หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าตอบ “ขอรับ ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว”
นางปล่อยให้ข้าวต้มต้มในหม้อ แล้วทำกับข้าวอีกสองอย่างซึ่งเป็นกับข้าวที่นางทำจนถนัดเมื่อตอนอยู่บ้านนอก ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เสร็จ
ส่วนข้าวต้ม นางก็ปล่อยให้ต้มต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าวต้มน่ะ เป็นอาหารดีต่อสุขภาพที่สุดแล้ว คนตั้งครรภ์จะกินทุกวันก็ไม่เป็นอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนจำไว้ทั้งหมด
เมื่อทำเสร็จทั้งหมดแล้ว ก็นำถาดมาหนึ่งใบ หวงฝู่อี้เซวียนนำข้าวต้มถ้วยใหญ่หนึ่งถ้วยกับกับข้าวสองอย่างวางลงบนถาด และเดินถือกลับไปที่ห้องของตนอย่างระมัดระวัง
เมิ่งชื่อเดินตามหลังไปอย่างมีความสุข
เฝิงจิ้งซูก็ได้ข่าวเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์เช่นกัน จึงอุ้มลูกตนมาเยี่ยมเยียน จำนวนคนในห้องก็เยอะขึ้น
ซุนเชี่ยน หวังเยียน เฝิงจิ้งซูทั้งสามคนสลับกันพูดกำชับเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวพึงระวังให้นางฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนยกอาหารเข้ามาในห้อง ดวงตาเมิ่งเชี่ยนโยวพลันลุกวาว นางทำจมูกดมฟุดฟิด เตรียมจะลุกขึ้นนั่ง “หอมจังเลย ข้ายิ่งหิวแล้วเนี่ย”
เห็นนางใช้แรง หวงฝู่อี้เซวียนตกใจจนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง อาหารที่อยู่ในมือก็เกือบจะถูกโยนทิ้งไป พูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เจ้าอย่าขยับเขยื้อนตัวสิ ให้ข้าพยุงเจ้าเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก สภาพร่างกายข้า ข้ารู้ดี ไม่เป็นอะไรหรอก…” ยังไม่ทันพูดจบ อาการปั่นป่วนคลื่นไส้ก็มาเยือนอีกครั้ง นางรีบป้องปากตนเองไว้
หวงฝู่อี้เซวียนกังวลจนเหงื่อซึมบนใบหน้า
ซุนเชี่ยนโค้งตัวลง ช่วยตบหลังเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ
ชิงหลวนนำกระโถนสะอาดมาใบหนึ่งวางลงข้างเตียง
เมิ่งเชี่ยนโยวนำมือออกและทำท่าผะอืดผะอมใส่กระโถนทันที
เสียงคลื่นไส้นั้นทรมานเหลือเกิน ไม่เพียงหวงฝู่อี้เซวียนที่สงสารนาง ทุกคนในห้องก็เป็นเช่นกัน เมิ่งชื่อรีบเดินขึ้นไปหา ถามไม่ขาดสายว่า “ทำไมอาการแพ้ท้องถึงรุนแรงขนาดนี้ จะให้ทำอย่างไรดีนี่”
นางรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา แต่ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ผ่อนเบาไปบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเงยหน้าขึ้น รับผ้าเช็ดหน้าที่จูหลียื่นมาให้เช็ดปากจนสะอาด ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ นั่งพิงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ เมื่อกี้หมอหลวงมาแล้วบอกว่าเป็นลูกแฝด อาจจะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าคนอื่นเจ้าค่ะ”
“ลูกแฝด!” เมิ่งชื่อร้องเสียงหลงด้วยความดีใจ
ทุกคนในห้องได้ยินดังนั้นก็ดีใจมากเช่นกัน
สีหน้ากังวลของหวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ หายไป แล้วเผยอยิ้มแห้งๆ ออกมา
สิ่งที่เมิ่งชื่อพูดต่อจากนี้กลับทำให้รอยยิ้มแห้งๆ ของเขาแข็งทื่ออยู่บนใบหน้า “ลูกแฝดจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ จากวันนี้ไป แม่จะอยู่นี่ ให้อี้เซวียนไปอยู่เรือนอื่นเสีย”
หากเป็นพระชายาฉีพูด หวงฝู่อี้เซวียนยังกล้าคัดค้านบ้าง แต่เมื่อเมิ่งชื่อพูดแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคัดค้านสักคำ ได้แต่เปลี่ยนรอยยิ้มที่แข็งทื่อบนใบหน้าของตนเป็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนที่ตกกระป๋องทันทีด้วยความเวทนา จึงช่วยแก้สถานการณ์ให้เขาว่า “ท่านแม่ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ยกอาหารที่อยู่ในถาดออกมา ใช้ช้อนตักลงไปคำหนึ่ง เป่าจนหายร้อนแล้ว จึงป้อนให้เมิ่งเชี่ยนโยวทาน
เมิ่งเชี่ยนโยวอ้าปากกินและกลืนอาหารลงไป
“ท่านแม่ ให้ข้าทำเถอะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนที่ยังคงถือถาดอยู่ในมือพูดขึ้น
เมิ่งชื่อส่ายหัว “เจ้าน่ะ ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน เดี๋ยวก็งุ่มง่ามไม่ระวังถูกตัวโยวเอ๋อร์อีก ให้ข้าทำเองเถอะ”
ตอนที่โยวเอ๋อร์ป่วยข้าเป็นคนดูแลตลอด เรื่องแบบนี้ข้าทำมามากแล้ว ถนัดจะตายไป หวงฝู่อี้เซวียนคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองเขาด้วยความสงสารอีกครั้ง หลังจากกลืนข้าวต้มลงไปคำหนึ่ง ก็ช่วยพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา “ท่านแม่ ตอนที่ข้าป่วย อี้เซวียนเป็นคนป้อนข้าตลอด เขาทำได้นะเจ้าคะ”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เจ้าบอบบางเกินไป หากเขาไม่ระวังโดนตัวเจ้าจะทำอย่างไร ฟังแม่เถอะ ต่อไปเรื่องป้อนข้าว แม่จะทำเอง” เมิ่งชื่อพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาอย่างช่วยไม่ได้ให้หวงฝู่อี้เซวียน
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนถมึนทึงทันที
“ทำไม เจ้าไม่ยอมรึ” เมิ่งชื่อถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หวงฝู่อี้เซวียนรีบยิ้มเอาใจทันที “เปล่าขอรับ ข้าไม่มีประสบการณ์อะไรเลย อยากให้ท่านแม่อยู่ดูแลใจจะขาดขอรับ”
เมิ่งชื่อค่อยรู้สึกพอใจ ป้อนเมิ่งเชี่ยนโยวทานข้าวต้มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เห็นท่าทางน่าสงสารของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งฉีก็เริ่มรู้สึกสงสารเขา จึงเดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ พูดอย่างมีนัยว่า “อี้เซวียน วันที่ยากลำบากเพิ่งเริ่มต้น ต่อไปยังมีวันที่หนักกว่านี้อีก ข้าขอแนะนำเจ้าว่ามีลูกสองคนดีที่สุด ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้สบายใจ หากเป็นลูกสาว…” พูดถึงตรงนี้ สายตาน่าเวทนาของเขาก็จ้องมองไปที่กับข้าวที่เขาถืออยู่ “ตำแหน่งของเจ้าอาจจะสู้นางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
พูดจบ ก็ตบไหล่เขาเบาๆ ด้วยความสงสารอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนเข่าอ่อน
เมิ่งชื่อหัวเราะพลางตำหนิเมิ่งฉี “ดูซิว่าเจ้าพูดอะไรออกไป อี้เซวียนเป็นพี่น้องเจ้า และยังเป็นน้องเขยเจ้าด้วย ใครเขาขู่เล่นกันแบบนี้ อย่างแย่ที่สุดก็แค่เมื่อลูกคลอดออกมาแล้ว ตำแหน่งของเขาก็แค่อยู่ลำดับที่สี่เอง”
เมื่อนางพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เกือบจะพ่นข้าวต้มที่อยู่ในปากออกมา
ซุนเชี่ยนและหวังเยียนหัวเราะพรวด
เมิ่งฉีเหลือบมองเขาอย่างเวทนาอีกครั้ง ส่ายหัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วถอยออกไป
ซุนเหลียงไฉเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตบไหล่หวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ “สหายเอ๋ย ตั้งแต่ที่มีเจ้าฮุ่ยจื่อในบ้านข้าก็ตกกระป๋องไปเลย ข้าคิดว่าข้าแย่ที่สุดแล้ว ไม่คิดว่าเจ้าจะแย่กว่าข้าอีกนะ อย่างน้อยข้าแค่ที่สาม แต่เจ้ากลับตกไปที่สี่เลย” พูดจบ ก็ตบบ่าเขาอย่างหนักแน่น “เห็นแก่ความทุกข์ยากของเจ้า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดเราจบกันแค่นี้นะ จากนี้ไป เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำหนักมือของเขาหนักเกินไป หรือเพราะหวงฝู่อี้เซวียนที่ตกใจ ถาดอาหารในมือเขาสั่นไหว กับข้าวสองจานที่อยู่บนถาดก็กระเด็นหกออกมาเล็กน้อย ซุนเชี่ยนเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ เดินขึ้นไปหยิกหูซุนเหลียงไฉ แล้วดึงไปด้านข้าง พูดว่า “เจ้าระวังหน่อยสิ นี่เป็นอาหารที่น้องเล็กชอบกินทั้งหมดเลยนะ ถ้าหกออกมาหมด ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
ซุนเหลียงไฉเจ็บจนร้องเสียงหลง “ขอรับ พี่ พี่ พี่เบาหน่อย ข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่นะ”
ทุกคนในห้องหัวเราะ
ซุนเชี่ยนก็หัวเราะ นางปล่อยมือออก หัวเราะแล้วด่าว่า “อายุขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้จักโตอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาพลางยิ้ม มือวางลงบนท้อง หัวใจพลันถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น
บ้านตระกูลเมิ่งเดินทางมาตำหนักอ๋องกันหมด อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ทราบข่าวนี้ทันที อ๋องฉีที่กำลังสนทนากับฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ที่เดิม พระชายาฉีกลับลุกขึ้น คารวะฮ่องเต้และฮองเฮา กล่าวขอประทานโทษว่า “ญาติหม่อมฉันมาเพคะ หม่อมฉันต้องไปต้อนรับ ฝ่าบาทและฮองเฮาได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
กล้าดีอย่างไรเห็นครอบครัวบ้านนอกสำคัญกว่าตน ฮ่องเต้และฮองเฮาแสดงความไม่พอใจอยู่แวบหนึ่ง แล้วฮองเฮาจึงรีบโบกมือยิ้มพูดว่า “รีบไปเถอะ เรากับฮ่องเต้ไม่ใช่คนนอก องค์หญิงชิงเหอมีครรภ์ แม้ครอบครัวนางจะมาในวันที่ไม่ควรมา เจ้าก็อย่าคิดมากไปล่ะ”
คำพูดหนึ่งตีความได้สองความหมาย ความหมายหนึ่งคือเจ้าไม่รู้จักมารยาท ทิ้งฮ่องเต้และฮองเฮาผู้สูงส่งไปอยู่กับบ้านตระกูลเมิ่ง อีกความหมายหนึ่งคือบ้านตระกูลเมิ่งไม่รู้จักมารยาท มาหาลูกสาวตนในวันที่ลูกสาวแต่งออกเรือนไป แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะมีครรภ์ ก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี
พระชายาฉีเข้าใจความหมายของฮองเฮาทันที แต่จะใหญ่หรือสูงส่งเพียงไหน ก็สู้ลูกที่อยู่ในท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ ตอนนี้นางเป็นบุคคลสำคัญที่ทั้งบ้านต้องปกป้องและดูแล สถานะของครอบครัวนางย่อมเป็นดั่งน้ำขึ้นเรือย่อมสูง อีกอย่าง อยู่กับครอบครัวเมิ่งแล้วสบายใจกว่าอยู่กับพวกเขาสองคนมาก พระชายาฉีจึงทำทีไม่เข้าใจความหมายของนาง กล่าวขอบคุณอย่างดีอกดีใจ แล้วเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
แม้จะเป็นเพียงแวบหนึ่ง แต่อ๋องฉีก็สังเกตเห็นแววตาบนใบหน้าของพวกเขา แม้ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้า แต่ก็รู้ว่าไม่ได้พอใจนัก เขาคารวะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปะปนด้วยความเย็นชาว่า “เสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้ น้องสมควรให้พวกท่านเสวยพระกระยาหารที่นี่ แต่วันนี้คนเยอะ เกรงว่าจะมีอันตราย ท่านทั้งสองโปรดกลับไปเสวยพระกระยาหารในวังเถิดพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้จะไม่รู้ความหมายของเขาได้อย่างไร นี่คือการไล่ตนและฮองเฮากลับไป หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว แต่จุดประสงค์ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อขอคืนดี และโน้มน้าวให้อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเป็นมือซ้ายและมือขวาของเขา แล้วจะให้ยอมจากไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ฮ่องเต้หัวเราะแล้วพูดว่า “พระอนุชาพูดเป็นเล่นไป มีเจ้าอยู่ในตำหนัก เราวางใจจะตายไป”
อ๋องฉีไม่คิดว่าเขาจะไม่ยอมไป เกิดอิจฉาพระชายาฉีขึ้นมาทันที นางหาข้ออ้างออกจากที่นี่ไปได้ ทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่คนเดียว เขาไม่มีความรู้สึกอยากอาหารแต่อย่างใด แต่ก็ยิ้มตอบตกลง สั่งเสียงทุ้มต่ำว่า “ยกอาหารมา”
คนใช้ขานรับ อาหารรสเลิศหลากหลายจานถูกยกเข้าไปในห้อง
อ๋องฉีใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารอย่างละหนึ่งคีบจากทุกจานแล้วทานลงไปด้วยตนเอง เพื่อชิมและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มียาพิษ ถึงแม้เป็นเช่นนั้น ก็ยังมีขันทีลองชิมอาหารทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มียาพิษจริงๆ แล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเสวยอย่างสง่างาม
ฮ่องเต้เสวยไปไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ พูดอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ครอบครัวขององค์หญิงชิงเหอมาแล้ว เซวียนเอ๋อร์ไม่น่ามีธุระอะไรแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเรียกเขามาทานอาหารกับเราเถอะ เขาไม่ได้ทานอาหารกับเรามาจวนจะปีหนึ่งแล้ว”
อ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย สั่งคนใช้ว่า “ไปดูว่าซื่อจื่อว่างไหม บอกว่าฝ่าบาทเรียกมาเข้าเฝ้า”
อ๋องฉีฉลาดพูดนัก ที่เรียกให้เจ้ามาเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่ใช่คำสั่งของพ่อ หากเจ้าโมโห ก็ให้ไปลงที่พวกเขา
บัดนี้หวงฟู่อี้เซวียนไม่มีความโกรธอันใด แต่กลับรู้สึกอยากตายแทน เพราะว่าหลังจากที่ท่านแม่ผู้ประเสริฐของเมิ่งเชี่ยนโยวมา ก็เข้าขากับแม่ของเขาได้เป็นอย่างดีหลังคุยกันได้เพียงไม่กี่คำทันที นางจัดแจงเรือนที่อยู่ห่างจากเรือนหอของเขาไปสามระเบียงบ้าน และให้เขาย้ายไปตั้งแต่คืนนี้ และยังทำเป็นพูดดีว่า “ที่เราทำไปก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น หากอยู่ใกล้ไป เจ้าจะมัวแต่มาหาโยวเอ๋อร์ ทำให้นางไม่ได้พักผ่อนดูแลครรภ์ดีๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะร้องโวยวายเหลือเกิน คนที่นอนอยู่บนเตียงคือภรรยาข้า ครรภ์ที่อยู่ในท้องนางคือลูกข้า เราทั้งครอบครัวควรอยู่ด้วยกันทุกที่ทุกเวลาสิ และยังผุดความคิดว่า โยวเอ๋อร์มีครรภ์ยากไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รอสักสามปีห้าปี ไม่สิ สักสิบปี แปดปี ไม่ๆ สักสามสิบปีแล้วค่อยมีครรภ์ล่ะ จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งภรรยาตนเองไป
ที่น่าเศร้าคือ เขาไม่กล้าพูดมันออกมา ที่สำคัญคือ ความคิดของเขาก็เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ เขารีบสลัดความคิดนี้ไปจากหัว หากพระชายาฉีรู้เข้าว่าเขามีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าพระชายาฉีผู้สง่ามีสกุลและอ่อนโยนคงถือมีดไล่ฆ่าเขาอย่างไม่สนใจภาพพจน์เป็นแน่
เมื่อคนใช้มารายงาน ความโมโหของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไปลงที่คนใช้จนหมด “เจ้าไปบอกฝ่าบาทว่า ภรรยาข้ามีครรภ์ ข้าต้องคอยรับใช้นางทุกเมื่อ ไม่มีเวลาว่างไปอยู่กับคนที่ไม่ข้องเกี่ยว”
ความลำบากมาตกอยู่ที่คนใช้ทันที นั่นคือฮ่องเต้เบื้องสูงสุดเชียวนะ คำพูดเช่นนี้ห้ามทูลบอกเด็ดขาด แต่ถ้าไม่พูด กลับไปจะกราบทูลฮ่องเต้อย่างไรล่ะ เขาจนปัญญา คิดแล้วคิดอีก จึงไปหาผู้ดูแลบ้าน เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
ผู้ดูแลบ้านได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปนานจึงสั่งเขาว่า “เจ้าบอกไปว่าพระชายาซื่อจื่อไม่สบาย ซื่อจื่อไม่วางใจ ออกมาไม่ได้”
คนใช้พยักหน้า กลับไปรายงาน
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทรงกริ้วในใจ พยายามอดกลั้นไว้ เสวยอาหารไปครู่หนึ่ง สีหน้าจึงค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม
อ๋องฉีแกล้งทำเป็นไม่เห็น กลับทานอาหารบนโต๊ะอย่างรื่นเริงใจประหนึ่งไม่เคยทานมาก่อน
ฮ่องเต้ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีหักห้ามใจตนเองไม่เขวี้ยงจานที่อยู่ข้างๆ ตนไปทางเขา
หลังจากได้ระบายลงคนใช้ไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนค่อยรู้สึกสบายใจ ค่อยๆ เดินเข้าใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นมือไปหวังจะจับมือนาง แต่กลับถูกสายตาแหลมคมของพระชายาฉีเห็น นางร้องเสียงแหลมว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าอีกนิดเดียวก็จะสัมผัสโดนมือของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เขารีบชักมือกลับมา ยิ้มเลิกลั่กพูดว่า “เสด็จแม่ ข้าแค่อยากถามโยวเอ๋อร์ว่ามีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่าขอรับ”