ตอนพิเศษ 5-1 เซี่ยหมิงผู่ (ปลาย)

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ที่บ้านตระกูลหลิวซึ่งเป็นตระกูลทางแม่ของเซี่ยหมิงผู่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ไอหยา หลานชายของตัวเองไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังเป็นถึงข้าหลวงใหญ่แห่งเจียงหนาน นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างที่สุด เจ้าบ้านสกุลหลิวพาลูกชายสองคนไปต้อนรับในวันถัดมา เซี่ยหมิงผู่ออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยความกระตือรือร้น ตระกูลท่านตาดูแลพวกเขาสองพี่น้องอย่างดีมาตลอด เซี่ยหมิงผู่ไม่ใช้คนลืมบุญคุณคน

 

 

เจ้าบ้านสกุลหลิวเห็นหลานชายมีใบหน้าเหมือนลูกสาวของเขาอยู่สองส่วน ดวงตาก็เปียกซึม ตบไหล่ของเขาอย่างตื่นเต้น “ดี ดี เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ดี ข่าวดี ข่าวดี แม่ของเจ้าในปรภพจะได้นอนตายตาหลับ”

 

 

เซี่ยม่านผู่ประคองแขนของท่านตา ยิ้มอย่างอบอุ่น “ท่านตาและท่านน้าทั้งสองรีบนั่งลงเถิด ข้าพอมีบุญอยู่บ้างถึงได้พบคนที่ยิ่งใหญ่ แต่ข้าก็มีชีวิตที่สุขสบายดี ยายหนูม่านเอ๋อร์เองก็สบายดี ตอนนี้นางโตเป็นสาวแล้ว อีกเดี๋ยวท่านตาและท่านน้าก็จะได้พบนางแล้ว”

 

 

“ดีแล้ว ดีแล้วที่พวกเจ้าสองพี่น้องสบายดี คนแก่อย่างข้าก็วางใจ” ท่านเจ้าบ้านสกุลหลิวตื้นตันยิ่งนัก แต่ก็รู้อะไรเป็นอะไรจึงไม่ได้เอ่ยถึงสกุลเซี่ย ไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

 

 

ท่านน้าทั้งสองแห่งสกุลหลิวเองก็มองหลานชายด้วยสายตาแรงกล้า มีท่าทีอึดอัดอยู่บ้าง ก็ใช่ ที่สกุลหลิวเองก็เป็นสกุลขุนนาง พวกเขาเองก็กว้างขวางรู้จักคนไปทั่ว แต่ได้เป็นขุนนางตำแหน่งสูงทั้งที่อายุยังน้อย แน่นอนว่าความกดดันจากผู้บังคับบัญชาก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะรับไว้ได้

 

 

เซี่ยหมิงผู่เล่าเรื่องประสบการณ์สองสามปีมานี้อย่างง่ายๆ สามพ่อลูกสกุลหลิวชื่นชมไม่ขาดปาก โดยเฉพาะท่านน้ารอง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “รัชศกยงเซวียนที่สิบเจ็ดข้าอยู่เมืองหลวง และได้ยินคนพูดว่าจอหงวนคนใหม่ชื่อเซี่ยหมิงผู่ ตอนนี้ข้ายังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงบังเอิญนัก ทำไมข้าไม่สืบข่าวให้มากกว่านี้นะ” หากเขาสืบข่าวต่อไป พวกเขาคงจะได้พบกันตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว

 

 

เซี่ยหมิงผู่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่ขอรับ!”

 

 

“ใช่ใช่ใช่ ยังไม่สาย ยังไม่สาย” ท่านน้ารองสกุลหลิวหัวเราะเก้อ เมื่อคิดว่าเขามีหลานชายเป็นข้าหลวงใหญ่ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงอยู่นั่นเอง

 

 

ยามเที่ยง เซี่ยหมิงผู่จัดงานเลี้ยงให้กับท่านตาและท่านน้าทั้งสอง ยกสุราอย่างขยันขันแข็งด้วยท่าทีเคารพนบน้อม ไม่เหมือนท่าทีของขุนนางผู้ใหญ่ที่ชอบดูถูกผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าบ้านสกุลหลิวยังดี แต่ท่านน้าสกุลหลิวทั้งสองกลับปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ดื่มสุราเสียจนเมามาย

 

 

ยามที่กำลังจะกลับ เจ้าบ้านสกุลหลิวยังลังเลและถามขึ้นมาว่า “เสี่ยวผู่ ทางสกุลเซี่ย….”

 

 

เซี่ยหมิงผู่ยิ้มเล็กน้อย “ท่านตาวางใจ ข้าคิดเอาไว้แล้วขอรับ” ตอนนี้เขาได้เปรียบอยู่ทุกประตู จะกลัวอะไรอีก สกุลเซี่ย เฮอะเฮอะ หากพวกเขารู้ตัวก็แล้วไป แต่หากยังไม่รู้ ก็อย่าโทษที่เขาต้องลงมือสั่งสอนเขาด้วยมือของตัวเองล่ะ

 

 

นายหญิงสกุลหลิวและสะใภ้ทั้งสองที่เข้าไปข้างในคฤหาสน์เพื่อถวายความเคารพองค์หญิงนั้นตื่นตระหนก แม้จะบอกว่าเป็นหลานสะใภ้ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นองค์หญิง สตรีสูงศักดิ์ในราชวงศ์ พวกนางเข้าพบแน่นอนว่าต้องคุกเข่าก้มหัวให้

 

 

พวกนางเดินตามนางกำนัลเข้าไปด้านใน ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย แม้แต่นางข้าหลวงข้างกายขององค์หญิงก็ดูสูงส่งกว่าเหล่าหญิงสาวในตระกูลขุนนางที่พวกนางเคยพบมามาก แล้วองค์หญิงเล่าจะเป็นอย่างไร พวกนางไม่กล้าที่จะคิดเลย

 

 

“หม่อมฉันถวายบังคมองค์หญิง” นายหญิงสกุลหลิวเห็นว่าหญิงสาววัยรุ่นหน้าตางดงามนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็ไม่กล้าที่จะมองขึ้นไปอีกครั้ง ก้มศีษะลงคำนับที่พื้น สะใภ้ทั้งสองที่อยู่ด้านหลังก็รีบคุกเข่าตามแม่สามีโดยไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีก

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่ารีบลุกขึ้นเถิด” นายหญิงสกุลหลิวรู้สึกว่าหัวเข่ายังไม่แตะพื้นก็มีคนประคองนางลุกขึ้น หญิงสาวที่ประคองนางขึ้นมานั้นยิ่มให้พลางเอ่ยว่า “ท่านยาย พี่สะใภ้ขอให้ท่านลุกขึ้นมาเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

นายหญิงสกุลหลิวชะงัก จากนั้นก็ร้องขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ม่านเอ๋อร์ เจ้าคือม่านเอ๋อร์ใช่มั้ย!” โดยไม่สนใจว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าองค์หญิงหรือไม่ น้ำตาของนางไหลหลั่ง มือสั่นเทาลูบไล้ใบหน้าของเซี่ยม่านเอ๋อร์ที่เหมือนลูกสาวในยามเยาว์ของนาง

 

 

เซี่ยม่านเอ๋อร์ยิ้มจนตาหยี ปลอบโยนท่านยายของตัวเอง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าเสียใจไปเลย ม่านเอ๋อร์สบายดี หลายปีมานี้หลานเติบโตมาอย่างดี ไม่ต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย” นางพูดจริงๆ นางที่เติบโตขึ้นมาข้างกายของคุณหนู แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้ แต่เรื่องกินอยู่ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งยังได้รับการศึกษาอยู่ในระดับเยี่ยมยอด ไม่ด้อยไปกว่าตอนที่นางอยู่ที่สกุลเซี่ยเลยแม้แต่น้อย “ท่านยาย ม่านเอ๋อร์ดีใจนักที่ได้พบท่าน อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ”

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่เสียใจ พวกเราไม่เสียใจเลย ยายดีใจยิ่งนัก!” นายหญิงสกุลหลิวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา และหันไปขออภัยองค์หญิง “หม่อมฉันเสียมารยาท ขายหน้าต่อหน้าองค์หญิงแล้ว”

 

 

องค์หญิงสามยิ้มเรียบๆ “ครอบครัวพบหน้าเป็นเรื่องน่ายินดี ข้าเข้าใจได้ ม่านเอ๋อร์ เจ้ารับรองฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินทั้งสองให้ดีเถิด ข้าขอตัวก่อน” นางเดินนำคนของตัวเองออกไปอย่างเข้าใจดี แต่ให้ลูกชายอยู่ก่อน

 

 

เมื่อองค์หญิงไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยท่านน้าสะใภ้สกุลหลิวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “โอย ตกใจเสียแทบแย่” สะใภ้รองสกุลหลิวปาดเหงื่อบนศีรษะ ขาของนางอ่อนแรง แม้ฮูหยินใหญ่สกุลหลิวจะไม่พูดอะไร แต่ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงพอๆ กับฮูหยินรอง

 

 

“ราชวงศ์น่าเกรงขาม และนั่นคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์” นายหญิงสกุลหลิวมองลูกสะใภ้ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้

 

 

เซี่ยม่านเอ่อร์กลับแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย “ท่านยาย ท่านน้าสะใภ้ ไม่ต้องกังวลแล้วเจ้าค่ะ! พี่สะใภ้เป็นคนดี ดูซี นี่คือหลานชายของข้า น่ารักหรือไม่” นางอุ้มหลานชายของมือของแม่นมเข้ามาอวดอย่างภาคภูมิใจ

 

 

“พี่ชายของเจ้ามีลูกชายแล้วหรือ ดูเด็กน้อยคนนี้ซี หน้าตาดีนัก ดูสมเกียรติ ดูหน้าผากเต็มแน่น เพียงเห็นก็รู้ว่าจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่” นายหญิงสกุลหลิวยิ่งยินดีขึ้นไปอีก รับอวี้เอ๋อร์เข้ามาในอก รักเสียยิ่งกว่าอะไร

 

 

น้าสะใภ้ทั้งสองเองก็เออออ สะใภ้ใหญ่สกุลหลิวเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจ “ถ้ารู้ว่ามีหลานน้อยด้วย พวกเราจะได้เตรียมของมาแต่เนิ่นๆ ตอนนี้ไม่มีของอะไรมาเลย ทำให้เด็กน้อยของพวกเราน้อยใจเสียแล้ว”

 

 

นายหญิงสกุลหลิวเองก็พยักหน้า “นั่นน่ะสินะ” นางถอดกำไลหยกที่ตัวเองสวมมาเป็นสิบปีแล้วสวมให้กับเซี่ยม่านเอ๋อร์ “ม่านเอ๋อร์ ยายขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า ชั่วพริบตา เจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว ส่วนของรับขวัญเด็กน้อย ยายจะนำมามอบให้ครั้งหน้า” นางพูดขึ้นด้วยความเสียใจ แต่ตอนนี้นางไม่มีของอะไรที่เหมาะที่จะมอบให้ทารกน้อย จึงทำเท่าที่ทำได้

 

 

น้าสะใภ้ทั้งสองเมื่อเห็นดังนั้น ก็มองสบตากัน แล้วพากันมอบเครื่องประดับล้ำค่าบนร่างของตัวเองให้เซี่ยม่านเอ๋อร์เป็นของขวัญวันแรกพบ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าสถานะของหลานสาวในตอนนี้ไม่ธรรมดา นางยังเป็นหลานสาวแท้ๆ ของแม่สามีอีกด้วย พวกนางล้วนแล้วแต่มีลูกสาว ต่อไปหากม่านเอ๋อร์ออกมาเยี่ยมเยียนใครจะดูหมิ่นได้ ผูกมิตรกับญาติอย่างไรก็เป็นผลดี

 

 

เซี่ยม่านเอ๋อร์รับของเหล่านั้นด้วยความยินดี “ม่านเอ๋อร์ขอบพระคุณท่านยายและท่านน้าสะใภ้ทั้งสองเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อคนสกุลหลิวออกจากจวนข้าหลวงใหญ่ไปแล้ว ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่ว คนทั่วทั้งเจียงหนานล้วนแล้วแต่รู้ว่าท่านข้าหลวงใหญ่วัยเยาว์ผู้นี้เป็นหลานชายเอกของสกุลเซี่ยที่ถูกโจรดักปล้นฆ่าเมื่อเก้าปีก่อน คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาคนนั้น! ตอนที่ท่านผู้นี้เกิดเรื่องทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกสงสารและเสียดายแทนสกุลเซี่ยกันทั้งนั้น

 

 

ตอนแรกพวกเขาเสียดาย แต่ตอนนี้พวกเขากลับอิจฉาสกุลเซี่ยเสียแล้ว ดูคนสกุลเซี่ยซี มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในตระกูลและเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย ได้แต่งงานกับองค์หญิง ทั้งยังได้เป็นขุนนางใหญ่มีศักดินาตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด อย่าว่าแต่เจียงหนานเลย ทั่วทั้งต้ายงก็มีบุคคลเช่นเข้าเพียงผู้เดียว

 

 

แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าตระกูลแม่อย่างสกุลหลิวได้เข้าไปคำนับแล้ว ทว่าสกุลเซี่ยยังไม่ขยับ ยังไม่ไปคำนับที่จวนข้าหลวงใหญ่ ท่านข้าหลวงใหญ่ก็ยังไม่กลับจวนสกุลเซี่ย ดังนั้นทุกคนจึงเกิดข้อกังขาอยู่ในใจ คนที่ฉลาดหน่อยก็นึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ลอบฆ่าเมื่อเก้าปีก่อน ในใจเริ่มรู้สึกยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น

 

 

ตระกูลชั้นสูงและคนในแวดวงขุนนางจะมีคนโง่สักกี่คนกัน เมื่อรวมกับท่าทีแบ่งพรรคแบ่งพวกของท่านข้าหลวงใหญ่ นำเหตุการณ์ต่างๆ มารวมกันก็เริ่มที่จะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมา ดังนั้นข่าวลือจึงเริ่มต้นขึ้น แม้จะไม่ได้ออกมาพูดชัดๆ แต่กลับพูดกันลับๆ ว่าคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยนั้นทั้งฉลาดทั้งเลอะเลือน ทำไมถึงปล่อยให้อนุภรรยาทำร้ายบุตรเอกได้ ทั้งที่เป็นลูกชายที่มีอนาคตสดใสเสียด้วย!

 

 

แม้จะมีหลักฐานแล้วว่าท่านข้าหลวงใหญ่คนใหม่เป็นบุตรชายคนโตสกุลเซี่ย เซี่ยหมิงผู่ แต่แรงต่อต้านก็ไม่ได้น้อยลงเลย เพราะเป็นขุนนางตระกูลสูงทั้งๆ ที่อายุยังน้อยใครเล่าจะยอมเชื่อฟัง โดยเฉพาะพวกขุนนางไม่เอาไหน ต่อหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพียงหมุนตัวก็ไม่เผาผี สร้างความวุ่นวายให้กับเซี่ยหมิงผู่ไม่น้อย

 

 

แต่เซี่ยหมิงผู่เป็นคนที่ใครจะมาล้อเล่นได้หรือ หากไม่มีฝีมือดีพอฮ่องเต้จะให้เขาเป็นถึงข้าหลวงใหญ่แห่งเจียงหนานหรืออย่างไร เขาจะกลายเป็นราชบุตรเขยคนโปรดได้อย่างไร! นอกจากเขาจะเป็นข้าหลวงใหญ่ เขายังเป็นราชบุตรเขย มีทหารองครักษ์ขององค์หญิงอยู่ข้างกาย เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็สะดวก

 

 

สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘หนึ่งผู้มีอำนาจพิฆาตสิบนักรบ’ เมื่อท่าทีของเซี่ยหมิงผู่เริ่มเด็ดขาดมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะขอผัดผ่อนอย่างไรก็ไร้ผล เจ้าทำงานไม่ดี ก็เปลี่ยนเอาคนที่ทำได้เข้ามาแทน เจ้าไม่เชื่อฟัง ก็เปลี่ยนเอาคนที่เชื่อฟังเข้ามาแทน เพราะเขาเป็นขุนนางยศสูงที่สุดในเจียงหนาน ทุกอย่างล้วนต้องเป็นไปตามแต่ที่เขาจะพูด

 

 

ทำไม เจ้าจะหาทางรายงานไปถึงเมืองหลวงหรืออย่างไร สมองของเจ้ามีปัญหาหรือ เจ้าจะไปรายงานกับใคร คนที่อยู่เบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งนักหรือ เขาคนนั้น เซี่ยหมิงผู้เป็นถึงเขยรักของฝ่าบาททั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับคนสนิทของฮ่องเต้อย่างผิงอ๋องด้วย เจ้าจะรายงานเรื่องเขาไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร

 

 

แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน เซี่ยหมิงผู่ก็จัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เจียงหนานจนราบรื่น บัดนี้ขุนนางที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากเห็นฝีมือของเขาแล้วก็ซื่อสัตย์ขึ้นมาและเคารพเขากันทุกครั้ง

 

 

เซี่ยจิ้นอันรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเซี่ยหมิงผู่จะเข้ามาเยี่ยมเยียน ทว่ากลับได้ยินว่าสกุลหลิวได้ผลประโยชน์ไม่น้อย แต่เขากลับได้อยู่วงนอก คนอื่นมองเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่ เหล่าสหายเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์กันมานานก็ตบไหล่เขายามที่ดื่มสุราด้วยกัน “พี่จิ้นอัน ท่านนี่มีความสุขอยู่ในมือแต่กลับไม่รู้ ท่านพี่มีลูกที่มีอนาคตไกลขนาดนี้…เฮ้อ พี่จิ้นอันต้องคิดให้มากๆ หน่อยนะ”

 

 

คิดอะไร มีอะไรให้คิดอีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตัวเขายังเป็นพ่อ และเขาเป็นลูก หรือว่าตัวเขาที่เป็นพ่อจะต้องวิงวอนร้องขอเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่าเขามีอะไรให้เคียดแค้นเพียงนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าปีก่อนก็เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น หรือคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำร้ายเขา อย่างไรเสียสกุลเซี่ยก็เลี้ยงเขามาสิบสี่ปี เขาจะทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักญาติพี่น้องเช่นนี้ได้หรือ

 

 

เซี่ยจิ้นอันยิ่งอยู่ยิ่งโกรธ มิหนำซ้ำจ้าวซื่อยังใส่ไฟ ดังเช่น “คุณชายใหญ่ได้เป็นขุนนางแล้วลืมบิดา” ยิ่งทำให้ไฟแค้นของเซี่ยจิ้นอันโหมกระหน่ำขึ้นไปอีก โกรธเสียจนเดินดุ่มๆ ไปจนถึงจวนข้าหลวงใหญ่