ตอนที่ 1089 - ความกลัวและบาดแผล

The Divine Nine Dragon Cauldron

��

  กายหยาบทั้งตัวของเขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มเป็นชายแก่ที่ดูยิ่งใหญ่
  เสวี่ยเหลียนอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อนางจำหน้าเขาได้ นางก็อ้าปากพร้อมกับเบิกตากว้าง
  “ซือ…ซือหยูเซี่ยน!!”
  เขาจะเป็นใครอื่นไปได้ถ้าไม่ใช่ซือหยูเซี่ยน?
  สายลับที่เหลือได้สติกลับมาความตกตะลึงเต็มดวงตาของพวกเขา เขาเป็นสหายเก่าของเสวี่ยเหลียนจริง ๆ!
  “อะแฮ่มเสวี่ยเหลียน ขอโทษที่ข้าพูดแบบนี้ แต่ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่มีความกระหายแรง แต่เจ้ากลับเลือกชายแก่อ่อนแอแทนที่จะเลือกชายหนุ่มหล่อสินะ…”
  สายลับคนหนึ่งถามอย่างจริงใจ
  เสวี่ยเหลียนพูดไม่ออก  “ขะ…ข้าไม่รู้ว่าเขาปลอมตัวมา!!”
  ความคุ้นเคยและดวงตาที่เคยมองนั้นทำให้เสวี่ยเหลียนมั่นใจในตัวคนตรงหน้าในที่สุด
  เขาคือศิษย์นอกที่เคยร่วมมือกับนางเพื่อปรุงโอสถ…ซือหยูเซี่ยน!
  ซือหยูยิ้มสงบใจคืนร่างหนุ่มกลับมา
  “สุดท้ายเจ้าก็จำข้าได้จ้าวหอ”
  เสวี่ยเหลียนทั้งอับอายและโมโหเมื่อนางเข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาทั้งหึงหวง ต่อสู้แย่งชิง และจูบของนาง
  หลายคนคิดว่ามันเป็นคำพูดล้อเล่นแต่มีแค่นางกับซือหยูเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ของกันและกัน คงไม่มีใครเชื่อหากนางจะอธิบาย
  “ไอ้คนบ้า!ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ทำไมไม่ช่วยตั้งแต่แรกเล่า? เล่นตลกกับพวกข้าเป็นเรื่องสนุกของเจ้ารึ?”
  เสวี่ยเหลียนหน้าแดงระเรื่อนางกัดฟันพูดใส่เขา แต่น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย นางรู้สึกขอบคุณจากใจ
  ศิษย์ที่เดินออกไปจากสำนักได้กลับมาในคุกที่อันตรายที่สุดของดินแดนมีดสวรรค์เพื่อช่วยชีวิตนาง
  ซือหยูหัวเราะเบาๆ และก้าวมาข้างหน้า เขาสัมผัสกรงขังด้วยดัชนี เขามองราวกับจะทดสอบคุณภาพของวัตถุดิบกรงขัง
  “เจ้าโง่เจ้ายังสมองทึบเหมือนเดิม มันทำจากเหล็กอสูรผลึกเวท มันคือวัตถุดิบล้ำค่าที่ใช้สร้างสมบัติกึ่งภูติ เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดโดยใช้พลังภายนอก ถ้าเจ้าควบคุมผีร้ายได้ เจ้าก็เอากุญแจออกมา มันจะง่ายกว่…”
  ซือหยูลูบคาง
  “โอ้นี่คือเหล็กอสูรผลึกเวทนี่เอง อย่างนั้นก็ไม่ยาก”
  ซือหยูชักกระบี่สีเงินออกมาจากฝักและซัดเข้าไปที่กรงขังอย่างประหลาด
  เสวี่ยเหลียนกับสายลับอื่นสูดหายใจเข้าลึก  กรงขังจากเหล็กอสูรผลึกเวทนั้นนุ่มราวกับเต้าหู้เมื่อเจอกับพลังของกระบี่เงินมันถูกเฉือดออกในกระบี่เดียว พ้อมกับโซ่ตรวนที่พันธนาการเสวี่ยเหลียน
  เสวี่ยเหลียนตกใจนางแทบจะลุกขึ้นยืนไม่ได้ราวกับอยู่ในฝันอันเกินจริง นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านางอ่อนแอลง
  ซือหยูบินไปหานางและอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนนางจึงได้หลุดจากภวังค์ นางพูดด้วยหน้าแดง
  “ข้าเดินเองได้”
  ซือหยูผ่อนมือและหัวเราะเบาๆ
  “ชีวิตยอดฝีมือเป็นดั่งหิ่งห้อยสะท้อนโลกทั้งใบเลือนหายได้ในพริบตา ข้าหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะกลับมาเยี่ยมข้าอีกครั้ง ไม่ว่าจะยังมีชี่วิตอยู่ หรือแค่หน้าหลุมศพของข้า”
  “จ้าวหอยังจำคำพูดนี้ที่บอกกับข้าในปีนั้นได้หรือไม่?”
  เสวี่ยเหลียนตกใจนางตัวแข็งทื่อ นางเริ่มตัวสั่นขณะที่หันหลังให้ซือหยู พอนางหันกลับมา น้ำตาก็นองใบหน้าอันงดงามไปแล้ว
  ซือหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนและเช็ดน้ำตานางเขาพูดอย่างอ่อนโยน
  “วันนี้มาถึงแล้วข้ายินดีนักที่ได้เห็นเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่”
  นางมิอาจกลั้นความรู้สึกที่มีอยู่ในหัวใจได้อีกต่อไปแล้วเสวี่ยเหลียนโผเข้าที่ไหล่ของซือหยูและสะอื้นไห้ นางจะไม่กลัวได้อย่างไรเมื่อต้องผ่านอันตรายทั้งหมดมา? ทุกความสุขุมเยือกเย็นที่มีเพียงแค่แสร้งแสดงออกมา เพื่อให้นางยังรักษาตัวตนเอาไว้ได้
  ซือหยูลูบไหล่นางเบาๆ
  “เราไปช่วยคนอื่นก่อนจะดีกว่ามิเช่นพวกมันจะกรูเข้ามาเผาพวกเราทั้งเป็น”
  เสวี่ยเหลียนหยุดร้องไห้และทุบหมัดใส่อกของซือหยู
  “เจ้าไม่เคยหยุดทำข้าโมโหเลย!”
  น้ำตาแห่งความยินดีไหลเป็นสายบนใบหน้าอันมีชีวิตชีวาของนางทำให้นางงดงามยิ่งกว่าเดิมจนแทบลืมหายใจ
  ต่อมาพวกเขาช่วยสายลับคนอื่น ๆ จนหมด
  “วัตถุดิบที่ทำกระบี่เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ”
  เสวี่ยเหลียนชื่นชมเขาจากใจ
  แต่นางก็ใบหน้าเศร้าหมองอีกครั้ง
  “แต่การบุกเข้ามาที่นี่เป็นเรื่องง่าย!ที่ยากคือการหนีออกไปทุกคน! เจ้าอาจจะหลอกพวกทหารมาได้ด้วยความชั่วเหลือของผีร้าย แต่การออกไปน่ะไม่ง่ายแน่!”
  สายลับคนอื่นก็จะพูดแบบนี้เช่นเดียวกัน
  “ถ้าข้าจำไม่ผิดคนที่คุ้มกันทางเข้าคือขุนพลอันดับสองที่คุ้มกันคุกดินแดนมีดสวรรค์ เขาเป็นรองแค่อสูรเนรมิตรเท่านั้น ถ้าเขาได้ยินเสียงเมื่อใด ไม่ใช่แค่ทุกอย่างที่พวกเราทำมาจะสูญเปล่า แต่เจ้าก็จะพลอยโดนหางเลขไปด้วย”
  “ใช่เราต้องดูตำแหน่งของตัวเองให้ดีแล้วตัดสินใจให้เหมาะสม ข้าว่าเราต้องเดินทางหารอยแยกที่สองผู้จัดการคุกใช้ออกจากคุก รอยแยกพวกนั้นคือกุญแจในการหนีของเรา”
  ทุกคนแลกเปลี่ยนความเห็นต่อกัน
  ต้องยอมรับว่าพวกเขามีความคิดที่ดีและใจเย็นมากในสถานการณ์เช่นนี้หลายความคิดของพวกเขาใช้งานได้จริง แต่ที่ซือหยูคิด วิธีการเหล่านั้นมีปัญหาเกินไป
  “หากข้าเข้ามาที่นี่ได้ข้าก็ต้องมีทางเอาพวกเจ้าทุกคนออกไปอย่างปลอดภัย ไม่ต้องห่วงผู้จัดการที่เฝ้าประตู”
  ซือหยูพูด
  เสวี่ยเหลียนตาเป็นประกายด้วยความหวัง
  “สำนักให้สมบัติเจ้ามารึ?เจ้าทำให้พวกเราหายตัวจากจ้าวเทวะระดับเก้าสองคนได้…ไม่สิ! เป็นไปไม่ได้”
  เพิ่งจะผ่านไปสามวันสำนักน่าจะยังไม่รู้ว่าพวกเขาโดนจับ ต่อให้รู้ นางก็เกรงว่าจะไม่มีใครถูกส่งมาเพื่อช่วยชีวิตอยู่ดีเพราะมันไม่ต่างกับการส่งคนไปสู่กับดัก
  “เจ้าติดสินบนพวกมันรึ?”
  ทุกอย่างที่เสวี่ยเหลียนคิดได้คือวิธีที่ฟังดูแทบจะเป็นไปไม่ได้มันคือสิ่งเดียวที่อธิบายได้ว่าเหตุใดพวกนางจึงไม่ต้องกังวล
  “ติดสินบนรึ?หืม เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ได้…”
  แสงสีเขียวเปล่งประกายที่แขนของซือหยูมนุษย์สองคนปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า หนึ่งคนนั้นเมาเหล้า ส่วนอีกคนดูหน้าบูดบึ้งไม่ยิ้มแย้ม
  การปรากฏตัวของทั้งสองก็มากพอแล้วที่จะทำให้นักโทษตกใจเมื่อเห็นไปหน้าทั้งสองอย่างชัดเจน พวกเขาทุกคนก็อ้าปากค้างด้วยความกลัวและถอยไปคนละทิศทาง
  เสียงอุทานด้วยความตกใจและความโกรธดังขึ้น
  “สองผู้จัดการคุก!!”   “มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?มันปรากฏตัวมายังไง?”
  “ช้าก่อน!ซือหยูเซี่ยน เจ้าร่วมมือกับดินแดนมีดสวรรค์งั้นเรอะ?”
  ทุกคนตื่นตระหนกขึ้นมาในพริบตา
  “พวกเจ้าทุกคนใจเย็นลงเดี๋ยวนี้!”
  เสวี่ยเหลียนฝืนตัวให้ใจเย็นถ้าหากซือหยูอยากจะทำร้ายพวกเขา เขาก็อาจจะทิ้งพวกเขาให้ตายที่นี่ มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหมดมาเองเพียงเพื่อร่วมมือกับดินแดนมีดสวรรค์?
  “บอกพวกเรามาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
  เสวี่ยเหลียนจ้องมองซือหยูและถามด้วยความใจเย็นที่สุดที่ทำได้นางแอบเหลือบมองชายสองคนด้วยหางตา นางหวาดกลัวมาก
  ทั้งสองเป็นจ้าวเทวะระดับเก้า!นางแทบจะหายใจไม่ออกเมื่อยืนอยู่หน้าพวกเขา การปรากฏตัวของสองคนนี้ทำให้นางและสายลับที่เหลือตกใจมาก
  แต่ซือหยูก็ทำใบหน้าไร้เดียงสา
  “ขออภัยที่ข้าไม่ได้อธิบายนจนพวกเจ้ากลัวแต่สองคนนี้คือทาสของข้า”
  จ้าวเทวะระดับเก้าทั้งสองคุกเข่าแทนคำตอบและพูดกับซือหยูอย่างไร้ความบาดหมาง
  “ขอรับนายท่าน!”
  คุกเงียบกริบราวป่าช้า
  อะไร…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?ซือหยูเซี่ยนจะต้องจงใจทำ! นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าร่วมมือกับมีดสวรรค์เสียอีก!!
  ผ่านไปนานนานมาก แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาสักคำ
  “เฮ้พวกเจ้าหลับไปแล้วรึ? เราต้องออกเดินทางนะ”
  สุดท้ายเสวี่ยเหลียนกลับสู่ความเป็นจริง ดวงวิญญาณและจิตใจของนางกลัวจนไม่ปะติดปะต่อกัน แต่พอฟื้นคืนจากความกลัว นางก็ชกซือหยูโดยไม่บอกกล่าว นางตะโกนด้วยความอับอาย
  “เจ้ามันคนบ้า!!”
  นี่มันเกินไปแล้วเขาเพิ่งจะทำให้พวกนางหวาดกลัวจนเกินกว่าจะรับมือไหว
  “ซือ…ศิษย์น้องซือเจ้าทำพวกข้ากลัวแทบตาย”
  สายลับคนหนึ่งเอามือทาบอกด้วยความหวาดกลัวที่ยังหลงเหลือ
  “ศิษย์น้องซือข้าเกือบจะเป็นบ้าไปแล้ว”
  ผ่านไปนานกว่าที่ทุกคนจะฟื้นคืนจากความสะพรึงกลัวและได้เห็นว่าจ้าวเทวะระดับเก้าทั้งสองคนเป็นทาสของซือหยูจริงทั้งสองเหมือนกับปลาที่ถูกแมวจับเอาไว้
  ทุกคนทิ้งระยะห่างจากทั้งสองไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
  “นี่เจ้าทำได้ยังไงน่ะ?”
  เสวี่ยเหลียนแสดงความสงสัยผ่านแววตามันน่าทึ่งเกินไปที่ทำให้จ้าวเทวะระดับเก้าสองคนเป็นทาสได้  ซือหยูรู้สึกแปลกเช่นกัน
  “อะไรกัน?เจ้าเป็นคนตามหาข่าว พวกเจ้าไม่เคยสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับทวีปตลอดเวลาหกเดือนที่ผ่านมาเลยหรือ?”
  เขาผิดหวังมากในฐานะที่เป็นคนดังหน้าใหม่แห่งทวีป
  “ไม่เลย!”
  เสวี่ยเหลียนส่ายหน้าด้วยความสับสน
  “ครึ่งปีก่อนพวกเราถูกดินแดนมีดสวรรค์หมายตัว พวกเราต้องหยุดหาข่าวตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราต้องซ่อนตัวในที่ลับ มีเรื่องพิเศษเกิดขึ้นหรือ?”
  ซือหยูไม่รู้จะพูดอย่างไรเขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากที่ใดเลย
  “เจ้าจะได้รู้หลังจากกลับสำนักส่วนวิธีที่ข้าทำให้มันกลายเป็นทาส อืม…เจ้าก็แค่ลงไม้ลงมือจนมันยอมแพ้นั่นแหละ”
  ซือหยูดูสบายกายสบายใจเขาหันไปพูด
  “ไปกันเถอะข้าจะพาพวกเจ้ากลับเมืองเทียนหยา”
  เมื่อพูดจบเขาเรียกวิหคไม้ที่จุคนได้ออกมา
  “เราจะบินไปรึ?”
  เสวี่ยเหลียนฉงนอีกครั้ง
  “เจ้าแน่ใจนะว่ามันจะได้ผล?เราจะบินออกไปจากคุกกลางวันแสก ๆ ได้หรือ?”
  “ได้ผลสิเราเลยต้องก้าวพริบตากลับไป”
  ซือหยูพูดเมื่อใช้วิหคไม้ วิหคไม้ฉีกมิติออก มันหายไปยังรอยแยกมิติท่ามกลางสายตาสะพรึงกลัวของเสวี่ยเหลียนและสายลับอื่น
  เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของพวกเขายังคงดังก้องอยู่ในห้องขังแต่พวกเขาก็กลับมาถึงสำนักงานตำหนักโลหิตที่เมืองเทียนหยาในไม่กี่วินาที
  เมื่อเห็นคนออกมาจากรอยแยกมิติเสี่ยวฮั่นและอู๋หลิงรีบเดินเข้ามา ไม่ว่าจะมองไปที่ใคร พวกเขาก็เห็นแค่คนที่สภาพซูบโซไม่สู้ดี  ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนเด่นท่ามกลางกลุ่มสายลับ
  “อาจารย์ซือ…ท่าน…”
  เสี่ยวฮั่นยังพูดไม่ทันจบซือหยูก็หายไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงและกลับมาพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่
  พวกเขามีวิธีแก้ไขสถานการณ์อย่างไรกันด้วยความช่วยเหลือจากสายลับรึ?
  “คนเหล่านี้คือสายลับที่ข้าช่วยมาจากดินแดนมีดสวรรค์บอกสำนักเดี๋ยวนี้ว่าที่ซ่อนของสายลับได้ถูกเจอและกลายเป็นกับดักไปแล้ว ติดต่อศิษย์ที่ไปที่นั่นให้กลับมาเดี๋ยวนี้ด้วย”
  ซือหยูสั่งการ
  รองผู้จัดการใหญ่อู๋หลิงโค้งคำนับและไปทำตามคำสั่งของเขาทันทีเขาจัดการอย่างรวดเร็ว
  “เสี่ยวฮั่นเปิดห้องให้สายลับได้พักฟื้น เตรียมโอสถรักษาแผลด้วย เร็วเข้า”
  ซือหยูสั่งครั้ง  “ได้เลยอาจารย์ซือ”
  เสี่ยวฮั่นตอบด้วยความนับถือแต่เขาก็มิอาจฝืนใจที่อยากถามได้
  “ข้าขอบังอาจถามอาจารย์ซือพวกเขาได้บาดแผลมาอย่างไร? พวกท่านถูกตามล่าหรือ?”
  ซือหยูตอบอย่างไม่คิด
  “ไม่ข้าไปที่คุกใหญ่ที่ดินแดนมีดสวรรค์แล้วช่วยพวกเขาออกมา”
  อะไรนะ?เสี่ยวฮั่นแทบจะกัดลิ้นตัวเอง!
  ข่าวลือเรื่องคุกใหญ่แห่งดินแดนมีดสวรรค์นั้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมันคือสถานที่แห่งความกลัว มีกำแพงทองแดงและเหล็กกล้า ใครจะเข้าไปก็ได้ แต่ไม่มีใครเคยออกมาได้
  ซือหยูก้าวพริบตาตรงไปยังคุกและแอบนำคนกลับมาหรือ?
  แต่ที่หางตาเขาก็ได้เห็นสามชีวิตยืนอยู่ด้านหลังซือหยูเขาถามด้วยความตกใจ  “สามคนนี่ใครกัน?”
  เมื่อจ้องมองทั้งสามเสี่ยวฮั่นหนาวจับใจ!
  หากไม่นับคนหัวกระทิงอีกสองคนคือจ้าวเทวะระดับเก้าเหมือนกับเขา! สัญชาตญาณบอกว่าทั้งสองนั้นเหนือกว่าเขาจนเขารู้สึกไม่ปลอดภัย
  “โอ้สามคนนี้รึ ข้าคิดว่ามันเป็นผู้จัดการคุกใหญ่ ข้าบังเอิญเจอมันที่หน้าประตูแล้วทำให้มันเชื่อฟังข้าในระหว่างทาง ถ้าเจ้าอยากจะให้มันเจ้าก็ออกคำสั่งได้ ส่วนเจ้าหัวกระทิง ข้าว่ามันคือหน้าผีที่เป็นแค่จ้าวเทวะระดับหก มันไม่มีอะไรพิเศษ เจ้าอยากจะทำอะไรกับมันก็ได้”
  ซือหยูอธิบายทุกอย่างราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่พบเจอได้ทุกวันแต่เสี่ยวฮั่นนั้นได้พบเจอกับความตกตะลึงที่ถาโถมเข้ามาจนพูดไม่ออก
  ผู้จัดการคุกใหญ่…
  หน้าผี…  ทั้งหมดเป็นชื่อที่ถูกเรียกขานกันบ่อยครั้ง!
  และซือหยูพูดว่า
  “ข้าบังเอิญเจอมันที่หน้าประตูแล้วทำให้มันเชื่อฟังในระหว่างทาง”
  เสี่ยวฮั่นถึงกับสงสัยหูตัวเอง
  แล้วเขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า
  “เป็นแค่จ้าวเทวะระดับหกไม่มีอะไรพิเศษ จะทำอะไรก็ได้รึ?”