บทที่ 2469 ไม่พลาดเลยสักชุ่น / บทที่ 2470 เจ้าวังน้อยจำเธอไม่ได้

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2469 ไม่พลาดเลยสักชุ่น

นายเป็นอย่างไรลูกน้องก็เป็นอย่างนั้นโดยแท้ ตี้ฝูอีนิสัยวิปริต ลูกน้องที่เลี้ยงไว้เหล่านี้แต่ละคนยิ่งวิปริตขึ้นเรื่อยๆ!

ยามนี้ท้องฟ้าด้านนอกสว่างมากแล้ว พิรุณโลหิตหยุดไปนานแล้ว

เขาถูกคุนอวิ๋นจ่านผู้นี้ถ่วงรั้งให้อยู่ที่นี่ทั้งคืนเลย!

เขาติดต่อไปหาลูกน้องตน สอบถามผลการตรวจสอบเมืองเล่อกั่วจากพวกเขา ผลคือพวกเขาตรวจค้นเมืองเล่อกั่วจนทั่วหมดแล้ว แทบจะขุดพื้นดินทั้งหมดในเมืองลงไปสามฉื่อ ก็ไม่พบเงาร่างของคนกลุ่มนั้นเลย

“หาทุกที่แล้วหรือ? ไม่พลาดเลยสักชุ่นใช่ไหม?”

อวิ๋นเยียนหลียังไม่ถอดใจ

เจ้าวังน้อยที่รับผิดชอบเรื่องนี้ชะงักไปครู่หนึ่ง

‘มีเพียงตำหนักบรรทมของนายท่านที่ไม่ได้ตรวจให้ละเอียด…’

สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีเขียวคล้ำ

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปล่อยผ่านไปแม้แต่หนึ่งชุ่นธุลีมิใช่หรือ?! ไปตรวจค้นตำหนักบรรทมของข้าให้ละเอียด!”

‘นายท่าน ข้าน้อยสำรวจภายในตำหนักบรรทมมารอบหนึ่งแล้ว ไม่พบสิ่งปกติอันใดที่นั่นเลย เพิ่งจะจากมา มีเพียงตำหนักใต้ดินข้างล่างตำหนักบรรทมที่เนื่องจากไม่มีป้ายคำสั่ง จึงไม่ได้ไปค้น…’

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งงัน

….

กู้ซีจิ่วหลบฝนอยู่ที่เมืองเล่อกั่วจริงๆ

ตอนที่อยู่บนรถม้า เธอเห็นอวิ๋นเยียนหลีติดตามรถม้าอย่างไม่ยอมละวางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายแล้ว เรื่องที่อวิ๋นเยียนหลีจะลงมือก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าจะช้าหรือเร็ว

ดังนั้นเธอจึงหารือกับตี้ฝูอีเล็กน้อย ลูกน้องคนนั้นของตี้ฝูอีชำนาญการเลียนเสียง จึงเลียนเสียงให้คล้ายว่าเธอกับตี้ฝูอีสนทนากันอยู่ในรถ แสร้งว่าพวกเขายังคงอยู่ในห้องโดยสาร จากนั้นเธอก็พาตี้ฝูอีเคลื่อนย้ายหนีไป

พาตี้ฝูอีไปอยู่ในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งแล้ว เธอได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ให้ลูกน้องคนนั้นแปลงกายเป็นเธอออกไปรับหน้ากับอวิ๋นเยียนหลี ส่งองครักษ์จินกับองครักษ์หวากลับเข้ามา

แล้วเธอก็พาองครักษ์จินกับองครักษ์หวาจากไป

ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็อยู่ร่วมกับอวิ๋นเยียนหลีมาระยะหนึ่ง ทราบลักษณะการทำงานของเขาดี และทราบความร้ายกาจของวิชาสืบรอยของเขา

เธอคิดค้นหาวิธีรับมือวิชาสืบรอยของเขา ก่อนหน้านี้เธอใช้เสือดาวเมฆาที่แฝงกลิ่นอายของเธอเพื่อเบี่ยงเบนวิชาสืบรอยของอวิ๋นเยียนหลี เพียงแต่เวลาที่ใช้วิชาประเภทนี้ จะต้องประสานกับเสือดาวเมฆา และต้องเป็นสัตว์ร้ายที่เธอฝึกฝนแล้วเท่านั้นถึงจะใช้การได้

โชคดีที่ตี้ฝูอีก็เป็นวิชาประเภทนี้เหมือนกัน สามารถใส่ไอวิญญาณของคนลงบนหุ่นกระดาษได้…

เช่นนี้ก็ยิ่งสะดวกมากขึ้น ทั้งสองสร้างหุ่นกระดาษขึ้นกว่าสิบตัว แบ่งให้องครักษ์จินองครักษ์หวารวมถึงองครักษ์คุนด้วย…

หลังจากกู้ซีจิ่วช่วยองครักษ์จินกับองครักหวาออกมา สองคนนี้ก็ไปจับสัตว์เหล่านั้นมาใส่ไอวิญญาณของกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีลงไป

ตี้ฝูอีถือโอกาสที่พลังวิญญาณในร่างยังไม่ปะทุออกมา จัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ดังนั้นทุกคนแค่ปฏิบัติไปตามแบบแผนก็พอ

กู้ซีจิ่วพาตี้ฝูอีไปส่งที่เมืองเล่อกั่วก่อน หลังจากเตรียมการเสร็จ ก็ไปรับองครักษ์จินกับองครักษ์หวาเข้ามาด้วย

ตามความต้องการของตี้ฝูอี คือตรงไปยังที่พำนักของอวิ๋นเยียนหลี

อย่างไรเสียเมื่ออวิ๋นเยียนหลีพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ จะต้องส่งคนมาตรวจค้นให้ทั่วทั้งเมืองแน่

ตามระเบียบแล้ว สถานที่เดียวที่จะไม่ถูกตรวจค้น มีแต่ที่พำนักของอวิ๋นเยียนหลี

แต่กู้ซีจิ่วคัดค้านแผนการนี้ เธอรู้สึกว่าสถานที่แรกที่อวิ๋นเยียนจะสั่งให้คนตรวจสอบก็คือที่พำนักของเขาเอง ดังนั้นการไปซ่อนที่นั่นตั้งแต่แรกไม่ปลอดภัย…

การวินิจฉัยนี้ของกู้ซีจิ่วแม่นยำนัก คนของอวิ๋นเยียนหลีมาตรวจสอบที่พักของอวิ๋นเยียนหลีก่อนเป็นที่แรกจริงๆ หลังจากค้นหาด้านในจนทั่วแล้ว ถึงเริ่มตรวจค้นด้านนอก

ส่วนกู้ซีจิ่วก็ฉวยโอกาสก่อนที่จะเริ่มการค้นหา พาสององครักษ์จินหวาเข้าไปจับตัวคนในตำหนักไว้สี่คน สอบถามพวกเขาสามสี่ประโยค หลังจากทราบสภาพภายในชัดเจนแล้ว ก็สังหารสี่คนนี้

จากนั้นก็เปลื้องชุดพวกเขาแปลงโฉมเป็นพวกเขา เดินส่ายอาดๆ เข้าตำหนักไป…

————————————————————————————-

บทที่ 2470 เจ้าวังน้อยจำเธอไม่ได้

ลูกน้องพวกนั้นของอวิ๋นเยียนหลีไม่เป็นวิชาติดตามหาดวงวิญญาณโดยเฉพาะประเภทนั้น พวกเขาตามรอยคนโดยอาศัยสุนัขติดตามกลิ่นอายของตัวคน และพวกกู้ซีจิ่วทั้งสี่ก็ได้เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายบนร่างนานแล้ว แถมยังแต่งตัวเป็นผู้คุ้มกัน ย่อมไม่มีผู้ใดผิดสังเกต

เจ้าวังน้อยหมิงเตี๋ยได้รับการติดต่อจากอวิ๋นเยียนหลี ยามที่ตรวจค้นตำหนัก พวกกู้ซีจิ่วเพิ่งย่างเข้าตำหนักไป ถึงขั้นที่ต้องร่วมตรวจค้นตำหนักไปพร้อมกับผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ด้วย ได้โอกาสตรวจสอบแผนผังของตำหนักให้ชัดเจนไปด้วย

กู้ซีจิ่วเคยประลองกันแบบตัวต่อตัวกับเจ้าวังน้อยมาก่อน แน่นอน เจ้าวังน้อยจำเธอไม่ได้

อันที่จริงแล้วตอนนั้นเลยช่วงเวลา ‘ปะทุ’ ของตี้ฝูอีไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีควบคุมตัวเองไว้ได้ หรือว่าคาดเดาผิดไป จวบจนตรวจสอบภายในตำหนักเสร็จสิ้นแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าตี้ฝูอีจะเกิดการ ‘ปะทุ’ ขึ้นเลย

ตอนนั้นกู้ซีจิ่วดีใจมาก ตอนที่จับชีพจรให้เขาแล้วพบว่าสัญญาณชีพจรสงบดียิ่งนัก ชีพจรเต้นอย่างมีพลัง ชีพจรที่เคยอ่อนแอก็ไม่มีอยู่แล้ว

เธอหลงนึกไปว่าโอสถมรรคาม่วงนั้นถูกตี้ฝูอีย่อยไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายเขาดูดซับแล้ว ในที่สุดพลังวิญญาณเหล่านั้นก็กลับสู้เจ้าของเดิม บางทีอาจได้จังหวะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่เกิดผลข้างเคียงที่แสนทรมานอื่นใด

กลับนึกไม่ถึงว่าอาการบาดเจ็บของตี้ฝูอีเพียงมาช้าไปหน่อยเท่านั้น พอปะทุขึ้นมาแล้วกลับรุนแรงเช่นที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ยามนั้นการตรวจสอบครั้งใหญ่ภายในตำหนักบรรทมเพิ่งผ่านพ้นไป ผู้คุ้มกันคนอื่นล้วนออกไปตรวจสอบด้านนอกแล้ว

เจ้าวังน้อยทิ้งผู้คุ้มกันไม่กี่คนไว้ในตำหนัก ในบรรดานั้นมีพวกกู้ซีจิ่วด้วย

กู้ซีจิ่วรู้ว่าค่ายอาคมที่อวิ๋นเยียนหลีใช้ดูดซับพลังวิญญาณก็คือผังดวงดาวแห่งนั้น

เธอเคยไปตรวจดูรอบนอกของผังดวงดาวที่เมืองซุ่ยเย่มาแล้วรอบหนึ่ง ผลคือเนื่องจากกลไกด้านในซับซ้อนเกินไป การเปิดกลไกนั้นต้องมีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไป ตอนนั้นเธอยังไม่เข้าขั้น ดังนั้นจึงเปิดไม่ได้

ถึงแม้เธอจะไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่ก็จดจำตำแหน่งที่ตั้งของกลไกได้ชัดเจนยิ่ง

เธอบอกเรื่องผังดวงดาวนั้นกับตี้ฝูอี บอกว่าทุกเมืองล้วนมีผังดวงดาวอยู่ เป็นแหล่งพลังที่ควบคุมเขตแดนกำบังพิรุณโลหิต…

ตี้ฝูอีสอบถามถึงตำแหน่งทิศทางและโครงสร้างของผังดวงดาวอย่างละเอียด จากนั้นก็เริ่มอนุมานถึงตำแหน่งที่ตั้งของผังดวงดาวในเมืองเล่อกั่ว

สุดท้ายก็คาดการณ์ว่าผังนั้นน่าจะอยู่ใต้ห้องนอนของตำหนักบรรทมแห่งนี้

กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง ผังดวงดาวของเมืองซุ่ยเย่อยู่ในดงไผ่แห่งหนึ่ง ภายในวิหารที่เฉพาะเจาะจงนัก

เหตุใดผังดวงดาวของเมืองเล่อกั่วจึงอยู่ในห้องนอนของเจ้าเมืองเล่า?

ต้องทราบก่อนว่าห้องนอนของเจ้าเมืองเล่อกั่วตั้งอยู่ใจกลางเมืองเล่อกั่ว ถ้าคำนวณตามตำแหน่งที่ตั้งผังดวงดาวของเมืองซุยเย่แล้ว ผังดวงดาวของเมืองเล่อกั่วน่าจะอยู่ในป่าสนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตำหนักบรรทมมากกว่าสิ

ตี้ฝูอีก็ไม่รังเกียจที่จะแถลงไขให้เธอฟัง อธิบายโครงสร้างองค์ประกอบของผังดวงดาวให้เธอฟัง

ที่แท้ตำแหน่งผังดวงดาวใต้ดินของแต่ละเมืองก็ไม่เหมือนกัน เชื่อมโยงต่างกันไป

อย่างเช่นผังดวงดาวของเมืองซุ่ยเย่อยู่ปลายเหนือสุดของแดนอสุรา ผังดวงดาวก็ตั้งอยู่ในทิศเหนือ เป็นผังอาคมธาตุน้ำ

ส่วนเมืองเล่อกั่วอยู่ใจกลางแดนอสุรา ดังนั้นผังดวงดาวของมันจึงสมควรตั้งอยู่ใจกลางเมือง…

กู้ซีจิ่วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เนื่องจากเหตุผลนี้ที่ตี้ฝูอีบอกมันย้อนแย้งกับเธอ ตรงข้ามกับสิ่งที่เธอเคยเรียนรู้ในยามปกติ

เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ ตี้ฝูอีจึงสั่งการให้องครักษ์จินและองครักษ์หวาคอยรับอยู่ด้านนอกต่อไป

เขาจะพากู้ซีจิ่วเข้าไปในห้องนอนของอวิ๋นเยียนหลี…

ปกติแล้วห้องนอนของอวิ๋นเยียนหลีมีการคุ้มกันการเข้าออกอย่างเข้มงวด ผู้ที่สามารถเข้าออกได้นอกจากตัวอวิ๋นเยียนหลีเองแล้ว ก็มีเพียงเจ้าวังน้อยผู้นั้น

นอกห้องมีกลไกป้องกันมากมาย แต่กลับสกัดกั้นฝีเท้าของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองไม่ได้เลย