ตอนที่ 1086 - ไปเมืองเทียนหยาอีกครั้ง

The Divine Nine Dragon Cauldron

“พี่ซือข้าจะไปกับพี่ด้วย”
  กงซุนหวูซื่ออาสาด้วยความกล้าหาญ
  “ข้าจะขอร้องท่านพ่อให้มาช่วยจัดการเจ้านั่น”
  ซือหยูส่ายหน้าเบาๆ
  “หวูซื่อเจ้ากับจือยี่อยู่ที่นี่ไปก่อน โลกภายนอกเต็มไปด้วยอันตราย มีวิกฤติอยู่ทุกหนแห่ง ทุกสำนักล้วนตกเป็นเป้าของเซียนมณีได้ตลอดเวลา บางที ที่นี่อาจจะเป็นที่เดียวที่หลินหลางกลัว”
  คนอื่นอาจจะสัมผัสไม่ได้แต่หลินหลางอาจจะสัมผัสได้ว่ามีเทพหลับใหลอยู่ในป่าแห่งนี้ หลินหลางย่อมไม่เลือกรบกวนที่นี่หากไม่จำเป็น
  “ข้าขอบคุณข้อเสนอของเจ้าแต่ข้าคิดจะกลับตำหนักเมฆาม่วง”
  ลู่จือยี่สุขุมเยือกเย็น  นางครุ่นคิดทุกเรื่องมาตลอดหกเดือนและตอนนี้นางทำใจได้แล้ว
  “สำนักสูญเสียมากมายเพราะข้าเมื่อสำนักเจอวิกฤติ ข้าต้องกลับไปเพื่อล้างบาปของข้าเอง”
  ในฐานะของคนทรยศเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะรู้สึกผิดต่อตำหนักเมฆาม่วง
  ขณะนี้ตำหนักเมฆาม่วงกำลังเผชิญกับการขาดกำลังคน พวกเขาต้องการคนอย่างเร่งด่วน
  “ถ้าเจ้ากลับไปเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เจ้าอาจจะกลายเป็นเครื่องสังเวยในความแค้นของคนเหล่านั้นก็ได้”
  ซือหยูบอก
  ความตายและความสูญเสียของตำหนักเมฆาม่วงและตำหนักโลหิตเช่นเดียวกับดินแดนพรสวรรค์นั้นมากจนน่ากลัว ทั้งดินแดนมีแต่ความโกรธแค้นชิงชังและต้องการหาที่ระบายความแค้น  ลู่จือยี่สนับสนุนทรราชย์กู้ไทซูหากนางกลับไป นางจะกลายเป็นที่ระบายความแค้นเหล่านั้น ต่อให้ตำหนักเมฆาม่วงให้อภัยลู่จือยี่ สำนักอื่นก็อาจจะไม่คิดเช่นนั้น ความโกรธของคนหมู่มากยากจะดับมอด ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือทวีปในขณะนี้ยังระส่ำระสาย หัวใจผู้คนต้องการความสงบขึ้น และตำหนักเมฆาม่วงก็อาจจะปกป้องนางไม่ได้
  สิ่งที่นางจะต้องเจอคือการลงโทษอย่างโหดร้ายมากมายหลายวิธีส่วนเรื่องการแก้ตัว ลู่จือยี่ไร้เดียงสานักที่คิดได้ถึงเรื่องนั้น
  ลู่จือยี่ใบหน้าหม่นหมอง
  “เช่นนั้นก็ให้ข้าตายเถอะกู้ไทซูพูดถูก แม้โลกจะกว้างใหญ่ แต่ข้าก็ไม่มีที่ไป”
  เมื่อสะบั้นความสัมพันธ์กับกู้ไทซูนางไม่ต่างกับแหนบนหนองน้ำที่ลอยล่องไร้ที่พึ่งพิง
  “ก็ได้ดูแลตัวเองด้วย”
  ซือหยูไม่พูดเพื่อหยุดนาง
  กงซุนหวูซื่ออ้าปากค้างเท่าที่นางรู้ ลู่จือยี่จะกลับมาไม่ได้หากกลับไปตอนนี้ ทำไมซือหยูไม่หยุดนางกัน? แต่กงซุนหวูซื่อก็เลิกคิดในเวลาต่อมาทันที
  “ลาก่อน”
  ลู่จือยี่มองซือหยูอย่างลึกซึ้งแววตางดงามของนางมีแต่ความรู้สึกซับซ้อน นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้มองเขา
  แต่จู่ๆ ก็มีแสงประหลาดในดวงตาซือหยู ลู่จือยี่ตกอยู่ในภวังค์ทันที
  “ขอโทษด้วยแต่ข้าทนมองเจ้าออกไปตายไม่ได้”
  ซือหยูถอนหายใจเขาเรียกหอคอยโบราณขนาดเท่าฝ่ามือออกมา มันคือรูปปั้นของหอวิชา หอคอยเปล่งแสงนำตัวลู่จือยี่ไปในชั้นที่หนึ่งร้อยของหอคอย
  แม้ให้นางอยู่กับเขาจะอันตรายพออยู่แล้วมันก็ยังปลอดภัยกว่าการกลับตำหนักเมฆาม่วง
  “โอ้!พี่ซือ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่มีงานอดิเรกแบบนี้ด้วย”
  กงซุนหวูซื่อกอดอกแสร้งทำเป็นกลัวแต่ในแววตานั้นซุกซน
  “ข้ามีเทียนแส้ แล้วก็…”
  ซือหยูถอนหายใจ
  “เจ้าอยู่ที่นี่อย่าไปไหน ข้าจะกลับมาหลังจากจบเรื่อง”
  เมื่อพูดจบเขาปืนขึ้นวิหคไม้ฉีกมิติไปยังเมืองเทียนหยา เขาปรากฏตัวด้านนอกที่ทำการของตำหนักโลหิตในเมืองเทียนหยา
  เมื่อมาถึงพลังมหาศาลจากหลายแหล่งได้พุ่งเข้ามาทางเขา
  “เจ้าเป็นใคร?!”
  เสียงดังราวกับสายฟ้าราวกับว่าผู้พูดได้พบกับศัตรูที่เลวร้ายที่สุด
  ซือหยูสะบัดมือและสลายพลังที่พุ่งเข้ามาได้อย่างประหลบาดพลังนั้นแข็งแกร่ง เขาสัมผัสว่ามันกำลังจะทะลวงขั้นอสูรเนรมิตร มีคนเช่นนี้อยู่ในเมืองเทียนหยาด้วยรึ?   ไม่นานหลังจากนั้นก็มีสองคนปรากฏตัวออกมา
  คนแรกคือชายแก่สวมชุดเกล็ดสีแดงเขาดูแข็งแกร่งและไร้เทียมทาน เขาจ้องมองซือหยูด้วยความระแวงถึงขีดสุด แววตาของเขาคมกริบ เขาพร้อมจะจู่โจมตลอดเวลาด้วยเพลิงที่ลุกไหม้บนร่าง
  ซือหยูตกใจกับการที่เขาพร้อมจะต่อสู้ทันทีโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
  ต่อหน้าเพลิงพิโรธซือหยูขยับดัชนี พลังกระบี่สีเงินปรากฏระหว่างนิ้ว เพลิงร้อนที่พุ่งเข้ามาสลายไปด้วยพลังกระบี่
  พลังกระบี่ที่เหลือซัดเข้าใส่ผู้เฒ่าชุดเกล็ดแดงเขาใช้วิชาสามวิชาอย่างต่อเนื่องเพื่อปะทะกับแรงของพลังกระบี่
  ผู้เฒ่าถอยหนีและดูหวาดกลัวพลังกระบี่นี้แปลกมากเพราะไม่มีสิ่งใดทำลายมันได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ทุกอย่างที่ทำได้คือพยายามลดพลังให้น้อยลง ผู้มาใหม่เพียงแค่ดีดนิ้วและปล่อยพลังกระบี่นี้ออกมาก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ถ้าหากเขาลงมือจริง ๆ เขาจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน? จากประสบการณ์ของเขา มีเพียงอสูรเนรมิตรเท่านั้นที่ปล่อยพลังอันแข็งแกร่งระดับนี้ออกมาได้!
  ผู้เฒ่าหน้าหมองขึ้นเมื่อคิดถึงตอนที่ซือหยูฉีกมิติเข้ามา
  “ท่านผู้อาวุโสท่านคิดจะทำสิ่งใดถึงบุกเข้ามาในที่ทำการของตำหนักโลหิตเช่นนี้?”
  ผู้อาวุโส…ซือหยูลูบคาง
  “ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?”
  ซือหยูถาม
  อะไรนะ?ผู้เฒ่าชุดเกราะเกล็ดผงะ เขาพูดด้วยความลังเล
  “ข้าคือผู้จัดการใหญ่ของที่ทำการตำหนักโลหิตแห่งเมืองเทียนหยาเสี่ยวฮั่น ข้าขอบังอาจถาม ท่านคือ…”
  “อาจารย์…อาจารย์ซือ…”
  ในบรรดาคนที่ตามมาทีหลังผู้เฒ่าร่างอ้วนชักสีหน้าทันทีเมื่อจำซือหยูได้ ใบหน้าจากเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น
  เขารีบวิ่งเข้ามาและโค้งคำนับซือหยู
  “รองผู้จัดการใหญ่อู๋หลิงยินดียิ่งที่ได้พบอาจารย์ซือ”
  ผู้เฒ่าในชุดเกราะเกล็ดตกใจ
  “อาจารย์ซืออาจารย์ซือไหนกัน?”
  เขาสับสนเมื่อได้ยินคำเรียกอาจารย์ซือแต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ เขาก็เบิกตากว้าง เขารีบโค้งคำนับด้วยตัวสั่นเทิ้ม
  “ยินดีต้อนรับท่านอาจารย์ซือ!!”
  ซือหยูปล่อยพลังหยุดทั้งสองด้วยพลังที่มองไม่เห็นเขายิ้ม
  “เจ้าคือผู้จัดการใหญ่เองสินะไม่แปลกที่ข้าไม่รู้จักเจ้า ครั้งที่แล้วข้ามารายงานภารกิจ เจ้ากำลังบ่มเพาะพลัง เราคลาดกัน! เจ้าสองคนเงยหน้าเถอะ ข้ายังเป็นศิษย์ตำหนักโลหิตและยังต้องเรียกเจ้าสองคนว่าผู้อาวุโส”
  เสี่ยวฮั่นกับอู๋หลิงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองกันทั้งสองยิ้มขมขื่น ซือหยูสามารถเรียกพวกเขาว่าผู้อาวุโสได้ แต่พวกเขาคู่ควรแล้วรึ?
  เขาคือบุรุษวิถีอสูรที่เอาชนะจักรพรรดิโลหิตเข่นฆ่าองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้า สังหารจักรพรรดิกลืนอสูรด้วยกระบี่ และเป็นคนที่รับมือกับเซียนมณีได้ พวกเขาที่เป็นจ้าวเทวะได้แต่แหงนหน้ามองซือหยู
  อู๋หลิงซาบซึ้งศิษย์ที่มีฐานพลังทั่วไปในอดีตได้กลายเป็นบุคคลแข็งแกร่งเลื่องชื่อไปทั้งทวีป บุรุษวิถีอสูร! เขาจำได้ถึงอดีตที่เขาทำต่อซือหยูและได้แต่เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
  “เจ้าสองคนมีบาดแผลเกิดอะไรขึ้น?”
  ซือหยูสายตาเฉียบคมเขาพบบาดแผลที่ทั้งสองซ่อนเอาไว้ด้วยเพียงแค่การเหลือบมอง ผู้จัดการใหญ่เสี่ยวฮั่นบาดแผลน่ากลัวกว่า บาดแผลของเขาเกือบจะไปถึงจุดกำเนิดพลัง
  เสี่ยวฮั่นตัวแข็งทื่อเล็กน้อยก่อนจะถาม
  “อาจารย์ซือไม่ได้ถูกสำนักแต่งตั้งให้มาช่วยเหลือพวกเราหรอกหรือ?”
  เอิ่ม…  “ช่วงนี้ข้าไม่ได้กลับสำนักเลยเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
  ซือหยูถาม
  เสี่ยวฮั่นยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเชิญซือหยูไปเล่ารายละเอียด
  “สงครามระหว่างดินแดนพรสวรรค์กับมีดสวรรค์เมื่อสองเดือนก่อนคือการที่ดินแดนมีดสวรรค์ให้ที่พึ่งกับกู้ไทซูสินะส่วนการต่อสู้ก็เกิดขึ้นที่เมืองเก่าในเมืองเทียนหยา”
  ซือหยูหน้านิ่ว
  “กลียุคเช่นนี้ดินแดนเราสูญเสียอย่างหนัก นี่เป็นเวลาที่ต้องพักฟื้น ดินแดนพรสวรรค์เลือกทำสงครามกับคนนอกในเวลานี้ได้ยังไง? มีคนอยู่เบื้องหลังหรือ?”
  นอกจากม่อเทียนฉวนกับบุรุษเมฆาม่วงจะบ้าทั้งสองจะไม่ทางเลือกเวลาที่เซียนมณียังเป็นภัยทำสงครามที่ก่อให้เกิดความสูญเสียยิ่งกว่าเดิม
  “ใช่แล้ว!การทำลายล้างเมืองมหาสัตว์อสูรเมื่อครึ่งปีก่อนทำให้ทั้งจิวโจวระส่ำระสาย ผู้คนหวาดวิตก ใครกันที่อยากจะทำสงครามในเวลานี้?”
  “ดินแดนมีดสวรรค์ประกาศฆเองว่าพวกเราคือคนเริ่มสงครามแต่พวกเราไม่เคยทำแบบนั้นเลย!”
  “เชื้อไฟในสงครามครั้งนี้คือร่องรอยของกลุ่มคนตำหนักโลหิตทิ้งเอาไว้ในชายแดนมีดสวรรค์!ในจุดที่คนจำนวนมากตาย เรื่องเกิดใกล้ยอดฝีมือหลายคน ดินแดนมีดสวรรค์ปิดบังเรื่องราวไม่ได้ ดังนั้น เพื่อเกียรติยศ ต่อให้พวกมันไม่อยากทำสงคราม พวกมันก็ต้องทำ พวกเราเลยเป็นแบบนี้!”
  ซือหยูหรี่ตาเล็กน้อย
  “เจ้ารู้เรื่องคนที่ฆ่าพวกทหารคุ้มกันมีดสวรรค์หรือไม่?”
  “ไม่เลย!พวกเรารู้ว่าทุกคนแข็งแกร่งมาก ไม่มีสมบัติหรือพลังใดที่เอาชนะได้! หัวหน้าทหารชายแดนเป็นจ้าวเทวะระดับเก้า แต่ก็ตัวขาดทั้งเป็นเพราะคนผู้นั้นในไม่กี่วินาที!”   ซือหยูเลิกคิ้วเมื่อฟังทำไมมือสังหารถึงฟังดูคุ้นนัก?
  ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดการจงใจจุดประกายสงครามในเวลานี้ของจิวโจวย่อมเป็นความผิดที่อภัยให้ไม่ได้
  “แล้วการต่อสู้เป็นอย่างไรบ้าง?”
  ซือหยูถาม
  เสี่ยวฮั่นฝืนหัวเราะ
  “มันจะแย่ได้สักเพียงใดรึ?ทั้งสองฝ่ายรีบทำสงคราม จำนวนความสูญเสียมากนัก! แต่ก็เพราะว่าเวลาทำให้พวกเราไม่มีเวลาเรียกทัพใหญ่”
  “ความสูญเสียจำกัดอยู่ที่เมืองเทียนหยากับชายแดนมีดสวรรค์!ไม่นานมานี้ มีการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเรียกร้องการสงบศึกชั่วคราว”
  “แต่พอการต่อสู้ต่อไปเริ่มขึ้นสถานการณ์ก็ยิ่งหนักหนาขึ้น ทัพใหญ่ของมีดสวรรค์กำลังมา รองเจ้าดินแดนแปดในสิบคนมาถึงแล้ว แต่ต้องใช้เวลากว่าที่พันธมิตรของเราจะมาถึง
  เสี่ยวฮั่นหนักใจ
  “แต่พวกเราจะไม่มีวันถอย!ต่อให้ต้องสละชีวิต เราจะปกป้องเมืองเทียนหยาให้ได้!”
  เมื่อเข้าใจสถานการณ์ของสงครามซือหยูครุ่นคิดก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ
  “บังเอิญว่าข้ากำลังจะไปเมืองมีดสวรรค์ด้วยตัวเองคงดีถ้าข้าแก้ปัญหาในระหว่างทางได้ด้วย”
  เมื่อได้ฟังสิ่งที่ซือหยูพูดเสี่ยวฮั่นกับอู๋หลิงหน้าซีดด้วยความกลัว
  “ไม่ได้นะท่าน!ดินแดนมีดสวรรค์เต็มไปด้วยยอดฝีมือ! พวกมันมีแต่สัตว์ประหลาด อาจารย์ซือโปรดอย่าเสี่ยงเลย”
  ซือหยูยิ้มอย่างสงบ
  “นั่นแหละเหตุผลที่ข้าต้องไปถ้าไม่…แล้วพวกเราจะจัดการพวกมีดสวรรค์ได้อย่างไร?”
  ทั้งสองมิอาจโต้แย้งสมกับที่เป็นบุรุษวิถีอสูรที่สั่นคลอนทวีป จิตวิญญาณและพลังใจของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างมาก
  “หากอาจารย์ซือยืนยันว่าจะไปท่านอาจติดต่อกับสายลับจากตำหนักโลหิตในดินแดนมีดสวรรค์ พวกเขาอาจจะช่วยได้มาก”
  เสี่ยวฮั่นแนะนำหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
  สายลับรึ?ซือหยูมีความคิดแล้ว
  เขามีอีกเหตุผลในการไปเมืองมีดสวรรค์นั่นก็คือการพาตัวเสวี่ยเหลียนกลับมา
  ด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายบนโลกตอนนี้เหล่าสายลับในดินแดนมีดสวรรค์ต้องเจอกับอันตรายที่เหนือกว่าเดิมอย่างมาก
  เป็นเวลาที่ต้องพาคนเหล่านั้นกลับมาเขาคิดจะพานางและสายลับคนอื่นกลับมาด้วย
  “เจ้ามีรายชื่อสายลับเหล่านั้นหรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  เสี่ยวฮั่นส่ายหน้า
  “เพื่อให้แน่ใจว่าตัวตนของสายลับจะไม่ถูกเปิดเผยยิ่งมีคนรู้เรื่องพวกเขาน้อยก็ยิ่งดี ในสำนัก มีเพียงผู้ดูแลส่วนย่อยเท่านั้นที่มีรายชื่อ ข้าเพียงแค่รู้รหัสในการติดต่อสายลับเท่านั้น”
  “เอามาให้ข้า”
  วิธีติดต่อสายลับนั้นง่ายมากมันง่ายจนซือหยูพูดไม่ออก เขาต้องไปนอนในซ่อง! สายลับจากตำหนักโลหิตได้เปิดซ่องที่เมืองมีดสวรรค์ และเหล่าสายลับก็ไปซ่อนตัวที่นั่น ในการติดต่อ จะต้องปลอมตัวเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการ ถ้าหากพูดรหัสลับบางอย่างออกมาจะได้พบกับสายลับของตำหนักโลหิต
  หลังจากได้รหัสจากเสี่ยวฮั่นซือหยูเดินทางไปยังดินแดนมีดสวรรค์ทันที ที่นอกเมือง รอยแยกมิติได้ฉีกออกอย่างเงียบเชียบ ซือหยูเลือกไปยังชานเมือง ห่างไกลจากกลางเมืองอยู่มาก