แล้วว่าเปลวเพลิงแห่งความแค้นในใจมันไม่มีทางสงบลงได้ เขาจึงต้องมองชิงสุ่ยกลับไปด้วยสายตาเย็นชาเหมือนน้ำแข็งพร้อมจะทิ่มแทง
  ”ฟังคำแนะนำของข้าเดินลงกลับไป เจ้าไม่คู่ควร คำพูดบางคำก็ควรคิดก่อนพูด เพราะเจ้าอาจจะไม่สามารถยอมรับผลที่ตามมาได้”ชิงสุ่ยโบกมือไล่ เหมือนกำลังไล่แมลงวัน
  ซือกงฟ่านที่พยายามสงบสติอารมณ์แต่คำดูถูกครั้งนี้มันยิ่งทำให้เขาขายหน้า จนเขาระงับความโกรธไม่ได้อีกแล้ว ไม่ได้ของเขาไม่เคยโกรธเกลียดใครเข้ากระดูกแบบนี้มาก่อน ในที่สุดก็มีคนทำได้
  ”คนไร้ประโยชน์มันก็มีดีแต่คำพูด เจ้าจะได้ชิมรสชาติกระบี่ของข้า!!”
  ซือกงฟ่านเริ่มโต้แย้งดึงกระบี่ออกจากฝักชี้ตรงไปที่หน้าชิงสุ่ย
  ย่างก้าวลวงตา!!
  มันคือหนึ่งในกระบวนท่าสังหารของตระกูลซือกงแต่ละย่างก้าวจะอาศัยการเคลื่อนที่แบบแปลกประหลาด ถ้าหากใครหรือผู้ใดฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดแล้ว มันจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ลึกลับ ไปหน้าถอยหลังได้อย่างอิสระ แล้วไม่อาจคาดเดาทิศทางได้
  ชิงสุ่ยมองดูกระบวนท่าการเคลื่อนไหวพริบตาด้วยความสนใจในสายตาของเขากำลังมองดูคมกระบี่ที่แสนเยือกเย็นกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
  ซือกงฟ่านระเบิดพลังเพื่อแสดงทักษะกระบวนท่าสังหารอย่างเต็มกำลังถ้าหากเป็นคนธรรมดาหรือเป็นคนอื่น พวกเขาไม่มีทางแยกได้เลยว่ากระบี่เล่มไหนไปเล่มจริง เพราะทุกเล่มที่ปรากฏบนฟ้าล้วนแล้วแต่เป็นภาพเงากระบี่ที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนแทบจะกลายเป็นของจริงอย่างสมบูรณ์
  แต่ชิงสุ่ยก็ยังมองดูด้วยความนิ่งสงบ พร้อมประกายแสงผ่านสายตา
  ทักษะเบิกเนตรสวรรค์!!
  ในชั่วพริบตาภาพเงากระบี่ทั้งหมดก็ถูกลบเลือนหายไปเหลือแค่เพียงเงากระบี่ของจริงที่อยู่หลังสุด ที่สำคัญกว่านั้นคือมันกำลังเคลื่อนที่อย่างช้ามากๆ ซึ่งเกิดจากการพัฒนาไปอีกขั้นของทักษะเบิกเนตรสวรรค์
  ถ้าหากจะให้พูดมันไม่ใช่เพราะกระบี่ช้าลงแต่เป็นเพราะตัวของชิงสุ่ยมันเร็วขึ้น จึงทำให้ทุกอย่างรอบตัวช้าลงแทน
  ชิงสุ่ยมองดูภาพความเร็วจากเดิมที่เคยเคลื่อนที่100 ส่วน ถ้าหากอาศัยเพียงแค่ความแข็งแกร่งของสายตา การเคลื่อนที่ของศัตรูก็จะลดลงเหลือเพียงแค่ 50 ส่วน แต่ถ้าผนวกรวมกับทักษะเบิกเนตรสวรรค์ที่แข็งแรงแล้ว มันจะลดลงไปอีกเหลือแค่เพียง 25 ส่วนเท่านั้น
  ความเร็วในการเคลื่อนที่ของซือกงฟ่านจึงช้าลงแบบฉับพลันและแล้วชิงสุ่ย ก็เคลื่อนไหวพริบตาพุ่งตรงเข้าหาเงากระบี่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า มันทำให้บรรดาผู้ชมโหร้องแตกตื่นด้วยความตกใจ
  ปังงงงง!!
  ชิงสุ่ยใช้มือเปล่าจับกระบี่ซือกงฟ่านแล้วใช้มืออีกข้างอัดกระแทกตัวซือกงฟ่านด้วยความเร็วที่เหนือกว่า เหวี่ยงซือกงฟ่านลอยทะยานปลิวออกไปไกลๆ พร้อมกับสภาพเลือดกลบปาก