GGS:บทที่ 799 ชายที่เปรียบดั่งพระเจ้า

 

หลังจากที่เห็นคิมูระลอยละลิ่วใส่คนของเขาและกลิ้งตลบไปนอนแผ่กับพื้นเป็นหมาตายซากแน่นิ่งไปนั้น

เหล่าคนดูทั้งที่กำลังอยู่ข้างสนามและในสตรีมต่างเฮลั่นดังก้องไปทั่ว

ตลอดช่วงเวลาที่ทำการสตรีมนี้อย่าเรียกว่าเป็นการประลองยุทธ์เลย ควรจะเรียกว่าตบจนกลิ้งอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า

 

เอาจริงๆที่ซูจิ้งลงมือแบบจริงจังนี่มีเพียงกระบวนท่าสุดท้ายกระบวนเดียวเท่านั้น กระบวนท่านี้เปรียบได้ดั่งวัวคลั่งพุ่งเข้าไปขวิดคนจนทำให้คนที่มีน้ำหนักกว่า 150 ชั่ง บินไปไกลได้กว่า 3 – 4 เมตร ช่างเป็นกระบวนท่าที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ

“เพลงหมัดวัวคลั่งนี่ช่างทรงพลังจริงๆ”

“คาราเต้อ่อนด้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเพลงหมัดนี้”

“ศิลปะการต่อสู้ของพวกเรานี่ช่างเปิดกว้างและลึกล้ำยิ่งนัก”(ตีกับใครก็ได้ ชนะได้ดั่งพลิกฝ่ามือ)

“หลังจากเห็นแล้วฉันเองก็อยากเรียนมั่งซะแล้วสิ”

“นั่นสิ ไม่รู้ว่าจะยากหรือเปล่านะ”

หลังจากที่ซูจิ้งซัดคิมูระจนหมอบกระแตภายในไม่กี่กระบวนท่า ภาพจำนี้ได้ฝังรากไปในจิตใจของทุกคนที่ดูการประลองนี้เรียบร้อยแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่าเป็นการประลองที่ทั้งน่าตกตะลึงและชวนหวั่นไหวในหัวใจ

เอาจริงๆเขาเองก็อยากให้คิดว่าเป็นเขาเองที่เก่งไม่ใช่เพลงหมัดเหมือนกัน

แต่ทำอย่างนี้น่าจะส่งผลต่ออัตราการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนมากกว่า

 

โอฉิงซงและศิษย์สำนักคาราเต้คนอื่นเองทันทีที่ได้สติก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการของคิมูระทันที

พวกเขาพบว่าคิมูระหมดสติและมีกระดูกซี่โครงหักสองไม่ก็สามซี่ พวกเขาในตอนนี้โกรธจัดเหมือนกับคิมูระที่โกรธซูจิ้งก่อนหน้านี้เลยก็ว่าได้

“ซูจิ้ง แกมากไปแล้วนะ”

“มันก็แค่การประลอง ไม่เห็นต้องรุนแรงขนาดนี้เลย”

พวกเขาโกรธจัดจนบ้ากันไปหมดแล้ว

เหล่าลูกศิษย์ของสำนักคาราเต้จำนวนกว่า 30 – 40 คนล้อมรอบซูจิ้งไว้ด้วยท่าทีก้าวร้าวและแสดงท่าทางน่าสะพรึงกลัว

พวกเขาโกรธจัดมากเพราะไม่เพียงคิมูระจะเจ็บหนักมากแล้ว พวกเขายังสูญเสียชื่อเสียงอย่างน่าอนาถใจ เหตุการณ์จะทำให้สำนักคาราเต้จิงฮงแห่งนี้ไม่มีวันได้ผงาดอย่างที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้

 

“ห้ะ ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่เป็นกันหรอ เฮ้ออออ…. คนเริ่มก็พวกนาย พอแพ้กลับไม่ยอมรับ แถมยังอาศัยพวกมากเข้าข่มอีก”

ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆเริ่มยืนขึ้นมาและก้าวเข้ายืนอยู่เคียงข้างซูจิ้งในทันที

 

“ไม่ว่าแกจะโกงหรือไม่ แต่ยังวันนี้แกก็ไม่วันได้ออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยแน่นอน” หนึ่งในศิษย์สำนักจิงฮงได้สบถออกมา

“เข้ามาเลย คิดว่าพวกเรากลัวแกกันอย่างนั้นหรอ” ฮัวเฟยหยุนได้พูดออกมาพร้อมเข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมต่อสู้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ถึงแม้พวกเขาจะน้อยกว่าแต่นั่นก็ไม่ได้ส่งอะไรต่อความห้าวหาญของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

 

ตราบใดที่พวกเขามีซูจิ้งเป็นผู้นำ พวกเขาก็เหมือนตะเกียงที่ถูกเติมน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลา พร้อมลุกโชนไปพร้อมกับซูจิ้ง ตีโต้ได้ไม่หยุดหย่อน

“ใจเย็นๆก่อนน่า ฉันเป็นคนโดนท้าทายก็สมควรจัดการให้หมดจด พวกนายว่ามาจะเอายังไง” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มเยาะพร้อมทั้งยกมือปรามฮัวเฟยหยุนและคนอื่นๆไว้

 

พวกเขาเองก็ทำได้แต่ยื่นนิ่งอึ้งเท่านั้น อย่าบอกว่าซูจิ้งจะลุยเดี่ยวคนเดียวจริงๆ ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ ด้วยอีกฝ่ายมีคนเกือบสี่สิบคนไม่ว่าซูจิ้งจะแข็งแรงขนาดไหนก็ไม่มีอะไรรับประกันได้

พวกเขานั้นอยากจะเข้าใจผิดกันเองจริงๆ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรนั้น ซูจิ้งได้พุ่งเข้าหาคนทั้งเกือบสี่สิบคนพร้อมพูดออกมาว่า “ฉันก็ไม่ได้รังเกียจที่จะแก้ปัญหาด้วยกำปั้นหรอกนะ ก็ดี ทุกคนจะได้เห็นเพลงหมัดนี้เพิ่มเติมอีกซักหน่อย เอาล่ะเรามาเริ่มการประลองจนสาบสูญกันไปข้างหนึ่งดีกว่า”

 

เหล่าคนดูในตอนนี้ได้แต่ตะลึงงัน

 

ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆ นั้นความจริงจะพุ่งตามซูจิ้งไป แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นภาพตรงหน้าได้แต่หยุดกึกบางคนเองแทบจะสะดุดล้ม เพราะพวกเขาได้เห็นภาพอันสุดแสนจะน่าตกตะลึง

มันเป็นภาพของซูจิ้งที่พุ่งตรงเข้าไปยังฝูงชนประหนึ่งดั่งวัวคลั่งพุ่งเข้าใส่ฝูงชนก็ไม่ปาน

 

โจมตีหนึ่งครั้งลูกศิษย์สำนักคาราเต้ลอยเป็นกระสอบทรายปลิวไปหนึ่งคน

ความจริงพวกเขานั้นก็ไม่ใช่คนโง่ที่เพียงแค่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วพุ่งไปให้คนอื่นอัดเล่นๆ

ในใจของพวกเขาในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธและอาศัยกฎธรรมชาติที่เรียกว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเป็นเชื้อไฟให้กับจิตใจอันบ้างคลั่งของพวกเขาพุ่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง

 

อย่างไรก็ตามซูจิ้งในตอนนี้เองก็ทำเหมือนคนกำลังว่ายน้ำ เหวี่ยงแขนขาไปทั่วอย่างมีรูปแบบ เป็นดั่งที่เขาเคยอธิบายเอาไว้ในตอนแรกๆที่ว่าเพลงหมัดนี้ฝึกฝนแล้วร่างกายจะแข็งแรง ป้องกันได้เหนียวแน่น และทุกส่วนของร่างกายเปรียบได้ดั่งอาวุธ

 

ในตอนนี้ทุกๆครั้งที่มีเสียงดังปั๊กก็จะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นั่นคือเสียงของลูกศิษย์สำนักคาราเต้ที่เกิดขึ้นหลังจากโดนซูจิ้งอัดไปเพียงคนละหนึ่งทีจนปลิวว่อนลงไปกองเรื่อยลาดอยู่กับพื้นไปทั่วแค่นั้นเอง

พวกเขาเจ็บชนิดที่ว่าหนักจนลุกไปไหนไม่รอด

 

เพียงพริบตาเดียว สามนาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก

ตอนนี้เหลือเพียงซูจิ้งคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเสียงครางระงมไปด้วยความเจ็บปวดของลูกศิษย์สำนักคาราเต้ของคิมูระ

 

พวกเขาในตอนนี้แทบจะไม่เหลือความกล้าที่จะพยุงตัวทำได้เพียงจ้องมองซูจิ้งอยู่นิ่งๆแทบจะไม่กล้าไหวติง

ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองซูจิ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สายตาของพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวอีกต่อไป

กลับกลายเป็นว่าทันที่สบตามองกับซูจิ้งที่กำลังกวาดตามองไปทั่วพวกเขาต่างก็สะดุ้งเฮือกทันทีที่อยู่ในระยะสายตาของซูจิ้ง แม้แต่โอฉิงซง และคิมูระที่เริ่มได้สติขึ้นมาในตอนนี้ในแววตาก็แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว ใบหน้าที่ซีดเผือดและความรู้สึกเสียวสันหลังเย็นยะเยียบเมื่อโดนมอง พวกเขาได้ฝังภาพจะไว้ในเซลล์สมองเรียบร้อยแล้วว่าชายตรงหน้าพวกเขาคือปีศาจอย่างแท้จริง

 

ฉือชิง ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆ แม้แต่หวังหยานและมู่ติงที่อยู่ในรถออดี้หน้าหอประลองแห่งนี้ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนนิ่งอึ้งกันหมด

รวมไปถึงเหล่าผู้ชมทั้งข้างสนามและในสตรีมก็มีท่าทีไม่ต่างกัน บรรยากาศในสนามในตอนนี้แทบจะเงียบอย่างกับป่าช้าก็ไม่ปาน

หลังจากผ่านไปซักสามวินาทีได้ ก็ได้มีเสียงอะไรซักอย่างดังขึ้นมา หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

“เทพเซียนสวรรค์โปรด ฉันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย”

“นักคาราเต้กว่าสี่สิบคนลอยกระจายไปทั่วเลย”

“ดูที่ซูจิ้งสิ อย่าว่าแต่จะบาดเจ็บเลย เหนื่อยรึเปล่าก็ไม่รู้”

“ฉันว่าเขาต้องเป็นเทพเซียนแน่ๆเลย”

“ช่างน่าสะพรึงไร้เทียมทานเกินไปแล้ว”

“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งให้ได้”

“ฉันก็เหมือนกัน มันคงน่าเสียดายไม่น้อย นี่พี่ซูยอมแสดงให้ดูขนาดนี้แล้วจะไม่สนใจเลยก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ”

 

การที่ซูจิ้งโจมตีเพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าก็ทำให้คิมูระลอยไปกองกับพื้นเป็นหมาตายซากได้ก่อนหน้านี่ก็ว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว

 

แต่การที่ซูจิ้งลุยเดี่ยวอัดนักคาราเต้เกือบสี่สิบคนให้ลอยกระเด็นไปทั่วนี่สิน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

ในขณะเดียวกัน ข่าว วิดีโอ และสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นช่างทางไหนก็ตามได้เผยแพร่ข่าวนี้ไปทั่ว บางสื่อเองก็ฉายภาพวีดิโอนี้วนซ้ำๆ และทุกๆครั้งคนที่เห็นก็ยังตกตะลึงได้เกือบทุกๆครั้งจนซูจิ้งถูกบูชาในฐานะที่เป็นชายที่แข็งแกร่งเปรียบได้ดั่งพระเจ้าเลยทีเดียว

 

“ท่านอาจารย์ การประลองนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วครับ” ฮัวฮงหยางที่กำลังฝึกลูกศิษย์ของเขาอยู่ตอนนี้ได้ยินเสียงลูกศิษย์ของเขาที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิตพร้อมท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้า

 

“อาจิ้งชนะรึเปล่า” ฮัวฮงหยางเองก็ได้ถามกลับด้วยท่าทีสุขุม แต่ความจริงแล้วเขาเองกังวลอยู่เล็กน้อย กลัวว่าซูจิ้งจะแพ้อยู่เหมือนกัน

“ไม่ใช่แค่ชนะหรอกครับ ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ท่านอาจารย์ดูเองดีกว่า” ลูกศิษย์ของเขาส่งมือถือที่กำลังแสดงการสตรีมของซูจิ้งอยู่ในตอนนี้ ฮัวฮงหยางเองก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะรับโทรศัพท์มาดู ทันทีที่เขาเห็นก็ตกตะลึงไม่น้อยเลย

 

“ผลการต่อสู้ของซูจิ้งกับคิมูระน่าจะออกมาแล้วนะ”

ที่สำนักเทควันโดแห่งหนึ่ง จินชิสูและลูกศิษย์คนอื่นเพิ่งจะฝึกฝนเสร็จ

พวกเขาเองแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วที่จะได้เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูผลการประลองระหว่างซูจิ้งกับคิมูระ

เขาเองตอนนี้ยังรับไม่ได้เลยที่ซูจิ้งชนะเขาในตอนนั้น

แม้จะกลับมาดูวีดิโอซ้ำก็ยังไม่เข้าใจว่าซูจิ้งแข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไงเขาเองก็ยังคิดว่าจะใช้วิดีโอเหล่านี้ศึกษาซูจิ้งเพื่อท้าประลองกับเขาใหม่ในอนาคต

ตอนนี้เขาเองก็ฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บมากซะจนบอกได้ว่าดีกว่าตอนประลองกับซูจิ้งซะอีก

 

ความจริงเขาเองก็เตรียมที่จะท้าประลองกับซูจิ้งอีกครั้งแล้วแต่ดันโดนตัดหน้าไปก่อน

ยังไงแล้วสำหรับเขาก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่บ้างที่จะได้เห็นว่าฝีมือศิลปะป้องกันตัวของซูจิ้งพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรียกได้ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งก็ว่าได้

“พี่สู ตอนนั้นที่พี่แพ้ซูจิ้งต้องเป็นเพราะสภาพร่างกายแน่ๆ

วันนั้นพี่เองก็ได้ประลองกับเหล่ายอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้คนอื่นตั้งหลายคน

 

เป็นธรรมดาที่ต้องหมดแรงกันได้ พี่นี่สิไร้เทียมทานของจริง

ถ้าไม่เพราะเหตุนั้นล่ะก็หมอนั่นไม่ใช่คู่มือของพี่หรอก ผมหวังเพียงว่าเขาจะไม่แพ้ใครไปซะก่อนไม่อย่างนั้นในอนาคตเมื่อพี่ชนะซูจิ้งได้จะไม่เหมือนการชนะอย่างสมบูรณ์กันพอดี”

เหล่าสมาชิกสำนักยูโดต่างอวยจินชิสูกันอย่างออกหน้าออกตา แม้แต่จัวเสียนก็ยังเอากับเขาด้วย

จัวเสียนนั้นได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อศิลปะการต่อสู้จีนไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นทำให้เขามีความเชื่อมั่นในศิลปะการต่อสู้จีนมากขึ้น

 

ตามคำพูดที่ว่าศิลปะการต่อสู้จีนนั้นกว้างขวางและล้ำลึก

เพียงแต่เขาไม่กล้าแสดงออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นในสำนักแค่นั้นเอง

“ฮ่าฮ่า” จินชิสูหัวเราะเล็กน้อย เขาไม่ได้ว่าอะไรออกมาทำเพียงแค่เปิดคอมพิวเตอร์แล้วเปิดดูข่าวเท่านั้นเอง แต่เพราะว่าข่าวของซูจิ้งในถูกพาดหัวที่น่าเว็บเลยทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาค้นหามากมายอะไร

จินชิสูเปิดวิดีโอขึ้นมาดู ทันทีที่เห็นภาพคิมูระโดนต่อยเป็นกระสอบทราย หน้าตาของเขาเหยเกในทันที

และยิ่งเห็นภาพที่ซูจิ้งซัดคนกว่าสี่สิบคนลอยละลิ่วในอัตราส่วนหนึ่งคนต่อหนึ่งหมัด ทุกคนโดยรอบนั้นหน้าถอดสีในทันที จะว่าไม่มีเลือดขึ้นไปเลี้ยงเลยก็ว่าได้

 

“สู พี่สู พี่อยากจะท้าประลองกัยซูจิ้งจริงๆอ่ะ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งแสดงท่าทีกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เขากลัวขึ้นมาในทันทีเลยว่าหากจินชิสูท้าประลองกับซูจิ้งจริงๆ อย่าว่าจะเจ็บหนักเลย น่าจะต้องถอนตัวออกจากวงการแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

“ประลองสิฟะ” จินชิสูหันไปตบหนุ่มน้อยคนนั้น ทุกครั้งที่เขาพูดใส่หนุ่มน้อยคนนั้นเขาจะตบหน้าไปหนึ่งที เขาตบจนหนุ่มน้อยคนนั้นมองด้วยท่าทางโง่งม งี่เง่า พร้อมคำพูดที่ว่าแกยังจะถามอีกรึเปล่า

ทุกคนที่อยู่รอบในตอนนี้ต่างรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา บางคนถึงกับที่ว่าโชคดีจริงๆที่มีคนตัดหน้าท้าประลองซูจิ้งไปก่อน

ไม่อย่างนั้นสภาพที่คิมูระและลูกศิษย์ของเขาในวันนี้ คงถูกแทนที่ด้วยพวกเขาไปแล้ว