ตอนที่ 1088 - ภารกิจช่วยเหลือ

The Divine Nine Dragon Cauldron

“เราตกลงกันได้…”
  พี่สาวหยูต่อรองด้วยความมั่นใจ
  ก่อนที่นางจะพูดจบซือหยูพูดแทรกเข้ามาก่อน
  “มีอยู่ทางเดียวที่เจ้าทำได้จะอยู่หรือตาย อย่างได้กังขาในความชิงชังที่ตำหนักโลหิตมีต่อคนดินแดนมีดสวรรค์”
  พี่สาวหยูตัวสั่นและหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะนางกล่าวอย่างขมขื่น
  “ข้ารู้ว่าสายลับอยู่ที่ไหนแต่ที่นั่นเต็มไปด้วยปรมาจารย์ยอดฝีมือ และข้าก็ปล่อยทุกคนออกมาไม่ได้! ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าบอกตำแหน่งไป โทษสถานเดียวของข้าก็คือความตาย! ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ต้องตาย ข้าตายด้วยมือเจ้าเสียดีกว่า จ้าวดินแดนอาจจะส่งรางวัลให้กับคนที่ข้ารักก็ได้”
  ซือหยูทึ่งกับนางท่ามกลางความตึงเครียด ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้สามารถทนรับแรงกดดันได้และยังแสดงความมุ่งมั่นออกมาได้อีก มันคือความแน่วแน่ของผู้กล้า
  ฉั่วะ!
  ซือหยูยกดัชนีนักฆ่าทั้งแปดถูกสังหารพร้อมกันและลุกไม้ด้วยเพลิง ทั้งแปดถูกเผาไม่เหลือซาก
  “ทีนี้นอกจากพวกเราก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ส่วนพวกมัน พวกมันถูกอสูรที่ผ่านมาฆ่าตาย…”
  ซือหยูพูดอย่างโหดร้าย
  พี่สาวหยูแอบตกใจเสียงของซือหยูนั้นดูอ่อนวัยเป็นอย่างมาก แต่วิชาของเขาโหดร้าย เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา เขามองชีวิตคนเป็นดังใบหญ้า
  แต่ไม้ว่าทุกคนจะตายไปความอยากรอดชีวิตของพี่สาวหยูก็ยังหลงเหลืออยู่มาก
  ไม่มีใครรู้ว่าตำหนักโลหิตส่งคนมาช่วยสายลับและมันก็ไม่เกี่ยวกับนาง  “ในคุกกลางเมืองมีจ้าวเทวะระดับเก้าสามคน ระดับแปดยี่สิบคน ระดับเจ็ดมากกว่าร้อยคน นี่แผนที่และตำแหน่งของทุกคนในคุก ข้ารู้เพียงเท่านี้”
  พี่สาวหยูบอกทุกรายละเอียดที่รู้กับเขา
  เสี่ยวหลิงเองก็บอกทุกอย่างที่นางรู้ทันทีทั้งสองมีข้อมูลมากพอกัน
  ซือหยูโบกมือพร้อมพยักหน้าทั้งสองสลบไป
  …..
  ในคุกดินแดนมีดสวรรค์
  คุกแบ่งเป็นสิบเขตแต่ละเขตแบ่งแยกอาชญากรประเภทต่าง ๆ เอาไว้
  เขตสามนับเป็นเขตที่สำคัญที่สุดของทั้งคุกเพราะมีนักโทษที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของดินแดนสายลับตำหนักโลหิตถูกจัดว่าเป็นนักโทษกลุ่มนี้
  “เฮ้เฮ้ เจ้าเห็นหรือไม่? นักโทษมาใหม่จากตำหนักโลหิต! มีหลายคนดูไม่เลว ข้าอยากจะได้เห็น!”
  ที่หน้าทางเข้าเขตสามจ้าวเทวะระดับเก้าสองคนนั่งคุ้มกันอยู่ ชายแก่เมามายอยู่ด้านซ้ายยิ้ม
  “โดยเฉพาะคนที่ชื่อเสวี่ยเหลียนเหะ เหะ นางคือยอดสตรีเชียวล่ะ! น่าต้องตา! เอว อก หน้า…เหะ เหะ แค่ได้มองนางวิญญาณข้าก็ถูกชิงเอาไปแล้ว!”
  จ้าวเทวะระดับเก้าทางด้านขวาพูดอย่างใจเย็น
  “บ่มเพาะจนมีพลังระดับนี้แต่ยังข่มราคะไม่ได้ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าไปเอาพลังมาจากไหน”
  “เฮ้ยข้าบ่มเพาะด้วยจิตใจมีสุข ข้าจะพัฒนาพลังตามต้องการแค่ไหนก็ได้!”
  ชายแก่พูดด้วยความเมา
  จ้าวเทวะระดับเก้าสายหน้า
  “ผู้หญิงคนนั้นอยู่เขตสามถ้าเจ้ายังรักชีวิตก็ทำตัวให้ดี”   ชายแก่ที่เมากลับมาได้สติและพูดติดตลกด้วยความกระอักกระอ่วน
  “ข้าก็แค่พูดเล่น!ช่างมันเถอะ จะอย่างไร ถ้าพวกนั้นเค้นเอาข้อมูลที่ต้องการได้แล้ว ผู้หญิงพวกนั้นก็เป็นของข้าอยู่ดี จะทำอย่างไรก็ได้ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับข้าไม่ใช่รึ?”
  “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าห่วงเลยจะดีกว่าผู้จัดการใหญ่แห่งสี่ขุนพลคุกส่งเจ้ากับข้ามาคุ้มกันที่นี่ด้วยตัวเอง สายลับที่มาใหม่ย่อมดีมากอยู่แล้ว”
  จ้าวเทวะระดับเก้าข้างๆ ชายแก่พูดด้วยความระแวง
  ชายแก่ยืนขึ้นตรงเขาทำหน้าเคร่งขรึม
  การอยู่ในคุกมานานและได้รับคำสั่งที่แปลกออกไปจากผู้คุมคุกทำให้เขารู้ว่าเขาต้องจริงจังมากขึ้น
  …
  ภายในคุก
  กรงขังถูกสร้างด้วยผลึกเวทสิบดวงที่มิอาจทะลวงได้ไม่มีพระเจ้าหน้าไหนทะลวงผ่านได้ แม้แต่พลังช้างพันเชือกก็ไม่ทำให้กรงขังมีรอยข่วน
  มีหนึ่งคนถูกขังอยู่ในทั้งสิบกรงบ้างเป็นบุรุษ บ้างเป็นสตรี ทุกคนบาดเจ็บและเหนื่อยล้า มีอยู่สองคนที่ถูกทรมานอย่างรุนแรง ลมหายใจอ่อนจนชีวิตแทบจะแตกดับ
  กรงที่อยู่ในสุดมีสตรีร่างบอบบางที่สภาพย่ำแย่ถึงที่สุดนางเร่าร้อนเท่าเพลิงที่ร้อนสุดขั้ว นางมีผิวขาวราวหิมะ เครื่องหน้าตอบรับขับกล่อมกันอย่างดี นางมีเสน่ห์ที่ไม่มีชายใดต้านทานได้
  แกร๊ง!แกร๊ง!
  เสียงโซ่ลากกับพื้นดังอย่างชัดเจนในคุกอันว่างเปล่า
  นักโทษในตรวนทั้งสิบที่เคยเงียบสงบตัวสั่นขึ้นพร้อมกันบางคนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว มันมาอีกแล้ว!!
  ในคุกดินแดนมีดสวรรค์มีผีร้ายที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนแทบบ้า!
  เขารู้จักวิธีการทรมานทุกอย่างและลงทัณฑ์ผู้คนอย่างโหดร้ายเหมือนกับตายทั้งเป็น!สำหรับภูติผี การทรมานนักโทษและได้ยินเสียงร้องปวดใจจากความเจ็บปวดนั้นสร้างความหรรษาได้ไม่รู้จบ
  ไม่มีใครในดินแดนมีดสวรรค์รู้จักภูติผีตนนี้แต่ทุกคนก็หวาดกลัวมัน!
  เมื่อถูกคุมขังในคุกดินแดนมีดสวรรค์นักโทษหลายคนที่ทำความผิดเล้กน้อยมักจะขอร้องให้ถูกประหารโดยเร็วยิ่งกว่าถูกทรมานอยู่ในคุก การได้พบกับภูติผีตนนี้เหมือนกับความทุกข์ทรมานตลอดกาล
  ทั้งสิบถูกผีร้ายทรมานมาหลายวันแล้วมีสองคนที่ถูกทรมานอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืน วันนี้ทั้งสองได้กลายเป็นคนบ้าที่ตายทั้งเป็น
  หลังจากผ่านไปหลายวันคำเดียวที่พวกเขาพูดมิใช่การอ้อนวอนขอความเมตตา แต่เป็นการอ้อนวอนขอความตาย  “นี่เจ้าอยากให้พวกเราทำอะไรกันแน่?พวกข้าตอบทุกคำถามที่เจ้าถามไปแล้ว!”
  บางคนที่กลายเป็นบ้ามิอาจทนการถูกทรมานได้อีก
  ที่น่าเวทนาที่สุดก็คือพวกเขาไม่เคยถูกสืบสวนเลยตั้งแต่ที่เข้ามาในคุกผีร้ายนั้นระเบิดความซาดิสม์ของตัวเองและไม่เคยถามอะไรพวกเขาเลย
  “โอ้อย่าเปลืองแรงอยู่เลย พวกข้าไม่เคยอยากได้ข้อมูลอะไร มีเพียงแค่การทำเราให้เป็นหนึ่งเดียว พวกข้าเหมือนกับมัจฉาหลุดแหไปสู่สวรรค์ ต่อให้ได้ข่าวสำคัญ ข่าวอื่น ไม่ว่าจะเล็กหรือไม่สำคัญ พวกมันก็ไร้ความหมาย! แค่เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวใดแพร่งพรายออกไป เพื่อพันธมิตรของพวกข้า สุดท้ายพวกข้าก็ต้องฆ่าเจ้า”
  มีคนร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าบางคนขอความเมตตาด้วยความกลัว
  พวกเขาไม่ได้กลัวตายแต่พวกเขากลัวจิตใจที่ถูกทรมานอย่างไม่รู้จบสิ้น  ในบรรดาพวกเขามีเพียงเสวี่ยเหลียนที่ดูใจเย็น
  “ตอนที่ข้ารับภารกิจข้าควรจะคิดถึงวันนี้แล้ว มีอะไรต้องรู้สึกเวทนาอีก? ทุกอย่างเตรียมใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียใจ”
  แม้จะพูดเช่นนั้นจิตใจเสวี่ยเหลียนก็มิอาจหยุดคิดถึงบุรุษแก่เฒ่าคนหนึ่งได้ เขาคือศิษย์นอกตำหนักโลหิต หลังจากออกจากดินแดนพรสวรรค์มา นางไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร
  แต่ก็น่าขันพอที่คนอย่างนางผู้ที่นับถือเงินตราเหนือชีวิต กลับอยากมอบทุกสิ่งให้กับเขา
  เมื่อเสียงโซ่ตรวนลากพื้นใกล้เข้ามาผีร้ายที่จะฝังในความทรงจำของพวกเขาไปตลอดกาลได้ปรากฏตัวจากความมืด
  มันมีหัวกระทิงและตัวเตี้ยเห็นได้เพียงดวงตาและปาก ที่มุมปากนั้นแสยะออกมาทั้งสองด้าน มันกำลังหัวเราะ  ข้างหลังมันมีกล่องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทรมานทุกชิ้นมีคราบเลือดสีดำแห้งเกรอะกรัง
  แค่เดินผ่านมาก็ทำให้คนทุกข์ระรมด้วยกลิ่นเลือดและความตาย
  แต่ด้านหลังมันมีชายหนุ่มรูปงามสวมชุดจีนแบบดั้งเดิมเขามีเส้นผมสีเงินยาวสมบูรณ์แบบและใบหน้าหล่อเหลา ประกอบกับเสื้อผ้าอันงดงาม เพียงมองครั้งเดียว เขาก็ไม่ดูเหมือนคนจากคุกอันมืดมิดแห่งนี้
  ทุกคนเห็นเขาเป็นภาพลวงตาของเทพอมตะ
  เขาเป็นใครกัน?ทุกคนเกิดคำถามในใจ
  แต่เมื่อพวกเขาตระหนักได้พวกเขาก็เห็นว่าผีร้ายกำลังนำทางมาอยู่!
  ตัวตนของชายผู้นี้คาดเดาได้ไม่ยากเขาจะต้องเป็นคนสำคัญในดินแดนมีดสวรรค์แน่นอน
  แต่ที่น่าแปลกก็คือพวกเขาสืบข่าวงมาหลายปี พวกเขารู้จักบุคคลสำคัญทั้งหมดในดินแดนมีดสวรรค์ แต่ชายคนนี้นั้นไม่คุ้นหน้า
  “เจ้ามาเพื่อฆ่าเราสินะ?”
  สายลับคนหนึ่งพูด
  สามวันก็มากพอแล้วที่ผู้มีอำนาจในดินแดนมีดสวรรค์จะจับตัวพวกเขาและเข้ามาสืบสวนเป็นครั้งสุดท้ายพวกเขาไม่มีค่าอีกแล้ว
  หนุ่มน้อยไม่พูดแม้แต่คำเดียวและเดินไปหาเสวี่ยเหลียนเงียบๆ
  เสวี่ยเหลียนหลับตาพร้อมกับถอนหายใจเงียบๆ จุดจบของนางมาถึงแล้ว
  สายลับคนอื่นอาจจะได้ตายอย่างไม่ทรมานแต่ไม่ใช่นาง สำหรับนาง การมีชีวิตนั้นไม่ได้ดีไปกว่าความตาย ในสามวันที่ผ่านมา มีสายตาราคะมองมาทางนาง ตั้งแต่คนดูแลคุกต่ำต้อยไปจนถึงคนระดับสูง ไม่มีใครเลยที่ไม่ต้องการนาง
  และตอนนี้ยังมีเพิ่มขึ้นมาอีกคนคือองค์ชายน้อยผู้นี้
  “ถ้าเจ้าอยากฆ่าก็จงทำด้วยคุณธรรมถ้าเจ้าอยากจะให้ข้ายอมก็คลานกลับไปในท้องแม่เจ้าแล้วอีกสิบปีค่อยออกมา!”
  เสวี่ยเหลียนตะโกนด้วยความชิงชัง
  “ฮ่าๆๆๆ…”
  องค์ชายน้อยหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขัน
  “นี่ไม่เจอกันตั้งนาน กลับพูดแบบนี้กับข้า เจ้าคิดอย่างไรที่ข้ามาช่วยเจ้าหรือ?”
  เอ๋?
  เสวี่ยเหลียนลืมตาด้วยความตกใจนางจ้องตรงไปที่ซือหยู!
  สายลับที่เหลือตกใจเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่กล้ามองเมื่อมีผีร้ายที่พวกเขาหวาดกลัวอยู่ด้วย แต่ในตอนนั้นก็มีคนเห็นว่าดวงตาของผีร้ายนั้นขุ่นมัวและไร้แวว ราวกับว่าถูกบางอย่างควบคุมอยู่
  ทุกคนดีใจขึ้นมาทันที
  “พวกเราขอบังอาจถามได้หรือไม่เจ้าคือผู้ใดกัน?”   สายลับดีใจเกินกว่าจะอธิบายได้
  “ก่อนจะพูดอะไรเจ้าหากุญแจมาปล่อยเราได้หรือไม่?”
  …
  “ทุกคนหุบปาก!”
  เสวี่ยเหลียนพูดอย่างเย็นชา
  “พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปแล้ว?พวกเจ้าเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนหรือ? พอพูดว่าจะมาช่วยเจ้า พวกเจ้าก็เชื่อเลยหรือ?”
  เหล่าสายลับหมดหวังในทันทีหลังจากที่ถูกทรมานมาอย่างยาวนาน พวกเขาประมาทไปมาก
  ในเวลาที่คนผู็นี้ถูกดินแดนมีดสวรรค์ส่งตัวมาจงใจแสร้งทำเป็นมาช่วยพวกเขา เขาอาจจะวางแผนใช้พวกเขาล่อให้คนตำหนักโลหิตมาติดกับมากกว่านี้ได้ไม่ใช่หรือ?
  “โอ้แม้แต่เจ้าก็จำข้าไม่ได้หรือ? น่าสงสารตัวข้านัก ข้าตั้งใจมาช่วยเจ้าเชียวนะ”
  องค์ชายน้อยดูเศร้า  สายลับที่เหลือเริ่มสงสัยดูจากน้ำเสียง ราวกับว่าเสวี่ยเหลียนกับชายหนุ่มรู้จักกัน
  เสวี่ยเหลียนตะโกนเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาสงสัยของสายลับอื่น
  “ข้าไม่รู้จักเขา!”
  ในใจนางพยายามอย่างมากที่จะนึกย้อนว่าเมื่อใดที่นางได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้
  “นี่เจ้าเจ้าลืมได้รวดเร็วนัก เราเคยอยู่ห้องเดียวกัน เจ้ายังบอกว่าข้าถูกสตรีอื่นหึงหวงที่เจ้ามายุ่งกับข้าอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
  องค์ชายน้อยพูดแหย่
  อ๊ะ…
  สายลับหลายคนคิดจ้องมองเสวี่ยเหลียน และหันมองหน้ากัน
  คิดถึงเสน่ห์ที่เสวี่ยเหลียนมีพวกเขาไม่สงสัยในเรื่องที่องค์ชายน้อยพูดแม้สักนิดเดียว เขาเป็นนักรบหนุ่มรูปงามที่ยังไม่รู้ว่ามีพลังมากเพียงใด แต่เมื่อเป็นเรื่องสตรี บุรุษย่อมใจอ่อน พวกเขากำลังจะรอดแล้ว! คงไม่ต้องทำอะไรมากเพื่อที่จะล่อลวงเสวี่ยเหลียนผู้งดงามและเดียวดาย
  พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดขององค์ชายน้อยเลย
  เสวี่ยเหลียนหน้าแดงเมื่อถูกมองด้วยสายตาประหลาดนางพูดด้วยความโมโห
  “เหลวไหล!ข้าเคยหลวมตัวกับบุรุษตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
  “เจ้าพูดแบบนี้ทำร้ายความรู้สึกข้านะ…อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแม้กระทั่งจูบของเรา?”
  ชายหนุ่มถอนหายใจ
  จูบ…
  “เสวี่ยเหลียนเป็นอะไรของเจ้า? เขามาเพื่อช่วยพวกเรา เจ้ากำลังทำให้เรื่องมันยุ่งยาก! เจ้าไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ลับของเจ้าเป็นที่ล่วงรู้แล้วแกล้งโง่เรอะ? ท่านเสวี่ยเหลียน นี่มันเรื่องสำคัญ หยุดเล่นตลกกับชีวิตพวกข้าสักทีเถอะ!”
  เสวี่ยเหลียนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น
  “ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ ขอพูดด้วยเกียรติของข้า!”
  แต่ที่นางได้กลับมาก็คือสายตาที่สงสัยยิ่งกว่าเดิมคำพูดเจ้า…มันมีค่าด้วยหรือ?
  “ฮ่าฮ่าฮ่า…”
  องค์ชายน้อยระเบิดเสียงหัวเราะร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า