TB:บทที่ 315 สภาแห่งศาสตร์มืด (2)

 

พ่อมดที่มีดวงตาสีเขียวหม่นพยักหน้าแล้วตอบว่า “เจ้าจะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้านำนิวเวิลด์กลับมาเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ สิ่งนั้นเป็นของดี ข้าสามารถเสกสรรคาถาใหม่ๆของศาสตร์มืดได้จากในนั้น”

 

“ลอร์ดรัมเซส เหตุที่ท่านทำเช่นนั้นได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความสามารถของท่าน!” แอนเดสรีบเอ่ยชมพร้อมกับส่งยิ้ม

“หึ เจ้าตามข้ามา” รัมเซสคลี่รอยยิ้มอันพึงพอใจออกมาผ่านใบหน้า

ทันใดนั้นแอนเดสรีบโค้งคำนับรัมเซสและคนที่เหลืออีกสาม และเตรียมพร้อมที่จะก้าวต่อไป

จู่ๆพ่อมดแห่งศาสตร์มืดคนหนึ่งส่งมือที่เกือบจะกลายเป็นกระดูกและแทบจะไม่มีสัมผัสอันอบอุ่นหลงเลืออยู่ คว้าเข้าไปที่ไหล่ของแอนเดสแล้วกระซิบข้างใบหูของเขาว่า “แอนเดสเอ๋ย เจ้าไม่ทราบหรือว่าแมงป่องโลหิตที่อยู่นอกปราสาททมิฬคือลูกสมุนของข้า คราวหลัง หากเจ้ากล้าปฏิบัติกับพวกเขาแบบนั้นอีก เจ้าจะต้องชดใช้ให้ข้าอย่างสาสม”

 

“ข้า.. ข้าเข้าใจแล้ว” แอนเดสตอบเสียงสั่น ด้วยความตกใจจึงทำให้เหงื่อกาฬเริ่มไหลออกมาตามใบหน้าเขา

“บราส ท่านเลิกขู่ขวัญแอนเดสได้แล้ว” เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของแอนเดส รัมเซสจึงพูดกับอีกฝ่าย

“เจ้าไปได้แล้ว” บราสตบบ่าของแอนเดสหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ยอมปล่อยเขาไปแต่โดยดี

 

แอนเดสจึงเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยความสับสน

พลังของพ่อมดแห่งศาตร์มืดตนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ในเมื่อเขารู้ว่าอีกฝ่ายปล่อยแมงป่องโลหิตให้อยู่ด้านนอกของปราสาททมิฬ เขาจะไม่ไปยุ่งกับมันอีกเด็ดขาด ถึงแอนเดสจะเป็นพ่อมดแห่งศาสตร์มืดตนหนึ่ง แต่เขายังหวาดกลัวในพลังของอีกฝ่ายอยู่ดี

 

บรรยากาศที่น่าสยดสยองภายในห้องโถงใหญ่แห่งปราสาททมิฬ ท่านประธานในชุดคลุมสีดำนั่งอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุดด้วยท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ โดยรอบตัวเขาเต็มไปด้วยเหล่าผู้มีอำนาจและที่ปรึกษาที่น่าพิศวง เนื่องจากว่ามีไอหมอกคลึ้มปกคลุมอยู่รอบตัวท่านประธาน รวมถึงสมาชิกอาวุโสคนอื่นๆก็ได้นั่งในตำแหน่งที่มืด ทำให้ไม่ผู้มาใหม่อย่างแอนเดสไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน ทันทีที่เขามาถึง เขาก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

 

ท่านประธานหันไปมองไปแอนเดส จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “แอนเดส เหตุใดเจ้าถึงได้มาปรากฎตัวที่นี่? แล้วชายหนุ่มชาวจีนที่มีนามว่าเฉินหลงคนนั้นล่ะ? “

“ท่านประธาน ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ จึงรีบกลับมาโดยไม่ทันได้ส่งข่าวให้ท่านทราบก่อน ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย ส่วนเฉินหลง เขาเป็นคนดีและเป็นคนที่ทรงพลังมาก” แอนเดสรีบตอบคำถามของอีกฝ่ายทันที

หลังจากได้ยินคำตอบจากแอนเดส ท่านประธานนึกสงสัยจึงถามกลับไปว่า “แล้วอะไรที่ทำให้เจ้ากลับไปที่ไฮเดลเบิร์ก?”

“เรื่องนั้น…”

 

จากนั้น แอนเดสก็เล่าเรื่องที่เขาได้ก่อตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัย และเรื่องที่เฉินหลงเสนอให้เขาจัดการกับพวกนักบวชด้วยอาวุธปืน รวมไปถึงความสามารถและพลังของเฉินหลงให้อีกฝ่ายฟัง

“แอนเดส นี่เจ้าหมายความว่าอาวุธปืนสมัยใหม่สามารถจัดการพวกนักบวชได้อย่างนั้นหรือ? นอกจากนี้ เจ้ายังบอกว่าพลังของชายหนุ่มชาวจีนนามว่าเฉินหลงอยู่ในระดับหลอมรวมธรรมชาติแล้ว… เป็นไปได้อย่างไร?”

แอนเดสผงกหัวขึ้นลง พร้อมกับยืนยันว่า “ถูกต้องแล้วครับ พลังของเฉินหลงอยู่ในระดับหลอมรวมธรรมชาติจริงๆ อีกทั้งอาวุธปืนสมัยใหม่พวกนั้นมีอานุภาพสูงมาก พวกโบสถ์แห่งแสงที่มีร่างกายเปราะบางเยี่ยงคนธรรมดา เราสามารถใช้ปืนที่มีอนุถาพพวกนั้นยิงพวกเขาในตอนที่พวกเขาไม่ได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ถ้าฝ่ายนั้นไม่ได้ใช้พลัง ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องถูกยิงด้วยกระสุนเป็นแน่”

 

“อาวุธปืนพวกนั้นสามารถจัดการคนพวกนั้นได้จริงหรือ?” ท่านประธานเอ่ยถามพร้อมกับมองไปที่แอนเดส

ในฐานะประธานแห่งสภาแห่งศาสตร์มืด เขาอาศัยอยู่ในปราสาททมิฬมาเนิ่นนาน และเรื่องภายนอกปราสาทก็เป็นหน้าที่ของมัคนายกฝ่ายต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากนัก

“จริงครับ” แอนเดสตอบ ในขณะเดียวกันเขาได้นึกถึงปืนสไนที่ทรงอนุภาพและมีพลังในการทำลายล้างสูง กระสุนปืนพวกนั้นสามารถทำให้ร่างกายของมนุษย์มีรูพรุนได้จริงๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจงบริหารบริษัทรักษาความปลอดภัยต่อไป และถ้าหากว่าเฉินหลงต้องการเข้าร่วมสภาแห่งความมืด ทางเรายินดีต้อนรับเขาเสมอ” ท่านประธานตอบด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจ

แม้แต่ผู้มีพลังวิเศษก็ยังมีจุดอ่อน มันอยู่ที่ว่าเราจะสามารถหาจุดอ่อนพวกนั้นได้หรือไม่ ถ้าเรารู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เราก็มีสิทธิที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้

ตั้งแต่อดีต สภาแห่งความมืดมีสมาชิกมากกว่าแต่พลังของพวกโบสถ์แห่งแสง แต่ด้วยอำนาจของโบสถ์แห่งแสงได้ยับยั้งอำนาจของสภาแห่งความมืด และขับไล่สภาแห่งความมืดจนมีสถานะที่ตกต่ำ

 

หากมีวิธีที่จะทำให้อำนาจของโบสถ์แห่งแสงเสื่อมโทรมโดยไม่ต้องลงมือต่อสู้เอง ท่านประธานจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกรัฐสภาหรือผู้อาวุโสคนอื่นๆ พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน

หลังจากนั้น แอนเดสก็ได้เดินทางกลับไปยังลิเวอร์พูล

เนื่องจากฝ่ายโบสถ์แห่งแสงได้เดินทางมาถึงนครแห่งหมอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับศัตรู ในตอนนี้ ฝ่ายสภาแห่งความมืดได้ตัดสินใจว่าพวกเขาจะไม่ปรากฏตัวที่นครแห่งหมอก

 

ฝ่ายโบสถ์แห่งแสงไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นครแห่งหมอกได้เป็นเวลานาน ภายในหนึ่งเดือนที่อาศัยอยู่ในนครแห่งหมอก หากพวกเขาไม่พบคนจากสภาแห่งความมืด พวกโบสถ์แห่งแสงก็จะเดินทางกลับไปยังสันตะสำนักทันที

ในเดือนนี้ สำนักงานใหญ่ของบริษัทรักษาความปลอดภัยเว่ยหลงสร้างเสร็จแล้ว และเสิ่นเหมินกรุ๊ป (เทวาจุติกรุ๊ป)ก็ได้ส่งอาวุธปืนที่มีอำนาจในการยิงสูงอย่าง ปืนไรเฟิล Barrett M82A1 ปืนสไนเปอร์ L115A3 ปืนแก็ตลิง และ ปืนเเม็กนั้ม M500 ตามที่เฉินหลงต้องการมายังบริษัทโดยที่ปืนทุกกระบอกเป็นอาวุทที่ทรงอนุภาพ และมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ปลอดภัยต่อการใช้งาน นอกจากนี้เสิ่นเหมินกรุ๊ปเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด โดยที่เฉินหลงไม่จำเป็นต้องควิกเงินออกมาสักแดง ของดีที่ให้กันฟรีๆแบบนี้ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธรับมัน

 

ถึงแม้ว่าความสามารถในใช้ปืนของทหารเยอรมันอาจจะลดลงไปบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถ ดังนั้น หากพวกเขาได้เข้ารับการฝึกสุดโหดจากบอร์แมน การใช้อาวุธพวกนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาอีกต่อไป

“เห็นไหมว่าบอสของพวกเราดีกับพวกเราขนาดไหน ไหนจะคนอื่นๆที่อยู่ที่นั่นที่ปฏิบัติดีต่อเราอีก นายต้องปกป้องพวกเขาให้ได้ เอาล่ะ พลทหารทั้งหลายจงตั้งใจฟังคำถามของฉันให้ดี พวกนายอยากแข็งแกร่งขึ้นไหม?” บอร์แมนถามเหล่าทหารห้าร้อยนายที่กำลังวิดพื้น

“อยากครับ!”

ทันใดนั้นเหล่านายทหารที่กำลังวิดพื้นอยู่นั้นได้ร้องตะโกนออกมาโดยพร้อมเพียงกัน

“ถ้าพวกนายอยากแข็งแกร่งขึ้น พวกนายก็ต้องตั้งใจฝึกอย่างหนักเพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเอง เมื่อถึงตอนที่พวกนายมีคุณสมบัติครบทุกประการแล้ว พวกนายก็จะสามารถปกป้องพวกเขาได้ เข้าใจที่ฉันพูดไหม?” จากนั้นบอร์แมนก็ได้ตะโกนเสียงดังออกไปอีกครั้ง

วิถีชีวิตแบบนี้ได้ทำให้บอร์แมนนึกถึงอดีตที่เขาเคยเข้าร่วมกองทัพ เขาชอบที่นั่นมาก และเขาคิดว่า นี่แหละคือชีวิตที่เขาโหยหามันมาโดยตลอด

 

ในชีวิตของบอร์แมน มีเพียงแค่สามครั้งเท่านั้นที่เขาชอบและมีความสุขมาก ครั้งแรกคือตอนที่เขาได้อยู่กับไอดา ในตอนนั้นเขามีชีวิตที่ดีและความสุขมาก ครั้งที่สองคือตอนที่ผู้พันนอร์ตันทำให้เขาเข้าร่วมกองทัพและได้ทำงานให้กับกองทัพ และครั้งสุดท้ายคือตอนที่เขาเป็นลูกน้องของเฉินหลง ในวันที่เขาได้กลายเป็นลูกน้องของเฉินหลง ในที่สุด บอร์แมนก็ตระหนักได้ว่าชีวิตของเขานั้นโชคดีมากจริงๆ เป็นเพราะผลของผลซื่อสัตย์ แม้เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้เขาคิดแบบนั้นจะมาจากผลซื่อสัตย์ แต่เขาคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเฉินหลงเองก็ปฏิบัติดีกับเขามากเช่นกัน หากไม่มีเฉินหลงในวันนั้น เขาก็คงไม่มีชีวิตที่ดีในวันนี้

ดูเหมือนกับว่าตอนนี้บอร์แมนได้ย้อนเวลากลับไปที่กองทัพอีกครั้ง เขามีความสุขและพึงพอใจกับมันมากจริงๆ