ตอนที่ 1085 - สายลมฟื้นคืน

The Divine Nine Dragon Cauldron

ตามที่ยอดฝีมือคนหนึ่งที่ไปตรวจดูพื้นที่ได้บอกผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ถูกควักหัวใจออกมาทั้งเป็น ดวงวิญญาณของเขาถูกกลืนกินเข้าไปโดยไม่มีทางโต้ตอบ
  ภายในครึ่งชั่วยามเมืองมหาสัตว์อสูรที่มีจิตวิญญาณทั้งเก้าของจิวโจวก็ได้กลายเป็นเพียงฝุ่นควัน หลังจากนั้นเพียงหนึ่งวัน ส่วนที่สองได้ถูกลบล้างหายไป
  ทุกความตายเหมือนกันทุกสิ่งถูกควักหัวใจโดยไม่เหลือดวงวิญญาณเอาไว้ ทุกสำนักในเขตนี้ถูกทำลายไปทีละหนึ่ง เหมือนกันหมด!
  เขตมหาสัตว์อสูรกลายเป็นเขตร้างไปแล้วเมื่อข่าวไปถึงแปดเขตอื่น
  ในการถูกล้างบางผู้รอดชีวิตที่หนีออกไปจากเขตนั้นไม่รู้เลยว่าใครคือสิ่งใดได้ทำเรื่องอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ดวงวิญญาณและหัวใจถูกกลืนกินไปทั้งเขต  ไม่มีใครรู้จนกระทั่งมียอดฝีมือหนุ่มที่โชคดีรอดชีวิตมาบอกสิ่งที่ได้เห็น
  มือสังหารผู้ป่าเถื่อนมีผมขาวตาสีดำ ริมฝีปากม่วง ตามเรื่องเล่าของสัตว์ประหลาดหลินหลาง หยุนหยาซือเองก็ได้บอกแล้วว่าเซียนมณี แท้จริงแล้วคือหลินหลาง
  เวลานี้คนจิวโจวยอมรับความจริงแล้ว ผู้วิเศษที่พวกเขาเลื่อมใสมาไม่รู้กี่ปีต่อกีปี่คืออสูรแข็งแกร่งที่ดุร้าย
  นางยินดีที่จะกลืนกินชีวิตในจิวโจวนางทำลายเขตมหาสัตว์อสูรไปจนไม่เหลือชิ้นดี
  การทำลายล้างเขตได้ทำให้ราชาของแต่ละเขตกระวนกระวายเขตทางทิศบูรพาได้ส่งอสูรเนรมตรที่แข็งแกร่งไปกับห้าเขตอื่นเพื่อท้าทายหลินหลางในเขตมหาสัตว์อสูร
  ตามข่าวลือสงครามที่เกิดขึ้นทำให้ฟ้าดินผันแปร ทุกสิ่งระส่ำระสาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะการเติบโตมากว่าพันปี แดนใต้ก็คงจะรกร้างว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใดไปแล้ว  นี่คือสงครามของเหล่าอสูรเนรมิตรอย่างไม่ต้องสงสัยสงครามจบลง แต่มันก็ทำให้จิวโจวสั่นคลอนจนตื่นตระหนก! อสูรเนรมิตรทั้งหกจากห้าเขต ตายไปหนึ่ง ถูกบดขยี้ไม่เหลือไปสอง อีกบาดเจ็บสาหัสอีกสาม!
  ร่างกายและดวงวิญญาณของราชาเขตถูกหลินหลางดูดกลืนเข้าไป!ราชาสองคนถูกทำลายร่างกายเหลือเพียงแต่ดวงวิญญาณที่หนีรอด อีกสามคนเองก็ต้องรักษาตัวอีกนาน
  หลินหลางหนีไปได้แต่ก็บาดเจ็บหนัก!นี่คือผลจากการต่อสู้อย่างมั่นใจ แต่มันทำให้เกิดซากเขตขึ้นในแดนใต้ ทุกคนไม่รู้ตัวเลยว่าเทพอสูรอยู่ที่ใด หรือเหยื่อรายต่อไปจะเป็นเขตไหน
  มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้คนในจิวโจวสบายใจก็คือข่าวเรื่องราชาสามเขตที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม
  ในเขตกระบี่ไร้ใจเจี๋ยนอู๋เชิงได้ชักกระบี่ลงจากเขา ขณะนี้ นางได้ทิ้งเขตกระบี่ไร้ใจออกไปตามล่าเซียนมณีหลินหลาง  ฮั่นเฟยผู้นำศิษย์แห่งสำนักอสูรสวรรค์ได้บอกข่าวไปยังทั้งโลกแทบอาจารย์ของนางว่าสำนักอสูรจะเข้าร่วมสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในฝั่งตรงข้ามกับหลินหลาง
  และก็มีข่าวเรื่องนักรบที่แข็งแกร่งคนสุดท้ายที่ชาวจิวโจวมุ่งหวังนั่นคือราชาเขตกลาง
  เขาออกจากการปิดประตูฝึกตนแล้ว!!
  ในฐานะที่เป็นศิษย์คนเดียวของงราชาเขตในตำนานยุคก่อนหรือก็คือเฉินอี้เจิงราชาเขตกลางได้กลายเป็นศูนย์รวมความสนใจ
  แม้ว่าจะฝึกฝนมากว่าร้อยปีความเป็นผู้นำของเฉินอี้เจิงและความนับถือต่อเขาก็ได้ถูกเปลี่ยนผ่านมาสู่ราชาเขตกลาง พวกเขาเชื่อใจและคาดหวังกับราชาเขตกลางผู้นี้ พวกเขาเชื่อว่าศิษย์ของเฉินอี้เชิงจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง
  …..
  ณเขตกลาง ที่เมืองหลวง สองคนยืนอยู่หน้าห้องลับที่มีแสงสีทองแลบออกมา
  หนึ่งคนสวมชุดเกราะทองคำส่งพลังสูงส่ง มันแสดงความหยามเหยียดกับคนทั้งโลก
  ส่วนอีกคนสวมชุดสีม่วงใบหน้างดงามของนางไร้เดียงสา แสดงถึงความขาดประสบการณ์ต่อโลกภายนอก
  ทั้งสองรอคอยอย่างเงียบเชียบผ่านไปไม่นาน ประตูศิลาสู่ห้องลับได้เปิดออกช้า ๆ
  คนสวมชุดราชาเดินออกมา
  “สวัสดีท่านอาจารย์”
  หญิงสาวในชุดสีม่วงพูดพร้อมโค้งคำนับ
  ชายหนุ่มในชุดเกราะสีทองไม่ขยับตัวเขาไม่แสดงความนับถือแม้แต่น้อย
  “อสูรเนรมิตรขั้นสาม!เสวียนเอ๋อ เจ้าเติบโตขึ้นมาก”
  เขาก้าวออกมายิ้มอย่างพอใจเมื่อเหลือบมองหญิงสาวในชุดม่วง  นางคือฮั่นเสวียน
  ส่วนผู้ที่เดินออกมาแน่นอนว่าเขาคือราชาเขตกลาง!
  “ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”
  ชายหนุ่มชุดสีทองหันกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไร้สีหน้า
  ราชาเขตกลางยิ้ม
  “เจ้าไปได้ใช้โอกาสนี้ชี้แนะศิษย์น้องที่สามของเจ้า”
  “นางมีพรสวรรค์ดีอยู่แล้วนางไม่ต้องการคำชี้แนะจากข้า”
  จางอู๋ชวงจากไปเขาเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับแม้สักครั้ง
  ฮั่นเสวียนขมวดคิ้วเบาๆ
  ศิษย์น้องสามคือศิษย์ที่ราชาเขตกลางรับมาอย่างไม่คาดคิดในหนึ่งปีก่อนที่เขาจะปิดประตูฝึกตนไม่มีใครรู้ที่มาของนาง และมันก็เป็นเวลาแปลกในการรับศิษย์  ตลอดเวลาที่ราชาเขตกลางฝึกตนจางอู๋ชวงคือผู้ที่คอยชี้แนะนาง ฮั่นเสวียนได้พบกับนางเพียงไม่กี่ครั้งเพราะนางจะปิดประตูอยู่ตลอดเวลา
  ศิษย์คนใหม่เป็นหญิงสาวที่สงวนตัวอย่างมากนางมีพรสวรรค์อันน่าประทับใจ ในด้านของพลัง นางแทบจะใกล้เคียงกับฮั่นเสวียน นางถึงกับพูดว่านางมีสายโลหิตพิเศษที่แม้แต่จางอู๋ชวงยังชื่นชม
  ฮั่นเสวียนรู้จักจางอู๋ชวงดีตลอดมา เขาไม่เคยกล่าวชมนางเลย แต่เมื่อศิษย์น้องสามเข้ามา นางก็ได้รับการยอมรับในหนึ่งปี เห็นได้ชัดว่าสายเลือดของนางเป็นสิ่งที่มีค่า
  “บอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ข้าบ่มเพาะ”
  ฮั่นเสวียนพยักหน้า
  เมื่อเขารู้เรื่องเซียนมณีเขาเพียงยิ้ม ไม่มีความแปลกใจหรือตกใจเลย
  เพียงเมื่อได้ยินว่าซือหยูมีชื่อเสียงขึ้นมาตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย ฮั่นเสวียนสังเกตเห็น
  “นอกเหนือจากนี้ดินแดนมีดสวรรค์กับดินแดนพรสวรรค์ได้ก่อสงครามอีกครั้ง ครั้งนี้ก็เพราะดินแดนมีดสวรรค์ตัดสินใจอุ้มชูทรยศกู้ไทซูที่สังหารคนดินแดนพรสวรรค์ไปมาก”
  ฮั่นเสวียนรายงาน
  ราชาเขตกลางพยักหน้า
  “กู้ไทซูเป็นอย่างไรบ้าง?”
  “กายหยาบถูกสร้างขึ้นใหม่บาดแผลหายดีแล้ว เขากำลังจะเป็นอสูรเนรมิตรและทำกายาเก้าวิญญาณให้สำเร็จ เขาฝึกตัวอยู่สามเดือน เราจะได้เห็นผลในอีกไม่กี่วัน”
  “อย่างนั้นก็ดี…”
  “เจ้าบ่มเพาะ‘หยกสตรีสวรรค์’ ของเจ้าไปถึงไหนแล้ว?”
  ราชาเขตกลางไม่ได้อยากจะฟังเรื่องที่นางรายงานเขาเท่าใดนักเขาเปลี่ยนเรื่องมาเป็นการบ่มเพาะของนางแทน  ฮั่นเสวียนตอบอย่างจริงใจ
  “อีกการบรรลุเดียวข้าจะไปถึงขั้นสูง ข้าล้มเหลวมานาน บางทีข้าอาจต้องฝึกอีกครั้ง”
  เมื่อได้ฟังราชาเขตกลางแปลกใจ
  แต่เขาก็ใจเย็นในเบื้องหน้าเขาพูดด้วยความพอใจ
  “ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปที่ดินแดนมีดสวรรค์ ราชาเขตจะจัดการให้เจ้า”
  “เพื่อเข้าร่วมสงครามในดินแดนพรสวรรค์รึ?”
  ฮั่นเสวียนไม่ชอบความคิดนี้เท่าใดนักเพราะนางอาศัยอยู่ที่นั่นมาระยะหนึ่ง
  “สงครามคือหนทางที่ดีที่สุดในการฝึกฝน!ไปเถอะ เขาจะทำให้เจ้าปลอดภัย”
  ฮั่นเสวียนพยักหน้านางขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อยตลอดเวลา
  แม้จะหันหลังให้ราชาเขตกลางนางก็สัมผัสได้เล็กน้อยว่าราชาเขตกลางมองนางด้วยสายตาที่แปลกมาก  นางสงสัยเรื่องนี้ในใจมานานดูเหมือนว่าอาจารย์ของนางจะสนใจการบ่มเพาะ หยกสตรีสวรรค์ ของนางเป็นพิเศษเหนือกว่าการเพิ่มฐานพลัง
  นางเคยถามเขามาก่อนและได้รับคำตอบว่ามันเป็นวิชาที่พิเศษมากมันจะทำให้นางได้รับประโยชน์อย่างดีเมื่อสำเร็จขั้นสูง
  นางที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่เคยคิดมากแต่ในเวลานี้ นางรู้สึกไม่สบายใจในวิธีที่อาจารย์มองนาง
  ราชาเขตกลางยืนขึ้นเมื่อมองฮั่นเสวียนจากไปเขาหันไปที่มุมมืดสนิทและโค้งคำนับทันที
  “ท่านอาจารย์!”
  “เอาล่ะข้าจะหลบภัยในวังของเจ้าไปก่อน”
  เสียงแหบพร่าดังมาจากความมืด
  …..
  ในหุบเขาซือหยูใช้เวลาครึ่งปีในการบ่มเพาะ
  ตลอดหกเดือนเขาได้ผ่านวิชาหยินหยางหลายรอบ เขาได้หลอมรวมฎีกาสวรรค์เข้ากับทุกสิ่งที่เรียนรู้มา
  วิถีเทพวิถีภายใน วิถีเปลือกนอก และวิถีของสายโลหิต ทุกอย่างได้กลายเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกับเขาได้กลายเป็นคนใหม่
  ซือหยูลืมตาช้าๆ มองประตูหยินหยางที่กำลังจะหายไปจากนภาด้วยสีหน้าขอบคุณ
  “ขอบคุณมาก”
  เมื่อพูดจบเขาลูบสายลมด้วยฝ่ามือ ประตูหยินหยางหายไป วิบัติตำราถูกแก้ไข
  “ยินดีด้วยนายท่าน”
  เสี่ยวไป่บินลงมาจากท้องฟ้าและยืนตรงตระหง่าน
  ซือหยูลุกขึ้นช้าๆ
  “เกิดอะไรขึ้นกับจิวโจวบ้าง?”
  ในระหว่างการบ่มเพาะของเขาเสี่ยวไป่มิได้เพียงแต่รับผิดชอบในความปลอดภัยของซือหยู แต่ยังต้องหาข่าวคราวเรื่องโลกภายนอกอีกด้วย
  เสี่ยวไป่บอกรายละเอียดทุกอย่างกับซือหยู
  ซือหยูไม่แปลกใจที่เซียนมณีได้ล้างบางเขตมหาสัตว์อสูรเขาไม่ตกใจชะตาอันน่าเศร้าของราชาเขตทั้งห้าหรือเซียนทั้งหก เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้ต่อสู้กับเซียนมณี
  แต่มีสิ่งเดียวที่ทำให้เขาต้องสนใจ
  นั่นก็คือราชาเขตกลางได้ออกจากการบ่มเพาะพลังแล้ว!
  เขาคือคนเดียวที่รู้เรื่องหม้อเก้ามังกรของซือหยูและไม่เคยหยุดที่จะฝันถึงมัน
  ครั้งสุดท้ายเขาถึงกับลั่นคำสาบานว่าเมื่อใดที่ออกจากการบ่มเพาะพลัง เขาจะออกตามล่าซือหยูด้วยตัวเอง!
  และเมื่อเขาออกมาแล้วซือหยูก็เกรงว่าเขาจะลงมือในอีกไม่นาน  หยุนหยาซือเคยบอกซือหยูว่าราชาเขตกลางมีพลังเหนือสุดในทวีปแห่งนี้เขาแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
  เมื่อราชาเขตกลางหมายตาเขาเมื่อใดซือหยูก็ไม่มั่นใจนักว่าจะมีพลังรับมือได้
  สิ่งที่ท้าทายที่สุดก็คือวิบัติของเขาที่กำลังจะมาถึง!
  ในระหว่างบ่มเพาะสัมผัสอันตรายได้มาถึงเขาบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นอายของวิบัติอยู่รอบตัวเขา อีกไม่กี่วันข้างหน้า วิบัติโชคชะตาจะตกลงสู่เขา
  ถ้าหากวิบัติมาถึงเขาในเวลานี้มันก็เหมือนกับการที่ลูบเห็บตกลงมาพร้อมกับหิมะ
  ป่าปีศาจร้างจะคุ้มกันเขาไม่ได้อีกต่อไปการมาของวิบัติโชคชะตาจะเป็นการมาของราชาเขตกลางแทน ความสูญเสียและความตายจะเกิดขึ้นกับชาวเผ่าไม้
  ซือหยูต้องเลือกจุดที่เหมาะสมในการรับมือกับวิบัติแรกวิบัติแห่งโชคชะตา  เมื่อเขาพบหยินมู่เขาได้อธิบายความตั้งใจในการเดินทาง
  “วิบัติมาถึงแล้วรึ?”
  หยินมู่ถาม
  “ข้าเคยเห็นวิบัติสามในเก้าที่เกิดขึ้นพร้อมกันเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตนี้ข้าไม่รู้มากนัก ทุกอย่างที่ข้ารู้ก็คือคนส่วนใหญ่จะตายในวิบัติที่สอง วิบัติของผู้คน! ส่วนวิบัติที่สาม ในเรื่องความสัมพันธ์ ไม่เคยมีใครก้าวข้ามมันได้ เจ้าต้องเตรียมตัวให้เต็มที่”
  “ผู้อาวุโสหยินมู่ขอบคุณท่านมากที่ตักเตือน ข้าจะระวังตัวให้ดี”
  ซือหยูประสานหมัด
  “ข้าต้องขอลาก่อน”
  “เอาล่ะขอข้าไปส่งเจ้า อาจมีภัยรอเจ้าอยู่ก็เป็นได้ ไอ้ผีนั่นหายไปแค่ไม่กี่เดือน มันอาจจะปิดบังกลิ่นอายอยู่”
  หยินมู่พูดถึงจ้าวดินแดนมีดสวรรค์
  ซือหยูตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้  “ท่านกำลังพูดว่าคนที่ท่านต่อสู้ในวันนั้นคือเผ่าผีรึ?”
  หยินมู่ตอบ
  “ใช่แม้จะแปลงกายได้ดี กลิ่นอายของภูติผีก็ไม่ผิดเพี้ยน! มันมีสมบัติภูติผีอยู่กับตัวด้วย”
  ภูติผี!ซือหยูคิดหนัก
  เขาต้องสะสางกับภูติผีที่มาถึงโลกเมื่อร้อยปีก่อนมันคือกระดูกโลหิตที่มีพลังมหาศาล มีมนุษย์ที่มีอำนาจมากมายได้อยู่ฝั่งเดียวกับมันอย่างไม่น่าเชื่อ
  หรือว่าดินแดนมีดสวรรค์จะ…?
  ในฐานะศัตรูต่อมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อนที่มนุษยชาติชิงชังคงจะน่ากลัวหากจ้าวดินแดนมีดสวรรค์เลือกเข้าข้างมัน
  ถ้าหากมีใครรู้เข้าทั้งโลกจะต้องตกตะลึงเป็นแน่!
  ซือหยูพูดหลังจากครุ่นคิด
  “ข้าต้องหาวิธีรับมือจ้าวดินแดนมีดสวรรค์ซะแล้ว”