ตอนที่ 1092 - ปะทะกระบ

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูรู้สึกถึงสิ่งที่ขวางทางกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า
  เพียงพลิกฝ่ามือกระบี่สีเงินก็ทำลายพื้นที่ลับตรงหน้า เผยให้เห็นห้องลับที่ซ่อนอยู่
  ในห้องลับนั้นมีสมบัติอันยอดเยี่ยมอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด
  ซือหยูพุ่งเข้าไปในห้องเจิ่งเฉิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตามไป
  “ว้าวน่าตกใจที่รองจ้าวดินแดนสามมีสมบัติมากมายขนาดนี้อยู่ที่นี่!”
  ซือหยูทึ่งเมื่อได้เห็นเขาตกตะลึงกับทุกสิ่งที่แดนมณีไม่มี
  ซือหยูที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเดินเข้าไปในห้องและพบวัตถุดิบวิญญาณบางอย่างวัตถุดิบเหล่านั้นหายากมากและใช้งานได้ไม่กี่แบบ มีน้อยคนนักที่จะรู้วิธีใช้มัน และก็น่าแปลกที่มีวัตถุดิบเหล่านั้นอยู่มากมาย!
  นอกจากเผ่าภูติผีก็ยากที่จะคิดได้ว่าคนจิวโจวต้องการวัตถุดิบวิญญาณมากมายเช่นนี้
  เจิ่งเฉิงสีหน้าหม่นหมองเขาเดินเข้ามาและปฏิเสธ
  “ท่านพ่อสะสมสมบัติมาหลายปีไม่น่าแปลกที่จะมีวัตถุดิบของพวกเผ่าภูติผีอยู่บ้าง”
  “ถ้าอย่างนั้นแล้วโอสถที่เผ่าผีใช้อยู่ที่ไหนกันนะ?”
  ซือหยูเดินต่อไปและดึงเอากล่องใบใหญ่ที่มีสมุนไพรปรุงโอสถออกมา
  เจิ่งเฉิงอารมณ์หมองหม่นยิ่งกว่าเดิมเขากำหมัดแน่นข่มความโกรธ
  “นั่นไม่ใช่หลักฐาน!”
  ซือหยูเพียงแค่โยนกล่องทิ้งไปเขามองรอบ ๆ และพูดเบา ๆ
  “ใช่มีแค่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่มีน้ำหนัก”   ซือหยูมองหาหลักฐานไม่เจอเมื่อมองรอบห้องลับ
  เขาจ้องไปยังอีกทิศทางเขาฟาดกระบี่ตัดความว่างเปล่าอีกครั้ง
  เขาได้ยินเสียงกล่องที่ทำจากเหล็กอสูรผลึกเวทตกลงมา!
  “มีมิติเล็กซ่อนอยู่อีกข้าเกือบจะถูกหลอกแน่ะ”
  ซือหยูยิ้มและหยิบกล่องขึ้นมากล่องนี้ถูกปิดผนึกไว้แต่ก็ถูกกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ผ่าออกอย่างง่ายดาย
  กล่องเปิดออกแต่ซือหยูดูผิดหวัง มันไม่ใช่หลักฐานที่เขาต้องการ แต่เป็นม้วนคัมภีร์
  สิ่งนี้ล้ำค่าจนต้องซ่อนในที่ลับอีกแห่งด้วยเหล็กอสูรผลึกเวทด้วยหรือ?
  ซือหยูหยิบคัมภีร์ขึ้นมาดู
  “นี่มันอะไร?”
  เจิ่งเฉิงส่ายหน้าทันที  “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าท่านพ่อมีภาพใบนี้ด้วย”
  ซือหยูเปิดมัน
  ทันทีที่เจิ่งเฉิงเห็นเขาก็ตัวแข็งทื่อ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาทันที เขากระซิบ
  “สวยมาก!”
  ฉิวเอ๋อผู้เป็นเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังมองดูและอ้าปากค้าง
  “มีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ?”
  นางรู้สึกต่ำต้อยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบตัวเองกับสตรีในภาพเขียน
  ซือหยูนิ่งเงียบเขาพูดเบา ๆ กับตัวเอง
  “เซี่ยจิงหยู?”
  ภาพเขียนสตรีผู้นี้ค่อนข้างสงบนิ่งนางราวกับเทพีที่มีความงามชั่วนิรันดร์ที่ห่างไกลเกินกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
  เพียงเหลือบมองครั้งแรกก็เหมือนได้เห็นแสงยามเช้าเสียงของป่าบนภูเขาอันสดใส และเหมือนกับการได้มองนางไม้ มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่าทุกสิ่งบนโลก ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าจะมีสิ่งที่งดงามได้มากกว่าดวงตาของนางอีกแล้ว
  ถ้าหากนี่ไม่ใช่เซี่ยจิงหยูแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า?
  ดูจากร่องรอยของภาพวาดภาพนี้เก่าแก่มากกว่าหลายพันปีอย่างแน่นอน มีอายุหลายหมื่นปีหรืออาจมากกว่านั้น เซี่ยจิงหยูเพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบปี เซี่ยจิงหยูในภาพเขียนนี้ดูเติบโตกว่า งดงามยิ่งกว่า
  พร้อมกันนั้นมันยังมีความยิ่งใหญ่ที่มิอาจปฏิเสธได้ในภาพเขียน เป็นสิ่งที่เซี่ยจิงหยูที่เขารู้จักไม่มี
  “คนละคนกันรึ?”
  ซือหยูทึ่งที่มีคนคล้ายกันได้ขนาดนี้
  เขามองภาพนี้ต่อไปแต่ตอนนั้นเอง เสียงต่ำแต่แข็งแกร่งได้ดังขึ้น  “เจ้าเจอภาพเขียนผู้หญิงนั่นสินะ!ข้าตกใจจริง ๆ!”
  ซือหยูไม่เงยหน้ามองเขารู้ว่าใครกำลังมา
  “เจ้าหามันเจอจากที่ไหน?”
  “แดนตะวันตกเขตหวงห้ามของจิวโจว”
  แดนตะวันตกรึ?ซือหยูรู้ว่านั่นเป็นที่แห่งเดียวในแผ่นดินใหญ่ที่มิอาจเข้าไปได้ มันถูกกำจัดบริเวณไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม วิญญาณมิอาจเข้าไป
  แล้วเหตุใดภาพเขียนของเซี่ยจิงหยูถึงอยู่ที่นี่เล่า?ที่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังผ่านเวลามาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี! เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
  “ถ้าเจ้าชอบก็เอาไปเถอะถึงข้าจะไม่ชอบใจนัก ข้าก็มองภาพใบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่ข้ามอง ข้าจะเสียดวงวิญญาณไปทันที ระยะเวลายิ่งนานขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งแรกสามวัน ครั้งสุดท้าย ข้าเสียดวงวิญญาณไปหนึ่งเดือนเต็ม! ภาพนี่มันมีพิษ! สิ่งที่งดงามที่สุดนั่นไม่ใช่มนุษย์ มันคือพิษ!”   เสียดวงวิญญาณไปทั้งเดือน!ไม่มีเหตุผลเลยที่คนที่แข็งแกร่งจะได้รับผลกระทบเช่นนั้น แต่ซือหยูก็เชื่อว่าภาพเขียนนี้มีภัยจริง มันอาจมีพลังลึกลับที่เข้าสู่ผู้คนที่มอง ไม่แปลกใจที่เขาอยากจะผนึกภาพเขียนนี้เอาไว้ เขากลัวว่าตัวเองจะเสียดวงวิญญาณนานกว่าเดิมหากมองมันอีกครั้ง!
  “ขอบคุณ..”
  ซือหยูม้วนภาพเก็บอย่างระมัดระวัง
  “เจ้าเอาภาพเขียนไปแล้วแล้วเจ้าจะปล่อยลูกข้าหรือยัง?”
  รองจ้าวดินแดนที่สามยืนที่ทางเข้าเขาเป็นห่วงลูกสะใภ้และลูกชายของตน
  ซือหยูไม่ตอบสนองอะไร
  “เขาไม่ได้ทำร้ายพวกเรา”
  เจิ่งเฉิงก้มหน้าเดินไปหารองจ้าวดินแดนที่สามซือหยูไม่คิดจะหยุดเขา
  รองจ้าวดินแดนที่สามจ้องซือหยูตาเขม็ง
  “เจ้าเจอหลักฐานไหมล่ะ?”   ซือหยูส่ายหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้ม
  “ไม่เจอและข้ากำลังจะไปพบเจ้า เจ้ามาก็ดีแล้ว”
  “เจ้าจะต้องเป็นบุรุษวิถีอสูรตำนานยุคใหม่นามซือหยู ใช่หรือไม่?”
  รองจ้าวดินแดนที่สามถามอย่างจริงจัง
  ซือหยูพยักหน้า
  “ถูกแล้วข้าเอง”
  “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่ศัตรูของข้าเพราะจักรพรรดิโลหิตก็ไม่ได้แกร่งเท่าข้า”
  รองจ้าวดินแดนที่สามมองตรงมายังซือหยูโดยไม่สนใจเจิ่งเฉิง
  ซือหยูยิ้ม
  “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้าก็กำลังจะสู้กันสินะ?”
  “ในดินแดนแห่งข้าถ้าเจ้ากล้าเข้ามา เจ้าก็เป็นศัตรูของราชาข้า”
  รองจ้าวดินแดนที่สามกล่าวกระบี่ลอยขึ้นมาสู่ฝ่ามือ ใครจะไปรู้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดที่รับมือกับกระบี่เขาได้?
  แต่ถ้าเขายืนยันที่จะเผชิญหน้าซือหยูก็จะไม่ปรานี
  กระบี่สีเงินปรากฏในมือซือหยู
  มันส่งเสียงแหลมน่ากลัวรองจ้าวดินแดนส่ายหน้าเล็กน้อย
  “หวังพึ่งเพียงวัตถุดิบกระบี่จะนำเจ้าไปสู่จุดจบกลืนน้ำลายตัวเองไปซะ!”
  รองจ้าวดินแดนถือกระบี่ราวกับขนนกการเคลื่อนไหวของเขาดุดัน กระบวนท่าของเขาเหมือนกับมังกรร่ายรำไปหาซือหยู
  มังกรหมุนวนเหมือนวายุโหมกระหน่ำมันมิได้พุ่งเข้าใส่กระบี่ของซือหยูแต่สร้างวายุกระบี่ที่รุนแรง การเคลื่อนไหวที่ดูไร้พิษภัยจากกระบี่นั้นแท้จริงคือวายุที่ถาโถมใส่ซือหยูโดยไม่อ่อนกำลังลง
  “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าพึ่งพาเพียงแค่กระบี่?”   ซือหยูพูดเบาๆ
  “พันลี้!”
  ซือหยูซัดกระบี่ออกไปรอยฟันบางเท่าเส้นผมสีเงินแล่นไปด้านหน้า
  “ไม่ได้ผลหรอก…”
  รองจต้าวดินแดนส่ายหน้าพลังทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง
  มันเป็นภาพที่น่าขนลุกแสงกระบี่สีเงินเข้ามาด้วยพลังอันยอดเยี่ยม ในการบ่มเพาะหกเดือน เขาสามารถใช้วิชากระบี่ไผ่สวรรค์ได้แล้ว
  วิชากระบี่ไผ่สวรรค์นั้นมีจุดแข็งสองประการนั่นคือมิอาจถูกทำลาย และสามารถผ่านได้ทุกมิติ
  โลหิตสีแสงฉานไหลออกมาจากมุมปากรองจ้าวดินแดนต่อให้เขารู้ตัว มันก็สายไปแล้วหนึ่งก้าว
  “ดินแดนพรสวรรค์สร้างคนมีพรสวรรค์ข้าประเมินเจ้าต่ำไป”   รองจ้าวดินแดนที่สามพูดด้วยความหนักใจเขาทิ้งกระบี่ยอมแพ้
  ซือหยูเอาชนะรองจ้าวดินแดนในกระบี่เดียวรองจ้าวดินแดนนั้นมีวิชากระบี่ขั้นสูง ซือหยูไม่เชื่อว่าเขาจะเอาชนะได้ง่ายขนาดนี้
  ซือหยูถามเบาๆ ขณะที่ยังถือกระบี่
  “มีเหตุผลที่เจ้าอยากตายรึ?”
  รองจ้าวดินแดนผ่านการต่อสู้หลายพันครั้งเห็นความจริงในชีวิตมามากมาย ซือหยูสงสัย
  รองจ้าวดินแดนถามกลับด้วยความตกใจ
  “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากตาย?”
  เหตุที่ซือหยูเอาชนะเขาก็เพราะว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับการต่อสู้และเขาก็อยากตายด้วยมือซือหยูจริง ๆ
  “ก็เพราะ…”
  เมื่อรองจ้าวดินแดนเปิดปากพูดรอยแยกมิติก็เปิดออกมา  สัมผัสพลังรุนแรงแผ่ออกมาตามด้วยความเงียบกริบ
  ซือหยูดูตกใจพลังนี้เหนือยิ่งกว่ารองจ้าวดินแดนที่สาม!
  “สุดท้ายเจ้าก็มาเคราะห์ร้ายที่ข้าสายเกินไปก้าวเดียว”
  รองจ้าวดินแดนที่สามกล่าวด้วยความเสียใจเขาลุกขึ้นพูดโดยไม่หันหลังกลับ
  “เจ้าหนีไม่ได้เพราะเขาอยู่ที่นี่สินะ”
  เขา?ใครกัน?
  ซือหยูเดินออกไปด้วยความหนักใจและพบกับภาพประหลาด
  เจิ่งเฉิงกับฉิวเอ๋อถูกแช่แข็งราวกับติดอยู่ในพลังมิติ
  ยิ่งไปกว่านั้นรองจ้าวดินแดนที่สามที่เพิ่งจะก้าวออกไปข้างหน้าซือหยูยังกลับมาด้วยใบหน้าหลากอารมณ์ เขาอยู่หน้าชายวัยกลางคนในชุดแดง เหนือศีรษะเขามีมงกุฎสีม่วงทอง มีหยกประดับรอบเอว ใบหน้าขาวซีดจนน่ากลัว เขาดูยิ่งใหญ่ หากมองตรง ๆ อาจจะรู้สึกต่ำต้อยได้
  “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดและจะไม่ทำข้าอับอาย”
  ชายชุดแดงกล่าวรองจ้าวดินแดนที่สามถอนหายใจ
  “ถ้าเจ้ามาเร็วกว่านี้มันก็คงเป็นการตายที่ดีแล้ว”
  ชายชุดแดงมองซือหยูด้วยความขบขัน
  “ตายด้วยมือศัตรูต่างแดนเพราะเหมือนได้ตายในหน้าที่ ดินแดนจะใจดีกับลูกชายเจ้า ย่อมได้ ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
  เขาคือรองจ้าวดินแดนลำดับสอง!
  พวกเขาเพิ่งจะพูดคุยกันถึงวิธีที่รองจ้าวดินแดนสามจะตาย!
  รองจ้าวดินแดนสามกล่าว
  “ขอขอบคุณ”
  “รองจ้าวดินแดนที่สาม!”   ชายชุดแดงหยิบม้วนคัมภีร์สีทองที่มีฎีกาหลวงออกมา
  รองจ้าวดินแดนที่สามคุกเข่าหนึ่งข้างฟังอย่างขมขื่น
  “รองจ้าวดินแดนที่สามละทิ้งหน้าที่ทำให้ข้อมูลสำคัญหลุดไปถึงมือศัตรู อีกทั้งยังไม่รู้สำนึก คิดหลบหนี! มีความผิดฐานทรยศและบาปหนา! เจ้าภักดีกับดินแดนมีดสวรรค์มาหลายปี มีสิทธิพิเศษเหนือโลกนี้! จงยอมรับโทษซะ!”
  “อีกครั้งข้าขอขอบคุณ”
  รองจ้าวดินแดนที่สามรับฎีกาด้วยความหนักใจ