บทที่ 2459 รอดพ้น 4 / บทที่ 2460 บัณเฑาะก์

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2459 รอดพ้น 4

ปลายนิ้วเขาดีดลงบนมือขาดๆ ข้างนั้น แสงสีขาวสายหนึ่งวาบผ่าน มือน้อยที่ขาวเนียนข้างนั้นก็กลายเป็นหนวดหมึกนุ่มนิ่ม…

ไม่ต้องถามเลย ที่ต้อนรับขับสู้เขาก่อนหน้านี้มิใช่กู้ซีจิ่ว แต่เป็นภูตปลาหมึกที่ชำนาญการเลียนเสียงและปลอมแปลงตัวหนึ่ง กู้ซีจิ่วพาตี้ฝูอีหนีไปนานแล้ว!

แม้แต่องครักษ์จินกับองครักษ์หวาก็ถูกนางพาหนีไปด้วย

เขาถูกนางหลอกแล้ว!

เมื่อเห็นเป็ดที่กำลังจะถึงมือบินหนีไป อวิ๋นเยียนหลีก็โมโหจนตาแดงก่ำนิดๆ ในใจยังฉงนอยู่

กู้ซีจิ่วเป็นวิชาเคลื่อนย้ายหลบหนีไปอย่างเงียบเชียบได้ก็แล้วไปเถอะ แต่ภูตปลาหมึกตัวนั้นสรุปแล้วหนีไปได้อย่างไรกัน?! ลูกน้องมากมายขนาดนี้รายล้อมอยู่รอบกายเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็น…

เขาโยนหนวดหมึกเส้นนั้นทิ้งอย่างขยะแขยง เอ่ยสั่งการ

“พวกเจ้าจงเตรียมศาสตราวุธล้ำค่าซะ รอฟังคำสั่งจากข้า! ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากข้า ให้รีบไปจับกุมคนทันที!”

ถึงแม้การที่ถูกหลอกจะทำให้เขาขุ่นเคืองยิ่ง แต่เขาก็โล่งใจเช่นกัน

มหาเทพไม่ได้มา! เป็นผู้อื่นแอบอ้างสวมรอย หากไม่เหนือไปจากที่คาดไว้ คนที่ปลอมตัวเป็นมหาเทพก็คือภูตปลาหมึกตัวนี้!

แปลก ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยว่าอาณาจักรมารมียอดคนเช่นนี้อยู่ด้วย?

การอนุมานก่อนหน้านี้ของเขาถูกต้องแล้ว ตี้ฝูอีคือราชันมารองค์ใหม่ ส่วนกู้ซีจิ่วก็น่าจะเป็นคนที่ปล้นหินผลึกไป นางทราบแผนการของเขามากมายนัก…

เขาสูดหายใจนิดๆ มุมปากเผยยิ้มเยียบเย็นจางๆ

พวกกู้ซีจิ่วหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขาหรอก! วิชาสืบรอยของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ ไม่ว่าผู้ใดขอเพียงยังอยู่ในแดนอสุราแห่งนี้ เว้นแต่เขาจะมุดเข้าไปซ่อนในอาณาจักรมาร มิเช่นนั้นก็อย่าหมายจะซ่อนจากติดตามของเขาได้!

และอาณาจักรมารก็อยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันลี้ พวกเขาเพิ่งหนีไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ ต่อให้หนีได้เร็วสักเพียงใดก็ไปได้ไม่เกินสามร้อยลี้

รอให้จับพวกเขาได้ก่อนเถอะ…

เขาจะเผยโฉมหน้าแล้วใช้กำลังบังคับกู้ซีจิ่ว ทำให้นางกลายเป็นคนของเขาโดยตรง ถึงแม้ต้องใช้วิธีจองจำก็ต้องผูกมัดนางไว้ข้างกายให้ได้!

ส่วนตี้ฝูอี ย่อมปล่อยไว้ไม่ได้อีก

จะสังหารเขาเพื่อเซ่นสังเวยต่อบุพการีตน กำจัดตัวปัญหาใหญ่ผู้นี้เสีย!

แดนอสุราเป็นอาณาเขตของเขา อาณาเขตของเขา เขาคือนาย เขาไม่อนุญาตผู้อื่นมาก่อระลอกคลื่นขึ้นในอาณาเขตของเขา

อวิ๋นเยียนหลีพลันร่ายอาคม เปิดใช้วิชาสืบรอย…

….

เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว

อวิ๋นเยียนหลียืนอยู่ในทุ่งร้างแห่งหนึ่ง กัดฟันมองตัวต้นเรื่องที่อยู่บนพื้น

นั่นคือละมั่งที่ปราดเปรียวตัวหนึ่ง อาภรณ์ตัวหนึ่งห่อหุ้มอยู่บนร่างละมั่ง อาภรณ์นั้นคือชุดที่กู้ซีจิ่วเคยสวม…

ละมั่งตัวนั้นถูกอวิ๋นเยียนหลีสกัดจุดให้ล้มลง จ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาอันไร้เดียงสา

อวิ๋นเยียนหลีดึงเสื้อผ้าบนร่างมันลงมา พลิกดูอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง

หุ่นกระดาษตัวหนึ่งหล่นออกมาจากในชุด หลังจากหุ่นกระดาษตัวนั้นหล่นลงบนพื้นก็ลุกไหม้ด้วยตัวเอง ไม่รอให้อวิ๋นเยียนหลีโผเข้าเก็บก็สลายเป็นเถ้าล่องลอยไปแล้ว

อวิ๋นเยียนหลีกำมือด้วยความโกรธจนเล็บมือเขียวคล้ำไปหมดแล้ว!

วิชาสืบรอยของเขามิใช่การติดตามจากกลิ่นอายบนตัวคน แต่เป็นกลิ่นอายของดวงวิญญาณ ดังนั้นขอเพียงเขาค้นหาอย่างจริงจัง ไม่มีทางผิดพลาดได้

หนนี้เขาติดตามกลิ่นอายดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วมา มั่นใจในความแม่นยำนัก กลับคาดไม่ถึงว่าพอเขาติดตามกลิ่นอายมาจนถึงที่นี่ จะพบเพียงละมั่งตัวนี้…

ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีกลิ่นอายดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วอยู่บนร่างละมั่ง ปัญหาน่าจะมาจากหุ่นกระดาษตัวนั้น มีคนใช้อาคมผนึกกลิ่นอายดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วลงบนหุ่นกระดาษตัวนั้น ถึงทำให้เขาค้นหาผิดทิศทาง ไล่ตามละมั่งตัวหนึ่งมาครึ่งค่อนแผนที่…

ประหลาดนัก กลิ่นอายของดวงวิญญาณมนุษย์ทำไมถึงผนึกลงบนหุ่นกระดาษได้เล่า?

นี่เป็นวิชาอันใดกัน?

หุ่นกระดาษตัวนั้นลุกไหม้ไปแล้ว ถึงเขาอยากจะตรวจสอบก็ทำไม่ได้แล้ว

เขาซัดละมั่งที่ไร้ความผิดจนตาย ยืนใคร่ครวญอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

พวกกู้ซีจิ่วไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่?

————————————————————————————-

บทที่ 2460 บัณเฑาะก์

เขาสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง กู้ซีจิ่วสามารถทำหุ่นกระดาษเช่นนี้ออกมาตัวหนึ่งได้ ก็ต้องทำตัวที่สองตัวที่สามได้ ดังนั้นจะค้นหาจากกลิ่นอายวิญญาณของนางต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะตามไปเจอสิ่งใดเข้าอีก

เช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนตัวเป้าหมาย!

ตามตี้ฝูอีหรือ? เกรงว่าคงไม่ได้ กลิ่นอายวิญญาณของเขาแปรเปลี่ยนไปนานแล้ว หนำซ้ำพวกกู้ซีจิ่วยังปกป้องเขาเป็นหลักด้วย ต้องทำหุ่นกระดาษแทนตัวเขาไว้แล้วแน่ๆ เขาไล่ตามไปเกรงว่าจะคว้าน้ำเหลวเช่นกัน

การผนึกกลิ่นอายดวงวิญญาณลงบนหุ่นกระดาษ เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง ไม่อาจทำให้ทุกคนได้

หากว่าติดตามองครักษ์จินองครักษ์หวาน่าจะตามไปได้ และหากไม่เหนือไปจากที่คิดไว้ สองคนนี้คงอยู่กับตี้ฝูอี

แต่ก่อนหน้านี้สองคนนี้ไม่ได้แตะต้องถูกตัวกับอวิ๋นเยียนหลีอย่างแท้จริงเลย ในมือของอวิ๋นเยียนหลีจึงไม่มีของที่สามารถจดจำกลิ่นอายดวงวิญญาณได้ ถึงขั้นที่เศษผ้าสักชิ้นจากร่างพวกเขาก็ไม่มีอยู่เลย…

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลันนึกถึงภูตปลาหมึกตัวนั้นขึ้นมา…

เขาได้จับหนวดหมึกเส้นน้อยๆ ครึ่งเส้นของอีกฝ่าย! และหลังจากอีกฝ่ายหนีรอดไปแล้ว จะต้องไปรวมตัวกับพวกกู้ซีจิ่วแน่นอน

เขาเชิดหน้ายิ้มแวบหนึ่ง ประกายเฉียบคมพาดผ่านดวงตา ในที่สุดก็หาทิศทางในการติดตามได้แล้ว

….

ณ ท้องทะเลที่มีระลอกคลื่นซัดสาด

คลื่นทะเลโถมเข้าสู่ชายฝั่ง ซัดกระแทกโขดหินริมฝั่ง เกิดเสียงดังครืนครืน

คนในชุดอันงดงามวิจิตรผู้หนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินริมหาด เรือนผมยาวเป็นสีม่วงเข้ม นุ่มลื่นดุจสาหร่ายทะเล ทิ้งตัวไปด้านหลัง แผ่พลิ้วอยู่ในน้ำทะเล

คนผู้นี้นั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น เหม่อมองออกไปไกล คล้ายกำลังใจลอยอยู่

ยามนี้เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว เมฆาแดงครึ้มค่อยๆ แผ่คลุมนภาพิรุณโลหิตที่มาทุกๆ สิบวันกำลังจะโปรยปรายลงมาแล้ว

พิรุณโลหิตมีพิษ สามารถทำให้พืชพรรณเติบโตอย่างบ้าคลั่งได้ สัตว์ส่วนใหญ่ก็เกิดการกลายพันธุ์ แต่ถ้ามนุษย์ต้องฝนจะกัดกร่อนผิวหนังเข้าไปถึงในกระดูก ไร้ซึ่งยารักษา ซ้ำยังกัดกร่อนดวงวิญญาณมนุษย์ได้ด้วย ทำร้ายดวงวิญญาณ แปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณพยาบาท…

บางคนบอกว่า ค้างคาวโลหิตเหล่านั้นที่มาพร้อมกับพิรุณโลหิตจำแลงมาจากวิญญาณพยาบาทของประชาชนที่สิ้นชีพในแดนอสุรา

แต่หลังจากมันตกลงสู่ทะเล จะค่อยๆ ถูกน้ำทะเลชะล้าง กลายเป็นไร้พิษภัย

ดังนั้นยามที่พิรุณโลหิตโปรยปราย สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกจึงไม่ถูกพิษ มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ลึกจากผิวทะเลลงไปสองสามเมตรเท่านั้นถึงจะถูกพิษ

อวิ๋นเยียนหลีไล่ตามมาจนถึงที่นี่ ไม่เห็นพวกกู้ซีจิ่ว เห็นเพียงคนที่นั่งอยู่บนโขดหิน

คนผู้นั้นหันหลังให้เขา มองเพศไม่ออก แต่อ้างอิงจากกลิ่นอายดวงวิญญาณแล้ว อวิ๋นเยียนหลีมั่นใจว่านี่คือภูตปลาหมึกตนนั้น!

เขา (หรือนาง) ได้รับบาดเจ็บจึงกลับมารักษาตัวที่ทะเลหรือ? หรือว่าพวกกู้ซีจิ่วอยู่ใต้ทะเล?

อาจเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหว คนผู้นั้นค่อยๆ หันกลับมา สายตาร่อนลงบนร่างอวิ๋นเยียนหลี

ในที่สุดอวิ๋นเยียนหลีก็ได้เห็นรูปโฉมของคนผู้นี้ชัดๆ แล้ว หัวใจพลันสั่นไหวนิดๆ

คนผู้นี้งดงามยิ่งนัก นัยน์ตาโต สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางแดงเรื่อได้รูปสมบูรณ์แบบ ขนตายาวและโค้งงอน ดำเหลือบม่วง แก้วตาเป็นสีครามเข้ม เมื่อกะพริบนิดๆ ด้านในดูราวกับมีระลอกคลื่นซัดสาดอยู่

คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มตัวหลวมโคร่งปักลายบุปผาสีเข้มเช่นกัน เปิดเปลือยแขนข้างหนึ่ง บนข้อมือมีเปลือกหอยและไข่มุกร้อยเรียงอยู่ เมื่อขยับตัวเล็กน้อย จะเกิดเสียงดังหวูดหวูด ดุจเป่าแตรสังข์

แขนอีกข้างซุกอยู่ในแขนเสื้อ มองไม่เห็นว่าบาดเจ็บหรือไม่

คนผู้นี้ลุกขึ้นยืน สายลมพัดชายชุดให้เลิกขึ้น

ม่านตาอวิ๋นเยียนหลีพลันหดตัว!

ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่ได้สวมสิ่งใดไว้ใต้เสื้อคลุมตัวโคร่งเลย เผยสองขาเรียวยาวออกมา

ท่อนขานั้นอมชมพู เรียวยาวเสลา น่ามองอย่างยิ่ง

สองเท้าของคนผู้นี้เปล่าเปลือย บนข้อเท้าผูกกำไลข้อเท้าสีเงินเจิดจ้าไว้ เกิดแสงวูบไหวไปตามการก้าวเดินของคนผู้นี้