เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้แสดงออกบนใบหน้าของเขา แต่ร่างกายของเขาปล่อยกลิ่นอายที่เย็นจัดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจมากในขณะนี้หรือสามารถพูดได้ว่าเขาไม่พอใจกับหัวข้อนี้มากกว่า!

       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้ใส่ใจกับความโกรธของเสี่ยวเทียนเหยา เธอเพียงถามขึ้นเบา ๆ “ เช่นนั้น เปิ่นหวางท่านห่วงใยข้าใช่หรือไม่” แต่น่าเสียดายที่ความห่วงใยนี้ตื้นเกินไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงรู้สึกไม่มั่นคง

“ อืมมม” หูของเสี่ยวเทียนเหยานั้นแดง ในขณะที่เขาตอบขึ้นอย่างเย็นชา เขากลัวว่า หลิน ชูจิ่ว จะเกิดความภูมิใจเกินไป ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพิ่มเติมขึ้น“ แม้ว่าเปิ่นหวางจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ควรภูมิใจมากจนเกินไป เจ้าต้องแสดงว่าเจ้าสมควรที่จะอยู่ภายใต้ปีกของเปิ่นหวาง”

“ ผู้หญิงของเปิ่นหวาง ต้องไม่เป็นผู้หญิงที่ซ่อนอยู่แต่ข้างหลังและต้องการได้รับการปกป้องจากผู้ชาย แม้ว่าเปิ่นหวาง จะมีความสามารถในการปกป้องเจ้า แต่ในโลกนี้เปิ่นหวาง มีศัตรูอยู่เป็นจำนวนมากที่รักที่จะก่อให้เกิดปัญหา มันจะมีเวลาที่เปิ่นหวาง จะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เสมอ ”

“ ดังนั้นหากเจ้ามีความสามารถในการมีชีวิตอยู่ เจ้าถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เปิ่นหวางสามารถช่วยเจ้าได้ แต่จะไม่ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างให้เจ้า คนที่ไร้ความสามารถนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงข้างเปิ่นหวาง”

       เสี่ยวเทียนเหยาพูดทีเดียวจบ ทุกประโยคฟังดูเย็นชาและโหดเหี้ยม ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่สามีและภรรยา แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย

       หลิน ชูจิ่ว ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรในใจของเธอ เธอได้รับคำตอบที่เธอต้องการแล้ว เธอมั่นใจว่าเสี่ยวเทียนเหยาเป็นห่วงเธอและชอบเธอ แต่ความต้องการของเสี่ยวเทียนเหยานั้นมากเกินไป……เธอไม่ต้องการแบกอะไรมากมายไว้บนไหล่ของเธอ

       ทำไมเสี่ยวเทียนเหยา ถึงคิดว่าเธอจะพยายามเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับเขา?

       ความรักที่เธอมีต่อเสี่ยวเทียนเหยายังไม่ถึงจุดที่เธอจะทำทุกอย่างเพื่อเขาได้

       หลังจากถอนหายใจออกมา หลิน ชูจิ่วก็พยักหน้า“ หวางเย่ ข้าเข้าใจแล้ว”

“ เทียนเหยา เป็นชื่อของเปิ่นหวาง เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกเปิ่นหวางว่าหวางเย่อีกต่อไปในอนาคต” เสี่ยวเทียนเหยาไม่พอใจอย่างมากกับสิ่งที่หลิน ชูจิ่วเรียกเขา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดออกมาดัง ๆ

“ได้ ข้าจะจำไว้” อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงแค่ชื่อหลิน ชูจิ่วไม่สนใจในเรื่องนี้มากนัก

       หลังจากที่พวกเขาพูดคุยเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเสร็จแล้ว เสี่ยวเทียนเหยา ก็ได้นำเรื่องหลักของเขาขึ้นมาพูดอีกครั้ง“ เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเมิ่งนั้น เปิ่นหวางได้พบบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูนี่”

       เสี่ยวเทียนเหยา หยิบรายงานขึ้นมาจากโต๊ะ หลิน ชูจิ่ว กำลังเตรียมจะหยิบมัน อย่างไรก็ตามเธอเห็นเสี่ยวเทียนเหยาลุกขึ้นและเดินไปรอบ ๆ โต๊ะจากนั้นก็เดินมาหาเธอ“ หลิน ชูจิ่ว แม้ว่าเปิ่นหวางจะเข้มงวดกับเจ้า แต่เปิ่นหวางก็ยังคงไม่ยอมให้เจ้าทำในสิ่งที่เกินความสามารถของเจ้า” สิ่งที่เขาต้องการจากหลิน ชูจิ่ว คือให้นางเติบโตขึ้น ไม่ใช่ชีวิตของนาง

“ท่านต้องการให้ข้าขอบคุณท่านหรือ เทียนเหยา ……” คำพูดสุดท้ายของเธอนั้นรู้สึกไม่สามารถพูดออกมาได้

       ดวงตาของเสี่ยวเทียนเหยาเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม “ในอนาคตเจ้าจะขอบคุณเปิ่นหวาง”

       เมื่อได้ยินคำว่า “ในอนาคต” หลิน ชูจิ่วก็ช่วยไม่ได้ที่จะแข็งทื่อไปทั้งตัว เธอรู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา ไม่มีความหมายอื่นๆ ซ่อนอยู่ เธออาจจะถูกจิตใจของตัวเองวางยาพิษเข้าให้แล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม

“ อะแฮ่ม……” จิตใจของเธอไม่บริสุทธิ์เกินไปแล้วจริงๆ หลิน ชูจิ่ว ไอขึ้นเล็กน้อยเพื่อซ่อนความลำบากใจของเธอ เสี่ยวเทียนเหยา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอเขาจึงถามขึ้นด้วยความกังวล“มีอะไรหรือไม่?”

“ ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่สำลัก” แม้ว่าคำอธิบายนี้จะฟังแปลกไปเล็กน้อย แต่เธอจะสามารถบอกความจริงได้หรือ

       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะบอกความจริง เธอหยิบรายงานจากมือของเสี่ยวเทียนเหยาขึ้นมา แล้วมองดูมัน เธอไม่ได้สังเกตว่าเธอและเสี่ยวเทียนเหยานั้นอยู่ใกล้ชิดกันมากแค่ไหน ตราบใดที่เสี่ยวเทียนเหยา เดินไปข้างหน้า เขาก็สามารถกดเธอลงไปบนโต๊ะได้แล้ว

       เมื่อดูข้อมูลที่รวบรวมมาโดยเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่วก็รู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ตระกูลเหมิ่ง ไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อย่างไรก็ตามเสี่ยวเทียนเหยากับพบมัน เห็นได้ชัดว่าเขายุ่งอยู่กับธุระของเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงตรวจสอบมัน